ตอนที่ 196 พี่น้องต้องคิดบัญชีให้ชัดเจน
………………..
เห็นได้ชัดว่าเหล่าอาจารย์ไม่ได้ตั้งใจจะรับเด็กหญิงเข้าเรียนตั้งแต่แรก มิเช่นนั้นจินฮวากับเด็กหญิงอีกคนที่ทำได้ดียิ่งกว่าจินเป่าก็คงไม่ถูกคัดออก
ส่วนเหตุผลที่ซื่อเหนียงสามารถผ่านการคัดเลือกได้นั้น อาจเป็นเพราะนางแสดงออกได้ดีเยี่ยมจนท่านอาจารย์เสียดายพรสวรรค์ หรือไม่ก็ต้องการให้มีแฝดชายหญิงคู่หนึ่งในสถานศึกษาเพื่อให้ดูครบถ้วนสมบูรณ์
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ต้าหลางกลับรู้สึกว่าน่าจะเป็นเพราะเหตุผลข้อหลัง…ก็เหมือนกับที่ท่านแม่เคยกล่าวไว้ เรื่องของความถูกต้องทางการปกครอง
เอาเถอะ! จะเพราะเหตุใดก็ช่าง ขอแค่ได้รับโอกาสนี้ก็พอ เหตุผลไม่สำคัญอีกแล้ว
หลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมา ในที่สุดก็มีเด็กหญิงได้เข้าเรียนในสำนักศึกษา นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี
สามพี่น้องที่เด็กกว่าไม่ได้คิดมากเหมือนกับต้าหลาง แค่รู้สึกดีใจและยังปลอบใจจินฮวาที่ไม่ได้รับเลือก บอกว่าเดี๋ยวพวกเขาจะช่วยสอนให้แล้วปีหน้ามาอีกทีต้องสอบติดอย่างแน่นอน
ภายใต้การปลอบโยนของทุกคน อารมณ์ของจินฮวาก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นหลิวจ้งก็พานางไปเดินเล่นในตลาด ซื้อถั่วลิสงมาให้กินเป็นของว่างหนึ่งห่อก่อนที่ร้านจะปิด ทำให้นางลืมความผิดหวังไปในเวลาไม่นาน
เหล่าอาจารย์ของตระกูลติงแจ้งว่า วันเปิดเรียนคือวันที่หนึ่งเดือนสองยามเฉิน ขอให้นักเรียนมาถึงสถานศึกษาให้ตรงเวลาพร้อมเตรียมพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกมาเอง ส่วนตำราเรียนทางสถานศึกษาจะเป็นผู้จัดเตรียมให้ และให้ผู้ปกครองเตรียมค่าตำราให้บุตรหลานนำมาชำระในวันเปิดเรียนด้วย
ระหว่างทางกลับบ้าน หลิวไป่ก็คำนวณค่าใช้จ่ายไปพลาง ค่าตำราเรียนอยู่ที่แปดร้อยเหวิน ส่วนชุดพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกที่ถูกที่สุดก็ต้องใช้เงินสามเฉียน
โชคดีที่แท่นฝนหมึกและแท่งหมึกสามารถใช้ได้นาน ปีหน้าจึงไม่ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายส่วนนี้อีก
เมื่อคิดโดยรวมแล้ว ค่าใช้จ่ายต่อปีจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งตำลึง สองปีก็ตกเป็นสองตำลึง
ปีที่แล้วเขากับนางเหอได้รับค่าจ้างมาพอสมควร ตอนนี้ยังมีเงินเหลืออยู่กว่าสี่ตำลึง พอส่งเสียค่าเล่าเรียนได้โดยไม่ลำบาก
