ตอนที่ 197 เจ้าเด็กหลิวเอ้อร์หลางคนนี้
………………..
ต้นฤดูใบไม้ผลิบนภูเขายังคงหนาวเย็นนัก ฉินเหยาจึงจัดแจงเตรียมรถม้า
ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มเผยแสงขาวจางๆ นางก็พาเด็กทั้งสี่คนในบ้านพร้อมกับหลิวจินเป่าออกเดินทาง
เพราะไม่มีเวลาทำอาหารเช้า พวกเขาจึงกินข้าวปั้นที่ทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ด้านในปนด้วยเศษมันหมู ทว่ากลับหอมยิ่งนัก ยิ่งเย็นก็ยิ่งเคี้ยวเพลิน
สำนักศึกษาไม่มีอาหารกลางวันให้จะต้องเตรียมไปเอง ซึ่งก็เป็นข้าวปั้นเช่นกัน
อย่างน้อยตอนนี้ก็ทำได้เพียงเท่านี้ เพราะนี่คืออาหารสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียวที่ฉินเหยาสามารถทำได้
ต่อไปนางอาจหัดทำแป้งทอดหรืออาหารอย่างอื่นบ้าง เช่นนี้ก็คงมีความหลากหลายขึ้น
แต่สำหรับพวกต้าหลางสี่พี่น้องแล้ว พวกเขาไม่คาดหวังสิ่งใดนัก ต้าหลางถึงกับเอ่ยว่าหลังจากนี้พวกเขาจะเตรียมอาหารเช้าและอาหารกลางวันกันเอง
ฉินเหยาไม่มีข้อโต้แย้ง เงินค่าขนมก็ยังให้ตามเดิม หากวันใดกินไม่อิ่ม ก็สามารถแวะเข้าไปในตัวเมืองเพื่อหากินเพิ่มได้
เมื่อรถม้าเดินทางถึงทางแยกของหมู่บ้านอื่น นางก็รับเด็กจากหมู่บ้านอื่นมาด้วยสองคน โดยเก็บค่าโดยสารคนละหนึ่งเหวิน นับเป็นการหาเงินค่าเดินทางเล็กๆ น้อยๆ
เดินทางไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดหมู่บ้านเซี่ยเหอก็อยู่ตรงหน้า
สารถีรออยู่ที่ปากทางถนนหลวง พอเห็นฉินเหยาพาเด็กๆ ลงมาจากรถถึงเจ็ดคน ก็ดูประหลาดใจไม่น้อย
“พี่ใหญ่สารถี ท่านคงต้องขยายที่นั่งแล้วกระมัง ต่อไปเด็กๆ พวกนี้ต้องไปสำนักศึกษาที่ตัวเมืองกันหมด คงต้องใช้รถของท่านทุกวัน” ฉินเหยากล่าวล้อเลียน
นางเรียกพวกต้าหลางสี่พี่น้องมาข้างตัวแล้วกล่าวกำชับด้วยท่าทีจริงจังว่า “จำไว้ หากพวกเจ้าไปต่อยตีเด็กคนอื่น ข้าจะจัดการพวกเจ้าแน่!”
“และหากพวกเจ้าโดนเด็กคนอื่นรังแก กลับมาบ้านมาก็เตรียมคุกเข่าบนกระดานซักผ้าได้เลย!”
พวกต้าหลางสี่พี่น้องชะงักไปชั่วขณะ รู้สึกตกตะลึงกับคำกำชับนี้ คาดไม่ถึงเลยว่าแม่เลี้ยงของพวกเขาจะเป็นเช่นนี้
แต่สี่พี่น้องก็ยังคงให้คำมั่นอย่างจริงจังว่าจะไม่รังแกผู้อื่น และจะไม่ยอมให้ผู้อื่นรังแกจนต้องกลับมาคุกเข่าลงบนกระดานซักผ้า
“ท่านแม่ แล้วพบกันเจ้าค่ะ!” ซื่อเหนียงโบกมืออย่างตื่นเต้น แล้วปีนขึ้นไปบนเกวียนวัวของสารถีด้วยความคาดหวัง
ฉินเหยามองส่งพวกเขาจากไปจนลับตา ก่อนจะหันกลับขึ้นรถม้าเดินทางกลับบ้าน
เมื่อถึงบ้าน นางเดินเข้าไปในลานเรือนที่เงียบสงบ ฉินเหยารู้สึกไม่คุ้นชินเอาเสียเลย สุดท้ายจึงปิดประตูแล้วเดินไปที่โรงงานกังหันน้ำเพื่อทำงาน
นี่เป็นวันแรกที่เด็กๆ ออกจากบ้านไปเรียนหนังสือ นางรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
เดี๋ยวก็เป็นห่วงว่าพวกเขาจะถูกอาจารย์จัดให้นั่งแถวหลังสุดจนฟังบทเรียนไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวก็กลัวว่ามื้อกลางวันที่พวกเขานำไปจากบ้านจะถูกเด็กคนอื่นหัวเราะเยาะจนเกิดการทะเลาะวิวาท
ช่างไม้หลิวสังเกตเห็นท่าทางกระวนกระวายของฉินเหยา กลัวว่านางจะพลาดท่าทุบแผ่นหินจนแตกเสียก่อนจึงรีบไล่ให้นางไปพักพร้อมกับเอ่ยเย้าอย่างขบขันว่า “ไม่คิดเลยว่าคนที่ปกติเยือกเย็นอย่างเจ้าจะมีช่วงเวลาที่ร้อนรนเช่นนี้ด้วย”
มื้อเที่ยงเป็นภรรยาของช่างไม้หลิวที่เป็นคนนำมาส่งให้ เมื่อรู้ว่าฉินเหยาอยู่ด้วย นางจึงเตรียมมาให้สองที่ แต่ก็เป็นปริมาณที่คนธรรมดากินกัน ฉินเหยากินแล้วก็เหมือนไม่ได้กิน
แต่วันนี้นางไม่หิวเลยจริงๆ ตักข้าวเข้าปากไปหลายครั้งก็ยังกินไม่หมดเสียที
พอได้ยินคำหยอกล้อของช่างไม้หลิว ฉินเหยาก็ถอนหายใจยาว “เฮ้อ~ หรือข้าจะเป็นโรควิตกกังวลจากการแยกจาก?”
