ตอนที่ 206 บ้า
………………..
ฉินเหยาถามเขาว่า “เจ้าคิดว่าหัวใจสำคัญที่สุดของการสร้างชาติให้มั่นคงและแข็งแกร่งคือสิ่งใด”
คำถามนี้มิได้ยากเย็นอันใด หลิวจี้ตอบกลับโดยไม่ต้องครุ่นคิด “ผืนดินที่สมบูรณ์กว้างใหญ่ และราษฎรที่ขยันหมั่นเพียร”
ฉินเหยาพยักหน้าเบาๆ แล้วถามต่อว่า “แล้วสิ่งใดเล่าที่จะสั่นคลอนความกว้างใหญ่ของแผ่นดิน และความขยันของราษฎรได้”
คำถามนี้ก็ตอบได้ง่ายเช่นกันเพราะคำตอบก็อยู่ตรงหน้าแล้ว
หลิวจี้ชี้ไปยังไร่นาสองฟากของถนนหลวง ผืนดินเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติของเจ้าของที่ดิน บุคคลหล่านี้ล้วนมั่งคั่งหรือมีอำนาจ ไม่ก็ทั้งสองอย่าง แต่ไหนแต่ไรมา พวกเขาก็ใช้เส้นสายอำนาจในมือยึดที่ดินอุดมสมบูรณ์เอาไว้กับตนเอง
ส่วนชาวบ้านทั่วไป หากอยากมีที่ดินไว้ทำกินก็จำต้องเช่าที่จากพวกเขา กลายเป็นเพียงผู้เช่าทำไร่เท่านั้น
หากผืนดินทั้งหมดถูกครอบครองไปเช่นนี้ อีกทั้งยังเกิดภัยพิบัติเช่นฝูงแมลงกัดกินพืชผลเหมือนที่เป็นอยู่ในวันนี้ หรือสงครามเช่นปีที่แล้ว และพวกเจ้าของที่ดินกับขุนนางเหล่านี้กลับไม่เพียงแต่ไม่ลดค่าเช่า ซ้ำร้ายยังขึ้นค่าเช่าอีก เช่นนั้นแล้ว ความอยู่รอดของราษฎรย่อมจะยากลำบากยิ่งขึ้น
เมื่อใดที่ผู้คนถูกบีบคั้นจนถึงที่สุด ย่อมต้องลุกฮือขึ้นต่อต้าน
หลิวจี้กล่าวอย่างหนักแน่น “เพราะภัยธรรมชาติและสงครามที่เกิดขึ้นซ้ำซากทำให้ประชาชนต้องพลัดถิ่น ขาดที่ดินเพาะปลูก เป็นเพราะราชวงศ์เก่าฉ้อฉล ฮ่องเต้ปล่อยปละละเลย ทำให้พวกเจ้าของที่ดินผู้มีอำนาจเข้ายึดครองแผ่นดิน เลี้ยงกองกำลังส่วนตัว นำไปสู่ความสั่นคลอนของรากฐานแผ่นดิน”
ฉินเหยาเหลือบมองเขาด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนว่าเขาจะมิได้เป็นเพียงคนไร้ค่าไปเสียทั้งหมด
นางวกกลับไปยังคำถามแรกอีกครั้ง “เช่นนั้น หากเจ้าคือผู้ครองแผ่นดินที่เพิ่งผ่านกลียุคมาหลายสิบปีและเพิ่งรวมเป็นปึกแผ่นได้อย่างยากลำบากมาก ก้าวต่อไปควรทำสิ่งใด”
นางมิได้รอให้เขาตอบ แต่พูดต่อว่า “ควรให้ประชาชนได้พักฟื้นบ้าง ลดแรงงานเกณฑ์และภาษี หลีกเลี่ยงสงคราม เพื่อให้แผ่นดินที่เต็มไปด้วยบาดแผลนี้ได้มีเวลาฟื้นตัวสักหน่อย”
“ไม่ใช่ว่าพวกเรากลัวพวกคนเถื่อนทางตอนเหนือเหล่านั้นหรอก เพียงแต่ตอนนี้ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าการไปสั่งสอนพวกเขามาก”
หากแคว้นเซิ่งหวาดกลัว ปีที่แล้วก็คงไม่ส่งทัพออกศึก คงเลือกยื่นข้อเสนอเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ตั้งแต่ต้นเพื่อแสดงความอ่อนข้อไปแล้ว
“หากสงครามทางตอนเหนือไม่สิ้นสุด ผู้ที่ต้องทนทุกข์ก็มีเพียงพวกเราชาวบ้านตาดำๆ เท่านั้น”
ฉินเหยามองไปทางหลิวจี้แล้วชี้นิ้วใส่เขา “ถ้ามิใช่เพราะท่านหญิงเสนอตัวแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เพื่อยุติสงคราม เจ้าคงยังอยู่ที่ชายแดนและกลายเป็นแรงงานขนเสบียง ภาษีปีนี้ก็คงหนักขึ้น และภัยแมลงศัตรูพืชที่กำลังระบาดย่อมร้ายแรงกว่าที่เห็นตอนนี้เป็นสิบๆ เท่า”
“คาราวานการค้าทำการค้ากับต่างแคว้นไม่ได้ เศรษฐกิจก็จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก หีบหนังสือที่ข้าทำขึ้นใหม่ก็คงขายไม่ออกแน่ๆ”
“ปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดจากสงครามหนึ่งครั้งนั้นเกินกว่าที่คนทั่วไปจะคาดคิด และเมื่อผลกระทบเหล่านี้ตกถึงแต่ละคน ย่อมสามารถทำลายครอบครัวเล็กๆ ที่เคยสงบสุขให้พังพินาศลงได้”
เมื่อใกล้ถึงประตูเมือง ฉินเหยารับสายบังเหียนจากมือของหลิวจี้ก่อนกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง เห็นเพียงว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ครั้งนี้ทำให้ข้าได้มีชีวิตที่สงบสุข”
“มิใช่ทุกคนจะสามารถเป็นเช่นท่านหญิงที่ยอมเสียสละตนเองเพื่อคนอื่นได้”
อย่างไรเสีย นางก็ทำเช่นนั้นไม่ได้
นางเหลือบมองหลิวจี้ หลิวจี้ก็พลันรู้สึกผิด รีบกลืนน้ำลายลงคออย่างแรง เขาเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน
ความรู้สึกผิดแผ่ซ่านขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ หลิวจี้เอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าช่างสมควรตายเสียจริง!”
