ตอนที่ 187 เหตุใดข้าจึงมิอาจ
………………..
แต่บนไม้สองท่อนนี้กลับไม่มีร่องรอยของขอเกี่ยวใดๆ เป็นเพียงแท่งไม้ที่สมบูรณ์
เช่นนั้นจุดสำคัญย่อมต้องอยู่ที่แผ่นไม้หนาทรงสี่เหลี่ยมแผ่นนั้น ภายในนั้นต้องมีกลไกที่แยบยลซ่อนอยู่เป็นแน่
“จะเก็บกลับเข้าไปอย่างไรหรือ” ฉินเหยาถามด้วยความสนใจ
ช่างไม้หลิวชี้ไปยังด้านล่างของแผ่นไม้หนา “เจ้ากดแท่งไม้เล็กๆ ที่นูนออกมาตรงนี้กลับเข้าไปก็จะสามารถเก็บลงไปได้”
ฉินเหยาทำตาม เมื่อสัมผัสใต้แผ่นไม้หนาก็พบว่ามีชิ้นไม้สี่เหลี่ยมขนาดเท่าหัวแม่มือนูนออกมาอยู่ นางออกแรงเล็กน้อยแล้วกดมันลงไป ไม้คานที่ตั้งอยู่พลันส่งเสียง คลิก แล้วหดกลับเข้าไปในพริบตากลายเป็นที่จับที่สูงกว่าหีบหนังสือเพียงห้าเซนติเมตร
“ยอดเยี่ยมนัก!” ฉินเหยากล่าวชมด้วยความทึ่ง
ช่างไม้หลิวยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “นี่เป็นเคล็ดวิชาเฉพาะที่ท่านอาจารย์ของข้าถ่ายทอดมาให้ ข้าจึงมิอาจบอกกลไกภายในแก่เจ้าได้”
กลไกที่สืบทอดกันมาเช่นนี้ ก่อนที่จะเรียนรู้ล้วนต้องสาบานต่อหน้าท่านอาจารย์ หากมิใช่ศิษย์ปิดสำนักแล้วไซร้ก็จะไม่มีวันถ่ายทอดให้
ในปีนั้น ท่านอาจารย์ของเขาเลือกเขาจากบรรดาศิษย์ที่มีพรสวรรค์ให้เป็นศิษย์ปิดสำนัก หลังจากถ่ายทอดศาสตร์เหล่านี้ให้แก่เขาจนหมดสิ้นก็ลาจากโลกนี้ไป
เมื่อนึกถึงท่านอาจารย์ นัยน์ตาของช่างไม้หลิวก็เต็มไปด้วยความอาลัย “ปีนั้นท่านอาจารย์ถ่ายทอดวิชาลับให้ข้าแล้วจากไป ทำให้ข้ารู้เพียงกลไกไม่กี่ชนิด แต่กลับไม่รู้ว่ามันสามารถนำไปใช้ที่ใด ข้าหมกมุ่นศึกษามาหลายปี ก็สร้างได้เพียงแค่เก้าอี้ที่มีพนักพิงตัวหนึ่งเท่านั้น”
“หากท่านอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ หีบหนังสือลากจูงนี้คงสร้างขึ้นมานานแล้ว”
ฉินเหยาลูบไล้หีบเดินทางขนาดเล็กอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางมันลงด้วยความเสียดาย จากนั้นหันไปกล่าวกับช่างไม้หลิวที่กำลังหม่นหมองว่า
“บางทีอาจเป็นเพราะเมืองนี้ของเราค่อนข้างเล็กจึงไม่เคยพบเห็นมาก่อนก็เท่านั้น”
ของสิ่งนี้ไม่ได้ถูกพวกเขาประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเอง พวกเราจึงควรถ่อมตนบ้าง
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ ความเศร้าของช่างไม้หลิวก็พลันมลายหายไป เขาบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าช่างทำลายบรรยากาศเสียจริง!”
