ตอนที่ 192 ไม่พอใจก็ลงมือ
………………..
“เจ้ารอง เจ้าอยู่เฝ้ารถม้า!” หลิวไป่ตัดสินใจเด็ดขาด
หลิวจ้งไม่ได้คิดอะไรมาก พยักหน้าตอบรับทันที พร้อมทั้งกำชับจินฮวาให้ตามหลังท่านลุงใหญ่และอาสะใภ้สามไปดีๆ
ซื่อเหนียงจูงมือพี่จินฮวาไว้ ทั้งสองต่างเตรียมพร้อมแล้ว
ฉินเหยาทิ้งต้าหลางและเอ้อร์หลางเอาไว้ จากนั้นออกคำสั่งสั้นๆ แล้วผู้ใหญ่สองคนกับเด็กอีกสี่คนก็วิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ผู้คนที่อยู่บนถนนเห็นเข้าก็ขมวดคิ้วพร้อมกัน ต่างหันมามองด้วยความสงสัยว่าพวกเขากำลังจะทำอะไรกันแน่
กลุ่มคนวิ่งไปจนถึงแนวหน้าของขบวน โชคดีที่ยังมีที่ว่างอยู่ด้านหลังรถม้าของพวกผู้สูงศักดิ์ ฉินเหยาและพวกจึงตรงเข้าไปยืนในจุดนั้น
ซื่อเหนียงกับซานหลางตัวเล็ก วิ่งได้รวดเร็วและคล่องแคล่ว ตรงกันข้ามกับจินเป่าและจินฮวาที่ตัวโตกว่า ทั้งคู่หอบหนักจนเกือบทรุดลงไปนั่งกับพื้น
แต่ก็ถูกซื่อเหนียงกระชากตัวขึ้นมา ก่อนจะกล่าวสั่งสอนด้วยท่าทางราวกับเป็นผู้ใหญ่ “เพิ่งออกกำลังหนักๆ มา ห้ามนั่งลงทันที เดี๋ยวจะหน้ามืดเอาได้!”
จินเป่ายกมือขึ้นโบกไปมา แสดงออกว่าในตอนนี้เขาเวียนศีรษะแล้ว
หลิวไป่รีบอุ้มเขาขึ้นแล้วกำชับให้ค่อยๆ หายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอ มิเช่นนั้นหากเป็นลมไปจริงๆ คงเป็นเรื่องใหญ่แน่
ซื่อเหนียงสอนจินฮวาถึงวิธีหายใจให้เป็นจังหวะ เมื่อทั้งคู่เริ่มหายใจเข้าที่แล้ว นางจึงเปิดขวดน้ำเต้าเล็กๆ ที่ห้อยอยู่กับตัว ส่งให้ทั้งสองผลัดกันจิบเพื่อบรรเทาอาการ
ในตอนนี้เอง เหล่าผู้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังซึ่งจงใจหลีกเลี่ยงพวกผู้สูงศักดิ์ ก็เริ่มแสดงความไม่พอใจและส่งเสียงถามพวกเขาด้วยความไม่สบอารมณ์
หลิวไป่พยายามระงับความร้อนผ่าวบนใบหน้า ไม่เอ่ยคำใด
รถม้าข้างหน้ามีคนสองสามคนเข้ามาตรวจสอบสถานการณ์ เมื่อเห็นว่าไม่ส่งผลกระทบต่อพวกตน พวกเขาจึงถอยกลับไป
ผู้คนข้างหลังเมื่อเห็นดังนั้นก็ยิ่งไม่พอใจขึ้นไปอีก พวกเขาตะโกนลั่นให้ฉินเหยากับพวกหลีกทางไปอยู่ข้างหลัง
ฉินเหยาไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย นางยังสั่งให้เด็กทั้งสี่ปิดหู ไม่ต้องสนใจเสียงรอบข้าง