แต่นั่นก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนางเสียหน่อย ลูกเลี้ยงก็สามารถทำให้เกิดความวิตกกังวลจากการแยกจากได้ด้วยหรือ
ช่างไม้หลิวเห็นฉินเหยาไม่ตอบก็รู้สึกหมดสนุก หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ เขาก็หยิบแผ่นไม้ที่ใช้บันทึกของตนออกมาแล้วร่างแบบหีบหนังสือพลังเซียนลงไป เมื่อออกแบบเสร็จ เขาก็จะใช้ไม้หวงฮัวลี่ที่เก็บไว้มาทำมันขึ้นมา
ฉินเหยาวางชามเปล่าลงก่อนจะลุกขึ้นยืน จากนั้นเดินเข้าไปใกล้พร้อมชะโงกดูแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ นางตบไหล่ของช่างไม้หลิวเบาๆ
“ท่านว่าพวกเราควรเตรียมไม้เพิ่มอีกหน่อยดีหรือไม่”
ช่างไม้หลิวมองไปยังโรงงานที่เงียบเหงา “ต้องใช้ด้วยหรือ ที่นี่ก็แทบไม่มีงานเข้ามาเลยนะ”
ฉินเหยาใช้ปลายสะอาดของตะเกียบเคาะลงบนแผ่นไม้ตรงหน้า “ทำเจ้านี่อย่างไรเล่า ข้าพึ่งนึกขึ้นได้ เดี๋ยวนี้เด็กที่ไปสำนักศึกษามีมากขึ้น พวกเราอาจมีตลาดสำหรับสิ่งนี้ก็ได้”
ร่วมงานกับฉินเหยามานาน ช่างไม้หลิวรู้ดีว่าหากคิดจะทำอะไรให้สำเร็จ ต้องเตรียมตัวไว้ก่อนเพื่อช่วงชิงโอกาส
ว่าแล้วเขาก็เก็บแผ่นไม้กลับมา หยิบชามเปล่าของตนเองแล้วทั้งสองก็ลงกลอนประตูโรงงาน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้าน ขณะผ่านบ้านของตนช่างไม้หลิวก็แวะเอาชามเปล่าเข้าไปเก็บ
หลังวันปีใหม่ บ้านเรือนแต่ละหลังต่างก็ตัดไม้เก็บไว้เพื่อผึ่งให้แห้ง เปลือกไม้และกิ่งไม้ที่เหลือก็นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับก่อไฟ
ทั้งสองเดินกันมาเกือบครึ่งวัน ได้ไม้มาสิบกว่าท่อน ราคาถูกกว่าที่ขายข้างนอกประมาณหนึ่งถึงสองส่วน ต่อให้ไม่ได้ใช้ทำหีบหนังสือพลังเซียน แค่เก็บตุนไว้ก็คุ้มแล้ว
ไม้ที่ซื้อมา ฉินเหยารับหน้าที่แบกกลับ ส่วนช่างไม้หลิวเป็นคนต่อรองราคา ทั้งสองประสานงานกันได้อย่างลงตัว
พอเห็นว่าใกล้ถึงช่วงเวลาเลิกเรียนของเด็กๆ ฉินเหยาจึงบอกให้ช่างไม้หลิวเดินต่อไปอีกสักหน่อย ลองถามหาดูว่ามีไม้เพิ่มหรือไม่ ถ้าซื้อเสร็จแล้วให้รอนางกลับมาขนเอง จากนั้นจึงรีบแยกตัวออกมา
กลับถึงบ้าน นางล้างมืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะจูงเกวียนวัวออกมาแล้วขับเกวียนไปยังหมู่บ้านเซี่ยเหอเพื่อรับเด็กๆ กลับจากสำนักศึกษา
นางมาถึงก่อนเวลา ต้องรออยู่หนึ่งเค่อเต็มๆ กว่าจะเห็นสารถีบังคับเกวียนที่บรรทุกเหล่าเด็กๆ เต็มคันกลับมา
เพราะเด็กแต่ละคนล้วนถือหีบหรือตะกร้าไม้ไผ่ใส่ตำราติดตัวมาด้วย ทำให้เกวียนวัวบรรทุกเกินขีดจำกัดจึงเดินทางได้เชื่องช้าลง
โชคดีที่หีบหนังสือของพวกต้าหลางสี่พี่น้องสามารถวางซ้อนกันได้ ซื่อเหนียงจึงนั่งอยู่บนหีบหนังสือ โดยมีพี่ชายทั้งสามโอบล้อมคุ้มกัน ชวนให้ผู้คนรอบข้างอิจฉา
ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ ฉินเหยาก็ได้ยินเสียงเรียกอย่างตื่นเต้นของคู่แฝดดังขึ้นก่อนแล้ว “ท่านแม่!”