ฉินเหยายักไหล่ ก่อนจะลูบหีบหนังสือเล็กนั้นอีกครั้งด้วยความหลงใหล “วันนี้พักก่อนเถอะ พรุ่งนี้รีบทำให้ข้าสักสองใบ ต้าหลางกับเอ้อร์หลางของข้าต้องใช้มันเพื่อไปเรียนหนังสือ”
“โอ้ จริงสิ คืนนี้ข้าจะกลับไปโต้รุ่ง จัดแบ่งพื้นที่ภายในใหม่ให้เหมาะสม พรุ่งนี้ท่านทำตามแบบที่ข้าวาดให้ก็แล้วกัน”
ในเมื่อมันกลายเป็นหีบเดินทางแล้ว ของที่สามารถใส่ลงไปย่อมต้องมีมากกว่านี้
เช่นอาวุธขนาดเล็กสำหรับป้องกันตัว สมควรมีช่องพิเศษสำหรับเก็บมันไม่ใช่หรือ
ยังมีร่มอีก สมควรเพิ่มช่องสำหรับมันด้วยหรือไม่
โชคดีที่ช่างไม้หลิวไม่รู้ว่าฉินเหยาคิดอะไรอยู่ มิเช่นนั้นคืนนี้เขาคงนอนไม่หลับเป็นแน่
เพียงแค่คิดว่าจะวางร่มอย่างไรดี เขาก็คงขบคิดมันตลอดทั้งคืนแล้ว
“เดี๋ยวก่อน เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าจะตั้งชื่อหีบนี้ว่าอะไร”
เห็นฉินเหยาเตรียมจะลากหีบไม้ใบเล็กกลับบ้าน ช่างไม้หลิวจึงรีบเอ่ยถาม
ฉินเหยาร้อง “ซี๊ด” ออกมาคำหนึ่ง ให้คนที่ตั้งชื่อไม่ได้เรื่องมาคิดชื่อ เป็นการยากสำหรับนางเกินไปหน่อยหรือไม่
หีบเดินทางชื่อนี้ดูจะไม่เหมาะสักเท่าไรนัก เพราะแท้จริงแล้วนี่คือหีบหนังสือ ใช้สำหรับบรรทุกตำรา มิใช่หีบสำหรับเก็บสัมภาระ
ถ้าเช่นนั้นเรียกมันว่า…คิดไม่ออก!
ฉินเหยาถนัดนักในการโยนปัญหาให้ผู้อื่น นางยิ้มพลางหันไปกล่าวกับช่างไม้หลิวว่า “นี่เป็นผลงานของท่าน เช่นนั้นชื่อของมันก็สมควรเป็นท่านที่ตั้ง”
นางจ้องมองเขาด้วยดวงตาใสซื่อจริงใจ ช่างไม้หลิวรู้สึกปลื้มปริ่มอยู่ลึกๆ แต่ก็ยังคงแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจต่อสิทธิ์ในการตั้งชื่อ เขาโบกมืออย่างถ่อมตัวก่อนกล่าวว่า
“หีบหนังสือนี้ทั้งช่วยผ่อนแรงและจุของได้มาก เช่นนั้นเรียกมันว่า…หีบหนังสือพลังเซียน?”
ขมับของฉินเหยากระตุกอย่างแรง แม้เบื้องหน้าจะกล่าวว่าดีออกไป แต่ภายในใจกลับบ่นอย่างจนปัญญาว่า ช่างไม้หลิว ทักษะการตั้งชื่อของท่านนี่มันช่างน่าผิดหวังจริงๆ
……
“หีบหนังสือพลังเซียน?”
เด็กทั้งสี่ในบ้านล้อมวงอยู่รอบหีบหนังสือที่ท่านแม่ของพวกเขานำกลับมา จิ้มบ้าง แตะบ้าง ในใจก็คิดสงสัยว่าหรือจะมีพลังเซียนแฝงอยู่ข้างบนนั้น?