ฉินเหยาส่งเหรียญสองเหวินให้ทหารเฝ้าประตูเป็นค่าผ่านเข้าเมือง นางรู้สึกเสียดายเงินนัก
นางเพียงแค่คิดจะออกไปเดินดูรอบๆ ชานเมือง ตรวจดูสถานการณ์ภัยแมลงในอำเภอ แต่กลับลืมไปว่าการออกจากเมืองนั้นง่าย ทว่าการเข้ากลับมาต้องเสียค่าเข้าเมืองอีกรอบ
หากรู้ตั้งแต่แรกนางคงจะออกจากเมืองไปเพียงลำพัง จะได้ไม่ต้องจ่ายเงินส่วนของหลิวจี้เพิ่ม ช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย!
สองสามีภรรยาแยกจากกันที่ประตูหลังของโรงเตี๊ยม ก่อนจากกัน หลิวจี้ได้รับค่าใช้จ่ายสำหรับชีวิตประจำวันจำนวนห้าสิบเหวิน เขายิ้มหยีจนเห็นฟันขาว แทบไม่เห็นดวงตาแล้ว
ฉินเหยากลับมาที่โรงเตี๊ยม หลังจากรับประทานอาหารเย็น นางก็ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ในโรงเตี๊ยม เนื่องจากนางไม่ได้พักในห้องพัก เถ้าแก่ฟ่านจึงไม่คิดค่าที่พักจากนาง
ฉินเหยาตั้งใจจะจ่ายเงิน แต่เถ้าแก่ฟ่านกลับไม่พอใจ นางจึงทำได้เพียงช่วยงานบางอย่างเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายแทน
ทางด้านหลิวจี้ ทันทีที่ได้รับเงิน เขาก็ใช้ไปแปดเหวินเพื่อซื้อเกี๊ยวเนื้อชามหนึ่งกินอย่างฟุ่มเฟือย
ช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่ เหล่าบัณฑิตที่ร่วมสอบซ่อมต่างพากันพูดคุยถึงเรื่องข้อสอบกันอย่างคึกคักราวกับกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าข้อสอบรอบสอบซ่อมกับรอบแรกนั้นเหมือนกันราวกับแกะ
หลิวจี้ที่เพิ่งกลับมาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบหลบเลี่ยงพวกเขาไปไกล
แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าหอพัก เขากลับหวาดหวั่นว่าพวกโง่กลุ่มนี้จะพาเขาซวยไปด้วย จึงทำหน้าบึ้งวิ่งกลับมา ตะโกนด่าเหล่าศิษย์ในสำนักอย่างโกรธจัด ไล่พวกเขาออกไปจากบริเวณนั้น
ตั้งแต่กลับมาจากชายแดน แม้แต่ฝานซิ่วไฉหลิวจี้ก็ไม่เกรงกลัวอีกต่อไป
เห็นใครก็ระเบิดอารมณ์ด่าได้ไม่เลือกหน้าจนแม้แต่ฝานซิ่วไฉเองก็ยังต้องหลีกทางให้สามส่วน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบัณฑิตทั่วไปที่ไร้อำนาจเลย
หลังจากโดนหลิวจี้ด่าไปยกหนึ่ง สำนักศึกษาก็กลับสู่ความสงบ ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงข้อสอบอีก
เขาแค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าหอพักไป
เมื่อเปิดประตูเข้าไป กลิ่นเหม็นอับของเท้าอันคุ้นเคยก็พุ่งเข้ามาตีจมูก หลิวจี้สุดจะทนแล้ว เขารีบใช้คีมคีบถ่านหนีบรองเท้าและถุงเท้าที่กองอยู่ขึ้นมาแล้วโยนมันออกไปทั้งหมด!