เพราะกลัวว่าเด็กๆ จะรู้สึกกดดัน ฉินเหยาจึงพูดจาจริงจังแต่ไร้สาระว่า “ที่ตรงนี้เดิมทีก็ไม่มีใครอยู่ พวกเขาไม่กล้ายืนตรงนี้เอง แต่กลับไม่ยอมให้คนอื่นอยู่แทน แบบนี้มันไม่มีเหตุผลเลย”
ซื่อเหนียงเอ่ยถามว่า “พวกเรากล้ายืนตรงนี้ ดังนั้นนี่คือสิ่งที่พวกเราควรได้ ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ฉินเหยายกมือขึ้นลูบมวยผมกลมที่นางตั้งใจมัดให้เด็กหญิงตัวน้อยในวันนี้พลางยิ้มอย่างพึงพอใจ “ถูกต้อง เป็นเช่นนั้นแหละ”
ที่สำคัญพวกที่อยู่ข้างหลังเพิ่งจะโวยวายขึ้นมาก็ตอนที่เห็นว่าคนข้างหน้าไม่ได้สนใจสิ่งที่พวกเขาเหล่านี้ทำด้วยซ้ำ
พวกเขาปล่อยให้พวกตนมาลองหยั่งเชิงแทนก่อน เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตรายถึงค่อยเข้ามาแย่ง แบบนี้ไม่ไร้สาระเกินไปหน่อยหรือ
ถนนกว้างถึงเพียงนี้ รถม้าข้างหน้าจงใจจอดขวางทางไว้ เช่นนั้นพื้นที่ที่คนทั่วไปยืนอยู่และใกล้กับสำนักศึกษาที่สุดก็คือพื้นที่ตรงนี้ที่พวกฉินเหยายืนนั่นเอง
นี่ไม่ใช่สังคมอารยะในยุคปัจจุบัน ทรัพยากรมีจำกัด หากฉินเหยาปล่อยที่ตรงนี้ไปก็มีแต่จะเสียเปรียบ
ไม่ว่าผู้คนข้างหลังจะเอะอะโวยวายเพียงใด นางก็เมินเฉยโดยสิ้นเชิง
หลิวไป่แทบจะต้านทานไม่ไหวแล้ว แต่เพราะมีฉินเหยาอยู่ข้างกาย เขารู้ถึงความสามารถของนาง จึงยังพอมีที่ให้พึ่งพิง
จินเป่ากำลังทะเลาะกับเด็กอีกสองสามคน เด็กพวกนั้นเถียงสู้เขาไม่ได้ก็เกือบจะร้องไห้ออกมา ต้องดึงแขนผู้ใหญ่ของตนเอาไว้แน่น
บรรดาผู้ใหญ่เมื่อเห็นลูกหลานของตนเป็นเช่นนี้ต่างก็เดือดดาลนัก พวกเขาไม่เคยพบเห็นคนหน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน!
จินฮวารู้สึกได้ถึงความโกรธเกรี้ยวจากด้านหลังที่ใกล้จะปะทุถึงขีดสุด นางรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยจึงรีบมุดเข้าไปอยู่ระหว่างซื่อเหนียงและฉินเหยา
ซื่อเหนียงตบมือพี่สาวอย่างมั่นอกมั่นใจ “ไม่ต้องกลัว พวกเราคือฝ่ายที่มีเหตุผล”
จินฮวาพยักหน้าหนักแน่น “พวกเราคือฝ่ายที่มีเหตุผล~”
หลิวไป่ได้ยินเข้าก็หัวใจกระตุกวูบ สองพี่น้องคู่นี้คนหนึ่งกล้าพูด อีกคนก็กล้าเชื่อจริงๆ
ไม่นาน อารมณ์โกรธของผู้คนก็พุ่งถึงขีดสุด พวกเขาสะบัดศีรษะสะบัดแขน แล้วพุ่งเข้าหาหลิวไป่ซึ่งเป็นชายฉกรรจ์เพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนั้น
ใบหน้าของหลิวไป่ซีดเผือด รีบร้องเสียงดัง “น้องสะใภ้สาม!”
