ตอนที่ 199 เด็กน้อยมีแววพอจะสั่งสอนได้
………………..
สี่พี่น้องยุ่งอยู่ในมุมเล็กๆ ของห้องครัวอย่างมีความสุข โดยไม่ได้สังเกตเห็นฉินเหยาที่กำลังยืนอยู่นอกเรือนด้วยรอยยิ้มที่ระบายอยู่เต็มใบหน้าเลย
นางเฝ้ามองพวกเขาอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง อดกลั้นความอยากกินของว่างยามดึก เพราะไม่ต้องการทำลายช่วงเวลาอบอุ่นนี้ ก่อนจะหมุนกายกลับเข้าห้องไป
ยามค่ำคืนล่วงเลยไปจนถึงดึกสงัด ห้องครัวจึงกลับสู่ความเงียบสงบ
ต้าหลางตักแป้งทอดที่ทอดเสร็จแล้วแบ่งใส่กล่องข้าวไม้ของน้องชายและน้องสาวแต่ละคน เปิดฝาไว้ให้เย็นลงก่อนจะใช้ฝาครอบปิด จากนั้นดับไฟในเตา ตรวจสอบประตูหน้าต่างอีกครั้งให้แน่ใจว่าปลอดภัยดีแล้วจึงพาน้องๆ ไปล้างหน้าล้างตา ก่อนจะเข้านอนพร้อมกัน
ไก่ที่เลี้ยงไว้ในบ้านขันตรงเวลา ทำให้ลานบ้านที่เงียบสงบกลับมาคึกคักอีกครั้ง
วันนี้ฝนตกตามคาด เพียงแต่ไม่หนัก เป็นเพียงละอองฝนเล็กละเอียดราวกับเส้นผมที่โปรยปรายลงมา เพียงพกร่มน้ำมันสักคันก็เพียงพอแล้ว
ฉินเหยาขับรถม้าส่งเด็กๆ ไปยังหมู่บ้านเซี่ยเหอ มองดูสารถีมารับพวกเขาไป ถึงค่อยกลับหมู่บ้าน
เมื่อฉินเหยาวางรายการสั่งซื้อหีบหนังสือพลังเซียนสิบห้าใบที่เอ้อร์หลางนำกลับมาไว้ตรงหน้าช่างไม้หลิว ร่างที่กำลังนั่งยองๆ อยู่ของเขาก็ถึงกับกระโดดลุกขึ้น
“สวรรค์! เอ้อร์หลางของบ้านเจ้ากลายเป็นเซียนไปแล้วหรือ” ช่างไม้หลิวเอ่ยถามด้วยความเหลือเชื่อ
ฉินเหยาเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง อย่าพูดจาเหลวไหล หลิวเอ้อร์หลางผู้นั้นเพียงแค่มีหัวการค้าสูงกว่าผู้อื่นก็เท่านั้น
แต่การที่ถึงขนาดนำหีบหนังสือของตนเองออกไปขายเพื่อหาเงิน นางมิอาจเห็นด้วยกับพฤติกรรมเช่นนี้จริงๆ
ช่างไม้หลิวคำนวณต้นทุนและเวลาที่ใช้ เขาคนเดียวสามารถทำหีบหนังสือได้วันละสองใบ แต่ทั้งหมดนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่าไม้ถูกเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ที่จริงต้นทุนของไม้ไม่ได้สูงนัก หีบหนังสือพวกนี้ไม่ได้ใช้ไม้ชั้นดีอะไร เป็นเพียงไม้สนที่พบเห็นได้ทั่วไปในเมืองจินสือแห่งนี้
มีเพียงคานไม้และล้อไม้อันเล็กเท่านั้นที่ใช้ไม้เนื้อแข็งกว่าจึงมีราคาสูงขึ้นเล็กน้อย
เมื่อคำนวณดูแล้ว ต้นทุนก็ราวๆ หนึ่งร้อยแปดสิบถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบเหวินเท่านั้น
พูดมาถึงตรงนี้ ช่างไม้หลิวก็อดทอดถอนใจอีกครั้งไม่ได้ “เอ้อร์หลางบ้านเจ้าช่างสืบทอดความสามารถหลอกล่อผู้คนของพ่อเขามาจริงๆ”
ฉินเหยายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้าจะถือว่าท่านกำลังชมพ่อลูกคู่นี้ก็แล้วกัน”
ช่างไม้หลิวกล่าวว่า “ห้าเฉียนยังมีคนซื้อ ถ้าอย่างนั้นพวกเรากำหนดราคานี้เลยดีหรือไม่”
ฉินเหยากล่าวว่า “ข้าว่าน่าจะเพิ่มอีกสักหน่อย สักห้าร้อยแปดสิบแปดเหวินเป็นอย่างไร”
ช่างไม้หลิวคิดในใจว่าเจ้าช่างหัวใสจริงๆ แต่พอนึกถึงมโนธรรมแล้วก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง “แพงไปสักหน่อย ลดลงหน่อยเถอะ เอาสักห้าร้อยหกสิบแปดเหวินดีไหม”
ฉินเหยาพยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้!”