เหล่าสหายร่วมห้องพักต่างตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่งพลางตะโกนอย่างไม่พอใจว่า
“หลิวจี้! เจ้ามีสิทธิ์อันใดถึงโยนรองเท้าและถุงเท้าของพวกเราทิ้ง!”
หลิวจี้หยิบกะละมังและผ้าเช็ดหน้า เดินผ่านหน้าพวกเขาไปโดยไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาเตือนพวกนั้นให้รักษาความสะอาดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ทว่าพวกเขากลับทำเป็นหูทวนลม มิหนำซ้ำยังเอาถุงเท้าเหม็นเน่ามากองไว้ที่มุมห้องอีก ผ่านไปหนึ่งเดือนก็ยังไม่เห็นซักล้างเลยสักครั้ง
ตอนนี้ยังมีหน้ามาถามเขาว่ามีสิทธิ์อะไรอีกหรือ
เหล่าสหายร่วมห้องพักมองหลิวจี้เดินออกไปตักน้ำ ล้างหน้าล้างเท้าอย่างไม่แยแส พวกเขาก็โกรธจนหน้าขึ้นสี
พวกเขาพึ่งจะพับแขนเสื้อขึ้นเตรียมจะสู้กับเขาสักยก ทว่าหลิวจี้กลับหันมาพลางชี้ไปทางโรงเตี๊ยมในเมือง
“ข้าขอบอกพวกเจ้าไว้ก่อนนะ เมียจ๋าของข้าตอนนี้พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมของเถ้าแก่ฟ่าน หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องข้าแม้แต่ปลายเล็บก็ลองดู!”
เหล่าสหายร่วมห้องพักต่างพากันถอยกรูดไปพร้อมกัน ใครบ้างไม่รู้ว่าภรรยาของหลิวจี้นั้น เพียงหมัดเดียวก็อัดพวกเขาจนแหลกเป็นเนื้อบดได้!
“หลิวจี้ เจ้า…เจ้า…” เหล่าสหายร่วมห้องพักอ้าปากพะงาบๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน ก็ยังไม่อาจพูดคำใดออกมาได้
ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความคับข้องใจ อยู่ดีๆ ไยหลิวจี้ถึงได้บ้าคลั่งโยนรองเท้าและถุงเท้าของพวกเขาทิ้งกัน
หรือเพียงเพราะเหม็นจนทำให้เขาโกรธขึ้นมา?
ก่อนหน้านี้เหตุใดไม่เห็นเขาโกรธมากถึงเพียงนี้เลย!
หลิวจี้เช็ดหน้าจนสะอาด เทน้ำในกะละมังออกก่อนจะล้างเท้าต่อ เมื่อเห็นท่าทางขลาดเขลาของสหายร่วมห้องพัก ความรู้สึกผิดต่อท่านหญิงฮุ่ยหยางในใจของเขาก็พลันจางหายไปเล็กน้อย
เขาชี้ไปที่กลุ่มคนเหล่านั้นพลางกล่าวสั่งสอนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านหญิงเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ เสียสละตนเองเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม พวกเจ้าสายตาตื้นเขิน ไม่รู้จักคิด ไม่เข้าใจคุณค่าของความเสียสละเลยแม้เพียงนิดเดียว!”
กล่าวจบ เขาก็เสริมด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “วันหน้าหากข้าได้ยินพวกเจ้าพูดว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นความอัปยศของชาวแคว้นเซิ่งอีก ข้าจะให้เมียจ๋าของข้ามาตบพวกเจ้าให้ตาย!”
สหายร่วมห้องพักต่างมองหน้ากันไปมา ได้แต่คิดว่าหลิวจี้คงเกิดเพี้ยนขึ้นมาอีกแล้ว
หลิวจี้แขวนผ้าเช็ดหน้าไว้ มองเหล่าสหายร่วมห้องพักด้วยสายตารังเกียจ “ต่อไปใครไม่ล้างหน้าไม่ล้างเท้า อย่าคิดจะได้เข้าห้องมานอน ข้าเห็นคนหนึ่งก็จะซัดคนหนึ่ง!”
เพราะกลัวพวกเขาจะไม่เชื่อ หลิวจี้จึงทำท่านั่งม้าตามแบบที่ต้าหลางฝึกฝนในยามเช้า ยกกำปั้นขึ้นพร้อมร้องเฮ้ฮ่าสองครั้ง “ข้าน่ะฝึกมาจากเมียจ๋าของข้าแล้ว”
สหายร่วมห้องพักทั้งสามคนสะดุ้งเฮือก รีบคว้ารองเท้าและถุงเท้าของตนไปซักและล้างหน้าแปรงฟันทันที
ค่ำคืนนี้ กลิ่นเท้าเหม็นจางๆ ในอากาศพลันมลายหายไป ในที่สุดหลิวจี้ก็ได้สูดอากาศบริสุทธิ์และนอนหลับอย่างสบายเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาถึงสำนักศึกษา
………………..
MANGA DISCUSSION