ทุกคนได้ยินเข้าก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะพรืดออกมา บุรุษอกสามศอกกลับกลัวเสียจนต้องร้องเรียกน้องสะใภ้สาม เป็นภาพที่น่าขบขันยิ่ง…
แต่ยังไม่ทันได้หัวเราะจบ คำว่า “นัก” ยังไม่ทันเอ่ยออกมาเต็มปาก เสียงหัวเราะก็พลันขาดห้วง
เห็นเพียงเงาสีครามสายหนึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ฝ่ามือลมทรงพลังฟาดออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับพายุ เพียงพริบตาเดียว ผู้คนที่ล้อมรอบตัวหลิวไป่ก็ถูกพลังโจมตีซัดกระเด็นถอยออกไปไกลถึงสามสี่เมตร พื้นที่รอบตัวหลิวไป่กลายเป็นวงกลมที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ราวกับเป็นเขตสุญญากาศ
ฉินเหยาก้าวมายืนขวางหน้าหลิวไป่อย่างมั่นคง จากนั้นเท้าเอวแล้วตวาดเสียงดังลั่นด้วยโทสะ “ไม่พอใจก็เข้ามา! ถ้าไม่อยากสู้ก็อยู่เฉยๆ เข้าแถวของพวกเจ้าไป อย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่น!”
เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้น ทั่วทั้งลานพลันก็เงียบกริบไปสองวินาที ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องอุทานเป็นระลอก
ฉินเหยาก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว ฝูงชนก็พากันถอยกรูดไปพร้อมกันถึงสามสี่เมตร ผลักดันให้ผู้ที่อยู่ข้างหลังซึ่งยังไม่รู้เรื่องราวถูกเบียดจนแสดงความไม่พอใจออกมา
ฉินเหยาแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ แล้วหมุนตัวกลับไป จัดให้เด็กๆ เข้าแถวประจำที่
ผู้คนส่วนใหญ่เข้าแถวกันห่างจากพวกนางถึงสามเมตร ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แม้แต่น้อย แม้แต่คนที่เผลอถูกดันออกมาด้านหน้าก็ตกใจและหวาดกลัวจนได้แต่สบถด่าคนข้างหลังไปพลาง ขณะเดียวกันก็รีบลากลูกหลานของตัวเองให้ถอยออกไป ไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้สตรีผู้นั้นอีก
ฉินเหยาเป็นที่รู้จักอยู่บ้างในตัวเมือง ไม่นานก็มีคนจำได้ว่านางคือเถ้าแก่เนี้ยของโรงโม่น้ำหมู่บ้านตระกูลหลิว และแน่นอนว่าพวกเขาต่างรู้ถึงพลังอันมหาศาลของนางจึงพากันจ้องมองด้วยความตกตะลึงอยู่ครู่ใหญ่
เมื่อเห็นว่ายังมีบางคนที่แอบไม่ยอมรับ คนข้างๆ จึงรีบกระตุกแขนเขาเบาๆ ให้หยุดพูดไปเสีย พร้อมกระซิบบอกว่า ฉินเหนียงจื่อผู้นั้นไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยได้ง่ายๆ
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังถือโอกาสเล่า ‘ข่าวลือ’ เกี่ยวกับฉินเหยาให้คนอื่นๆ ฟังอีกครั้ง ตั้งแต่นางใช้มือเพียงข้างเดียวฟาดภูเขาให้แยกออก หรือใช้สองนิ้วแบกรับของหนักกว่าพันจิน
เมื่อฉินเหยาหันกลับไปอีกครั้ง นางก็พบว่าระยะห่างจากผู้คนที่อยู่ข้างหลัง จากเดิมที่ว่างอยู่สามเมตร ได้ขยายเป็นห้าเมตรตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