อย่างไรก็ตาม ยังมีค่าโดยสารรถม้าอยู่ จะให้ละทิ้งงานในไร่นาเพื่อไปรับส่งเด็กๆ ไปสำนักศึกษาโดยเฉพาะก็คงไม่ได้ เช่นนั้นทั้งครอบครัวคงต้องกินลมประทังชีวิตแล้ว
ฉินเหยารู้ว่าเขาจะพูดอะไรจึงชิงกล่าวก่อนว่า “พี่น้องกันก็ยังต้องคิดบัญชีให้ชัดเจน เดิมทีข้าก็ต้องส่งลูกๆ ข้าไปสำนักศึกษาอยู่แล้ว การเพิ่มจินเป่าเข้าไปอีกคนก็มิใช่ปัญหา ข้าจะคิดราคาถูกหน่อย เดือนละยี่สิบแปดเหวินก็พอแล้ว”
เมื่อเทียบกับค่าจ้างสารถีที่คิดราคาคนละเจ็ดร้อยห้าสิบเหวินต่อปี นางคิดแค่สามร้อยกว่าเหวินต่อปีนี้ ถือว่าถูกสุดๆ แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ระยะทางจากหมู่บ้านตระกูลหลิวไปหมู่บ้านเซี่ยเหอนั้น ไกลกว่าระยะทางจากหมู่บ้านเซี่ยเหอไปเมืองจินสือเสียอีก
คำพูดของหลิวไป่ที่กำลังจะเอ่ยจึงถูกฉินเหยาขัดไปทั้งเช่นนี้
แต่เดิมเขาก็ตั้งใจจะจ่ายค่าโดยสารให้แก่นางอยู่แล้ว บัดนี้ฉินเหยาเป็นฝ่ายตั้งราคาชัดเจน เขากลับรู้สึกโล่งอกเสียด้วยซ้ำ
ไม่ต้องติดหนี้น้ำใจใครย่อมดียิ่งกว่า เดิมเขายังกังวลว่าฉินเหยาอาจจะไม่คิดเงิน และเสนอตัวช่วยไปรับไปส่งให้โดยไม่คิดค่าจ้าง
“ตกลง เช่นนั้นก็รบกวนน้องสะใภ้แล้ว” หลิวไป่กล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง
ฉินเหยาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องเล็กน้อย”
คนที่ดีใจที่สุดก็คือจินเป่า เขาสวมกอดพวกเอ้อร์หลางด้วยความตื่นเต้น พวกเขาจะได้ไปสำนักศึกษาด้วยกันแล้ว!
แต่พวกเขาก็ไม่กล้าแสดงความดีใจมากเกินไป รีบหันไปปลอบใจจินฮวาทันที บอกว่าเดี๋ยวพอเรียนหนังสือแล้วจะกลับมาสอนนาง
จินฮวาได้ยินผู้ใหญ่ปรึกษากันว่า การไปสำนักศึกษาจะต้องออกเดินทางตั้งแต่ยามเหม่า (ราวตีห้า) ครานี้นางไม่รู้สึกอิจฉาพี่น้องที่ได้ไปสำนักศึกษาเลยแม้แต่น้อย
กลับกัน นางกลับรู้สึกเห็นใจซานหลางและซื่อเหนียงเสียมากกว่า
“พอพวกเจ้าเรียนเสร็จแล้วกลับถึงบ้าน ฟ้าก็มืดแล้ว นอนหลับไปตื่นมาก็ต้องไปสำนักศึกษาอีก ไม่มีเวลาขึ้นเขาไปเล่นเลย แบบนี้จะไม่เหนื่อยหรือ” จินฮวาถามซื่อเหนียง
ซื่อเหนียงส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่รู้สึกว่าเหนื่อยเลย ท่านแม่เคยพูดไว้ว่า ‘ยามหนุ่มสาวไม่ขยัน แก่ชราไปก็จะรู้สึกเสียใจ’ ตอนนี้เป็นเวลาที่พวกเราต้องมุมานะเล่าเรียน จะมัวคิดแต่เรื่องเล่นสนุกได้อย่างไรกัน”