ฉินเหยาจูงเกวียนวัวเดินเข้าไปอีกสองสามก้าว แล้วจึงพาเด็กทั้งสี่ของบ้านตนรวมถึงจินเป่าขึ้นเกวียนของตัวเอง ทว่าตอนกำลังขนหีบหนังสือกลับพบว่าหายไปหนึ่งหีบ
เอ้อร์หลางยิ้มให้นางพร้อมทำท่าทางประจบสอพลอ
ฉินเหยาขมวดคิ้ว “หีบหนังสือของเจ้าไปไหน”
เจ้าเด็กหลิวเอ้อร์หลางคนนี้ อย่าทำตัวชวนดุด่าไปมากกว่านี้ได้หรือไม่ ใครบ้างไปสำนักศึกษาวันแรกแล้วทำหีบหนังสือของตัวเองหายกัน
เอ้อร์หลางรีบอธิบายทันที “ข้าขายมันไปแล้ว!” พร้อมกับชี้ไปที่หีบหนังสือของต้าหลาง บอกว่าตำราของตนอยู่กับพี่ใหญ่ มิได้หายไปไหน
ยังไม่ทันให้ฉินเหยาได้ระเบิดอารมณ์ เอ้อร์หลางก็รีบล้วงเงินจากอกเสื้อแล้วยัดใส่มือของนางอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนเกวียนด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ท่านแม่ ข้ามีข่าวดีสุดยอดจะมาบอก ท่านต้องดีใจแน่ๆ แต่เราไปคุยกันที่บ้านเถอะ”
ฉินเหยาหนักใจกับเงินห้าเฉียนในมือของตน นางจำต้องระงับความสงสัยไว้ก่อนแล้วยื่นนิ้วไปจิ้มหน้าผากของเอ้อร์หลาง “กลับบ้านแล้วข้าจะจัดการเจ้า”
เอ้อร์หลางกลับมิได้มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย มือยังคงลูบที่อกเสื้อเบาๆ ข้างในซุกซ่อนกระดาษปึกหนาเอาไว้ นี่ก็คือความมั่นใจของเขา
เพราะอยากรีบทำความเข้าใจกับสถานการณ์ให้เร็วขึ้น ฉินเหยาจึงเร่งต้อนเกวียนวัวให้แล่นไปอย่างรวดเร็ว จินเป่าไม่ทันตั้งตัว จึงโอนเอนไปมาบนพื้นรถ พอถึงหน้าบ้านก็เกือบอาเจียนออกมา
ฉินเหยาเห็นใบหน้าของหลานชายซีดขาว ถึงเพิ่งตระหนักขึ้นได้ นางรู้สึกผิดเล็กน้อยจึงกล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้ รู้สึกไม่สบายตัวทำไมไม่บอกข้าสักคำเล่า”
จินเป่าหน้าซีดแล้วกล่าวด้วยความน้อยใจว่า “ข้าก็อยากจะพูดอยู่หรอก แต่พออ้าปากก็เต็มไปด้วยฝุ่นทราย ข้าเลยรีบหุบปากเสีย”
ฉินเหยาตบไหล่เขาด้วยความสงสาร “ขอโทษด้วยนะ พรุ่งนี้อาสะใภ้สามจะขับช้ากว่านี้ ดึกแล้ว เจ้ารีบเข้าบ้านเถอะ”
จินเป่าฝืนยิ้มให้กับอาสะใภ้สามราวกับไม่ใส่ใจ ก่อนจะหยิบตะกร้าสานไม้ไผ่ของตนแล้วหันหลังเดินเข้าบ้านไป
ฉินเหยากล่าวขอโทษอีกครั้ง ก่อนจะพาลูกๆ ของตนกลับบ้าน
พอเก็บเกวียนวัวเรียบร้อยแล้ว ฉินเหยายังไม่ทันล้างมือก็รีบเดินเข้าไปในห้องโถง นั่งลง แล้วโยนเงินห้าเฉียนลงบนโต๊ะเสียงดัง “ปึก!” ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “หลิวเอ้อร์หลาง เจ้าสารภาพมาเสียดีๆ!”
………………..
MANGA DISCUSSION