ทั้งสองบรรลุข้อตกลงทันทีแล้วเริ่มลงมือทำงาน
แม้ฉินเหยาไม่ถนัดงานไม้ละเอียดมากนัก แต่การเลื่อยไม้ให้เป็นแผ่นนั้นนางยังทำได้ เมื่อช่างไม้หลิวคอยแนะนำ ทั้งสองจึงแบ่งหน้าที่กัน โดยคนหนึ่งเตรียมวัตถุดิบ ส่วนอีกคนสร้างกลไก คานดึงและล้อไม้ สุดท้ายก็ลงสีแล้วประกอบเข้าด้วยกัน
เหลือแค่ขั้นตอนการลงสี ฉินเหยาจึงไปเรียกอวิ๋นเหนียงมา
ตอนแรกอวิ๋นเหนียงไม่อยากมา เพราะที่บ้านต้องเก็บเกี่ยวข้าวสาลี นางต้องทอผ้า ทำอาหาร เลี้ยงลูกและดูแลแปลงผักจึงไม่มีเวลาว่างเลย
ฉินเหยาจึงอ้อนวอนให้นางมาช่วยงานก่อนสักสี่ถึงห้าวัน บอกว่างานนี้ไม่ทำให้เสียเวลามากนัก อีกทั้งจะคิดค่าจ้างตามจำนวนงาน ชิ้นละสิบห้าเหวิน
สิบห้ารายการสั่งซื้อนี้ รวมกันแล้วก็เป็นเงินสองร้อยยี่สิบห้าเหวิน ซึ่งก็คือสองเฉียนกว่า
เงินนั้นสามารถทำให้ผีโม่แป้งได้จริงๆ อวิ๋นเหนียงลังเลอยู่ครึ่งเค่อ สุดท้ายก็อุ้มลูกขึ้นสะพายหลังแล้วไปยังโรงงาน
ตอนนี้ในโรงงานมีคนน้อย ปล่อยให้เด็กเล่นท่อนไม้หรืออะไรไปตามลำพังในลานก็ไม่ต้องกลัวจะชนหรือได้รับบาดเจ็บ
อวิ๋นเหนียงเริ่มทำงานอย่างคล่องแคล่วอีกครั้ง แม้ในโรงงานจะมีเพียงสามคน แต่บรรยากาศกลับราวมีคนทำงานกันเป็นกลุ่มใหญ่
เวลาส่งของตามรายการสั่งซื้อยังเหลืออีกมาก แต่ฉินเหยาต้องการทำหีบหนังสือพลังเซียนเพิ่มอีกสิบกว่าหีบ เพื่อนำไปทดลองขายในตัวเมือง
อีกทั้งช่วงนี้ในเมืองก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับการสอบเคอจวี่แล้ว อีกสองวันก็จะเริ่มการสอบจริงๆ
เดิมทีตกลงกันไว้ว่าจะทำแค่สี่ถึงห้าวัน แต่พออวิ๋นเหนียงเห็นแผ่นไม้ที่ฉินเหยาตัดออกมากองสูงขึ้นเรื่อยๆ หัวใจก็กระตุกไปวูบหนึ่ง รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก
เป็นไปตามคาด ทำไปจนถึงวันที่ห้า งานยังเหลืออีกครึ่งที่ยังทำไม่เสร็จ เพื่อเงินแล้ว อวิ๋นเหนียงกัดฟันหยิบเงินห้าสิบเหวินออกมา แล้วไปจ้างชายหนุ่มคนหนึ่งในหมู่บ้านที่มีที่ดินเพาะปลูกน้อย ให้มาทำงานระยะสั้นแทนห้าวัน จากนั้นจึงกลับไปทำงานต่อ
ในวันที่สิบเดือนสอง อวิ๋นเหนียงที่เหนื่อยจนแขนล้า ในที่สุดก็ทาสีไม้ทั้งหมดที่กองอยู่เสร็จสิ้น
ฉินเหยานับจำนวนดูแล้ว พบว่าทำออกมาได้มากกว่าที่คาดไว้เล็กน้อย รวมแล้วเป็นวัสดุไม้สำหรับทำหีบหนังสือสี่สิบหีบ
อวิ๋นเหนียงนวดข้อมือที่ปวดเมื่อย นึกหวาดกลัวว่าฉินเหยาจะยังมีงานอื่นให้ลงสีอีกจึงรีบพูดขึ้นว่า
“ข้าต้องกลับบ้านแล้ว หลายวันมานี้ไม่ได้นำอาหารไปส่งให้พ่อสามีเลย แม่สามีแทบจะด่าข้าตายแล้ว”
แม่สามียังบ่นอีกว่า ตอนที่ทำกังหันน้ำครั้งก่อนยังไม่ได้ยุ่งเพียงนี้ ไม่รู้ว่ากำลังยุ่งอะไรอยู่กันแน่ ตั้งแต่เช้าจรดเย็นแทบไม่เห็นแม้แต่เงา อย่าได้ไปทำเรื่องเหลวไหลอะไรเข้าล่ะ