ยิ่งไปกว่านั้น ภูเขาแถวนี้นางเล่นจนเบื่อหน่ายแล้ว อยากออกไปดูโลกข้างนอกที่ต่างออกไปบ้าง
แค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นและน่าสนุกแล้ว
หลิวจ้งนั่งอยู่บนรถม้า ถอนหายใจเงียบๆ ในใจ ยัยหนูบ้านเจ้าสามคนนี้ ในอนาคตต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
เมื่อกลุ่มของฉินเหยากลับมาถึงหมู่บ้าน ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
ชาวบ้านที่ออกเดินทางไปพร้อมกันในตอนเช้า ส่วนใหญ่กลับมาก่อนค่ำแล้ว แต่กลุ่มของฉินเหยากลับมาดึกเช่นนี้ หลิวเหล่าฮั่นจึงอาจหาญคาดเดาว่า บางทีพวกเขาอาจจะได้รับคัดเลือก
พอทุกคนเข้ามาถึงเรือนเก่า เขาก็ถามขึ้นทันทีว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เด็กๆ ได้รับเลือกหรือไม่”
หลิวจ้งทำทีเป็นอมพะนำไว้ จนกระทั่งเห็นหลิวเหล่าฮั่นยกมือขึ้นเตรียมจะฟาด เขาจึงรีบบอกความจริงออกมา “จินเป่า ซานหลางและซื่อเหนียง ได้รับเลือกทั้งหมด”
นางจาง นางเหอ และนางชิวที่เดินออกมาจากในบ้านพอดีได้ยินเข้าเต็มสองหู บ้างก็ดีใจ บ้างก็ผิดหวัง
เสียงหัวเราะของนางเหอดังทะลุทะลวงจนบ้านใกล้เรือนเคียงได้ยินกันถ้วนหน้า เห็นได้ชัดว่านางดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่
ฉินเหยาห้าแม่ลูกแวะพักที่เรือนเก่าเพียงชั่วครู่ หลังจากเล่าเรื่องราวคร่าวๆ แล้วจึงแยกย้ายกลับบ้าน
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางช่วยกันก่อไฟ ต้มน้ำและเตรียมอาหาร ส่วนฉินเหยาก็จัดการถอดตัวรถม้าออก เก็บม้าเข้าที่เรียบร้อยแล้วไปจูงวัวที่ผูกไว้ตรงลานหญ้าหลังบ้านกลับมาไว้ในคอก
คอกม้าเล็กๆ แห่งนี้ต้องรองรับทั้งม้าและวัวจึงดูคับแคบไปนิด ฉินเหยาคิดว่าพอฤดูไถหว่านพืชผ่านพ้นไปเมื่อไหร่ จะรีบต่อเติมคอกเพิ่มทันที
หลังจากดูแลวัวและม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินเหยาก็จุดคบไฟ แล้วเดินไปเคาะประตูบ้านช่างไม้หลิวในยามค่ำคืน
ช่างไม้หลิวกำลังจะล้มตัวลงนอน อีกเพียงนาทีเดียวก็คงจะได้ไปพบโจวกงแล้ว อยู่ดีๆ กลับถูกปลุกขึ้นมากลางดึก ย่อมมีอารมณ์หงุดหงิดอยู่บ้าง
ทว่าเมื่อได้ยินฉินเหยากล่าวว่าคู่แฝดได้รับเลือกให้เข้าเรียนในสำนักศึกษาแล้ว อารมณ์โกรธพลันก็มลายหายไปสิ้น ถูกแทนที่ด้วยความปลาบปลื้ม ราวกับเป็นบุตรของตนที่ได้รับคัดเลือกเสียเอง