ในที่สุด ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว ประตูของสำนักศึกตระกูลติงถูกเปิดออกอย่างช้าๆ โดยบ่าวรับใช้ของตระกูล
ผู้ดูแลคนหนึ่งของตระกูลติงก้าวออกมาข้างหน้า ด้านหลังเขาสามารถมองเห็นโต๊ะเรียนที่จัดเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อย บนโต๊ะมีพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกวางอยู่
ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือหน้าโต๊ะเรียนก็คือบัณฑิตสามคนที่แต่งกายอย่างอาจารย์ผู้สอน อายุราวสี่สิบถึงห้าสิบปี
บ่าวรับใช้และผู้คุ้มกันของตระกูลติงถูกระดมมาไม่น้อย พวกเขายืนเป็นสองแถวอยู่ด้านนอกสำนักศึกษาเพื่อช่วยรักษาความสงบเรียบร้อย
ส่วนคนในตระกูลติงกลับไม่มีใครปรากฏตัว อาจเป็นเพราะไม่สะดวกมา เผื่อพบกับคนรู้จักแล้วจะได้ไม่กระอักกระอ่วน
สำนักศึกษาตระกูลติงไม่ใช่สถานที่ที่จะเข้าไปเรียนได้ง่ายๆ นอกจากเด็กในตระกูลตนเองแล้ว ศิษย์นอกตระกูลต้องให้พ่อแม่สร้างสัมพันธ์กับตระกูลติงก่อนจึงจะส่งบุตรหลานมาเรียนได้
แต่สำหรับผู้ที่มีอำนาจมากกว่านั้นก็มักจะไม่นำบุตรหลานของตนมาเข้าเรียนที่นี่ เพราะสามารถเชิญอาจารย์มาสอนที่บ้านได้
ครอบครัวที่เข้าแถวอยู่ด้านหน้าฉินเหยาในวันนี้ล้วนแต่เป็นตระกูลเล็กๆ ในละแวกเมืองที่มีฐานะอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่อาจเทียบชั้นกับตระกูลใหญ่ได้
แต่สำหรับชาวบ้านทั่วไป คนเหล่านี้ก็ถือเป็นผู้สูงศักดิ์ที่พวกเขาไม่อาจล่วงเกินได้แล้ว
ผู้ดูแลประกาศกฎเกณฑ์ เนื่องจากครั้งนี้ราชโองการมาถึงอย่างกะทันหัน สำนักศึกษาที่ทางตระกูลเตรียมไว้เดิมทีไม่เพียงพอรองรับเด็กจำนวนมากได้ ดังนั้นปีนี้ สำนักศึกษาตระกูลติงจึงสามารถรับเพิ่มได้อีกเพียงสามสิบคนเท่านั้น
เวลารับสมัครวันนี้จะสิ้นสุดในช่วงเที่ยง เด็กที่ลงชื่อก่อนเที่ยง จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการสอบคัดเลือกในช่วงบ่าย และผู้ที่ได้คะแนนติดอันดับสามสิบอันดับแรกถึงจะถูกรับเข้าเรียน
เมื่อได้ยินกฎเกณฑ์นี้ หลิวไป่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดหวั่น โชคดีที่พวกเขามาตั้งแต่วันนี้ ถ้าหากมาพรุ่งนี้ล่ะก็ ทุกอย่างคงสายไปเสียแล้ว
จินฮวาและจินเป่ารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อมองเข้าไปเห็นพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบภายในสำนักศึกษาก็อดรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาไม่ได้
ซานหลางที่ขี้ขลาด เมื่อเห็นคนมากมายรอบตัวก็หดตัวเข้าไปในอ้อมอกของท่านแม่ ราวกับกระรอกตัวน้อย ดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องสำรวจผู้คนและสิ่งรอบตัวด้วยความวิตกกังวล
แต่ซื่อเหนียงไม่เป็นเช่นนั้น นางกำหมัดแน่น ดวงตาเปล่งประกายราวกับอดใจรอไม่ไหว
………………..
MANGA DISCUSSION