ครั้งก่อนนั้นตรงกับช่วงว่างหลังฤดูเก็บเกี่ยวพอดี ที่บ้านไม่มีงานมาก นางยังสามารถกลับบ้านตรงเวลาและนำค่าแรงไปให้ที่บ้านได้อีก งานบ้านก็ไม่ได้หนักนัก แม่สามียังพอทำเองได้ นางย่อมไม่พูดอะไรเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน งานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดกองอยู่ที่แม่สามีเพียงคนเดียว นางจะบ่นบ้างก็ไม่แปลก
ฉินเหยาได้ยินอวิ๋นเหนียงพูดเช่นนี้ก็รีบหยิบค่าแรงออกมาให้ เป็นเงินห้าเฉียนก้อนหนึ่ง พร้อมกับพวงเงินเหรียญอีกหนึ่งพวง
หีบไม้สี่สิบใบ ใบละสิบห้าเหวินก็เป็นเงินหกร้อยเหวินพอดี
นี่เพิ่งแปดวันเท่านั้น แต่นางกลับได้เงินเทียบเท่ากับค่าแรงของสองเดือนก่อน ความกังวลบนใบหน้าของอวิ๋นเหนียงจึงสลายไปทันที นางยิ้มออกมา
“ฉินเหนียงจื่อ คราวหน้าหากมีงานเช่นนี้อีกเจ้าต้องเรียกข้าด้วยนะ!” ก่อนจากไป อวิ๋นเหนียงที่แบกลูกชายไว้บนหลังเอ่ยกำชับอย่างยิ้มแย้ม ราวกับว่าความปวดเมื่อยที่ข้อมือของนางหายไปหมดแล้ว
ช่างไม้หลิวหัวเราะออกมา “เห็นเงินก็ตาเป็นประกายจริงๆ”
ฉินเหยายักไหล่เบาๆ ก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ เสน่ห์ของเงินทอง ใครบ้างจะต้านทานได้
หลังจากตากวัสดุไว้สองวัน งานของฉินเหยาก็เสร็จสิ้น นางช่วยช่างไม้หลิวประกอบหีบไม้ทั้งหมด
หีบหนังสือสี่สิบใบที่ลงสีดำและวาดลวดลายสีชมพูขาวถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบบนชั้นในโกดัง ดูแล้วชวนให้ตะลึงไม่น้อย
วันที่สิบสอง ฉินเหยารับเด็กๆ กลับบ้าน หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ นางก็ให้เอ้อร์หลางแจ้งเพื่อนร่วมชั้นในวันพรุ่งนี้ว่าให้เตรียมเงินส่วนที่เหลือไว้ล่วงหน้า มะรืนนี้นางจะนำหีบหนังสือไปส่งที่หน้าสำนักศึกษา จ่ายเงินแล้วรับของกันตรงนั้น
“เอ้อร์หลาง เจ้าไปบอกพวกเขาว่า ท่านแม่เห็นแก่ที่พวกเขาเป็นสหายร่วมชั้นเรียนกับเจ้า จึงลดราคาให้ หีบหนังสือพลังเซียนปกติต้องจ่ายหกร้อยหกสิบแปดเหวิน ตอนนี้ลดเหลือเพียงห้าร้อยหกสิบแปดเหวินเท่านั้น”
ฉินเหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “จำได้หรือไม่”
เอ้อร์หลางหัวเราะฮี่ๆ แล้วรีบพยักหน้าติดกันหลายครั้ง “ท่านแม่วางใจ ข้าจะบอกพวกเขาตามที่ท่านว่ามาทุกคำเลย ให้พวกเขาจดจำหนี้น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของเราไว้”
ฉินเหยาตบไหล่เล็กๆ ของเขาอย่างพอใจ “มีแววสั่งสอนได้”
“แต่น้ำใจเล็กน้อยเช่นนี้ไม่มีประโยชน์อันใดนัก ในยามปกติควรทำอย่างไรก็ทำไปตามปกติ หากพยายามเข้าหาโดยที่สถานะมิเท่าเทียมกัน สุดท้ายจะดูเป็นการประจบประแจงไปเสียเปล่าๆ”
ต้าหลางและเอ้อร์หลางเก็บรอยยิ้มและตั้งใจฟังคำสอนของนางอย่างจริงจัง เรียนรู้หลักการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
ส่วนซานหลางและซื่อเหนียงยังคงมึนงง ด้วยพวกเขาไม่ได้อยู่ชั้นเดียวกับต้าหลางและเอ้อร์หลาง แม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยังเป็นคนละคน
………………..
MANGA DISCUSSION