ฉินเหยาฝากให้เขารีบทำหีบหนังสือพลังเซียนเพิ่มอีกสองใบ ขนาดเล็กกว่าของต้าหลางและเอ้อร์หลางหนึ่งขนาด เพื่อให้คู่แฝดทั้งสองใช้ได้อย่างสะดวก
ช่างไม้หลิวตบหน้าอกตัวเองแล้วกล่าวว่า “วางใจเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะตื่นแต่เช้าแล้วลงมือทำให้พวกเด็กๆ รับรองว่าไม่มีทางส่งผลกระทบต่อการไปสำนักศึกษาของพวกเขาในวันมะรืนแน่นอน”
ได้ยินดังนั้น ฉินเหยาจึงกลับบ้านไปอย่างสบายใจ
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ห้าแม่ลูกก็ล้างหน้าล้างตาแล้วเข้านอน
เนื่องจากมีรายการสั่งซื้อเพียงไม่กี่ชิ้น หินที่ต้องใช้จึงสามารถขนย้ายได้ด้วยตัวคนเดียว
เมื่อขนหินกลับมาและเริ่มลงมือทำแผ่นหินสำหรับโม่ได้ครึ่งหนึ่ง หีบหนังสือพลังเซียนของคู่แฝดก็เสร็จเรียบร้อยพอดี
ซานหลางกับซื่อเหนียงต่างรีบร้อนใส่ข้าวของของตนเองลงไป เสียงล้อเลื่อนกลิ้งไปมาในลานบ้านดังไม่ขาดสาย
จนกระทั่งพลบค่ำ หลิวไป่กับจินเป่าก็พากันมาเพื่อคืนเกวียนวัว
สองพ่อลูกมายืมเกวียนวัวของบ้านนางตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเดินทางไปยังตลาดในเมืองเพื่อซื้อพู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึก แต่ก็ไม่กล้าสิ้นเปลืองเงินซื้อหีบหนังสือ
หลิวไป่จัดการสานตะกร้าไม้ไผ่ให้บุตรชายโดยใช้เถาวัลย์ทำเป็นสายสะพาย นางเหอก็ช่วยพันมันด้วยเศษผ้าอีกชั้นหนึ่ง แม้ไม่แน่นหนานัก แต่ก็สามารถบรรจุของใช้ได้ทั้งหมด
ทว่าหากไม่เปรียบเทียบก็คงไม่รู้สึกน้อยใจ เมื่อเห็นหีบหนังสือพลังเซียนที่ถูกซานหลางและซื่อเหนียงลากไปทั่วลานบ้าน จินเป่าก็อิจฉาจนแทบจะร้องไห้
ระหว่างทางกลับหลังจากคืนเกวียนวัวเสร็จแล้ว จินเป่าพยายามอ้อนวอนหลิวไป่ตลอดทาง ขอให้บิดาจัดหาหีบหนังสือแบบเดียวกันให้ตนบ้าง
หลิวไป่รับปากอย่างรวดเร็ว ดูท่าแล้วไม่น่าจะเป็นเรื่องยากนัก พอกลับถึงบ้าน สองพ่อลูกก็ลงมือทำด้วยตนเองทันที
แต่ไม่คาดคิดเลยว่า เพียงแค่ประกอบล้อไม้เข้าไปก็ทำให้หลิวไป่จนปัญญาเสียแล้ว
อย่าว่าแต่คันชักที่สามารถเลื่อนเข้าออกได้เลย กลไกเช่นนี้มิใช่สิ่งที่ชาวไร่ชาวนาธรรมดาอย่างเขาจะสามารถทำขึ้นมาได้
แต่จะซื้อใหม่ก็คงไม่ทันเสียแล้ว พรุ่งนี้ก็จะเปิดเรียนแล้ว
ช่วยไม่ได้ จินเป่าจึงทำได้เพียงสะพายตะกร้าไม้ไผ่ของตน จ่ายค่ารถให้อาสะใภ้สามเป็นจำนวนยี่สิบแปดเหวินด้วยใจที่เต็มไปด้วยความกังวล จากนั้นจึงออกเดินทางไปสำนักศึกษาพร้อมกับต้าหลางสี่พี่น้อง
………………..
MANGA DISCUSSION