ฉินเหยารินน้ำร้อนใส่ถ้วยให้ตัวเอง ดื่มหมดรวดเดียวแล้วสั่งให้ซานหลางไปเดินปิดประตู นางเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะขนถ้วยชามดินเผาและเครื่องเคลือบต่างๆ ที่อยู่บนตู้ลงมา เปิดลิ้นชักของหีบหนังสือแล้วนำถ้วยชามหนักๆ เหล่านี้ใส่เข้าไป
ฉินเหยาลองยกดู มันหนักพอสมควร เมื่อรวมกับน้ำหนักของตัวหีบหนังสือที่หนักราวสิบกว่าจินแล้ว สำหรับเด็กที่ไม่เคยฝึกฝนพละกำลังมาก่อนอย่างเอ้อร์หลาง นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้แผ่นหลังของเขาทรุดลงแล้ว
ฉินเหยาพยักเพยิดไปทางเอ้อร์หลาง “ลองดูสิ ว่ายกขึ้นไหวหรือไม่”
เอ้อร์หลางรีบพุ่งขึ้นไปลองยกหีบหนังสือ ทว่า…ยกไม่ขึ้น ยกไม่ขึ้นจริงๆ!
แต่กลับเผลอไปกระแทกล้อเข้า ทำให้หีบหนังสือหมุนคว้างอยู่กับที่
ของที่ช่างไม้หลิวทำออกมา นับว่าเรียบลื่นไร้ที่ติ!
เมื่อต้าหลางเห็นเอ้อร์หลางเผลอไปดันล้อเช่นนั้นก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา เขาดึงเอ้อร์หลางที่ยังคงพยายามยกหีบหนังสือขึ้นออกมาแล้วเข้าไปจัดการด้วยตัวเอง ใช้มือจับหูหิ้วซึ่งยื่นออกมาเล็กน้อย
ออกแรงดึงเบาๆ เท่านั้น หูหิ้วก็ยืดยาวออกมาจนถึงระดับเอวของเขาพอดี
ตำแหน่งนี้ เพียงเอื้อมมือก็สามารถจับดึงได้โดยง่าย
อย่างไรก็ตาม ต้าหลางยังไม่ได้นึกถึงการทำให้หีบหนังสือเอียงลงแล้วลากไป เขาเพียงแค่คิดถึงการผลักหีบหนังสือไปบนพื้นเท่านั้น
แม้หีบหนังสือจะบรรจุถ้วยชามหนักอึ้งไว้ แต่กลับสามารถผลักไปข้างหน้าได้อย่างง่ายดายราวกับไร้น้ำหนัก
ซานหลางอ้าปากค้างแล้วกล่าวด้วยแววตาหนักแน่นว่า “มีพลังเซียนจริงๆ ด้วย!”
ฉินเหยาถูกเจ้าเด็กโง่นี่ทำให้ขำเข้าแล้ว นางจึงเดินไปรับหีบหนังสือจากมือต้าหลางมา แล้วสาธิตวิธีใช้งานที่ถูกต้องให้ดู ทั้งผลักบนพื้นเรียบ ลากขึ้นทางลาด หรือแม้แต่หมุนเปลี่ยนทิศ ล้วนทำได้โดยไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย
จากนั้น นางก็ให้ต้าหลางกับเอ้อร์หลางลองทำอีกครั้ง ทั้งสองคนลากหีบหนังสือออกไปถึงลานบ้าน แล้วเริ่มออกแรงวิ่งลากมันไป
ทั่วทั้งลานบ้านเต็มไปด้วยเสียงล้อไม้ที่หมุนกลิ้งไปมาอย่างรวดเร็ว
“ว้าว สนุกจังเลย!” ซื่อเหนียงตาเป็นประกาย ยื่นมือออกไปให้พี่ใหญ่อุ้มขึ้นนั่งบนหีบหนังสือ
ต้าหลางรีบหันไปมองฉินเหยา “ให้คนนั่งได้หรือไม่ขอรับ”
“ก็ใช่ว่าจะไม่ได้” ฉินเหยาพึมพำ นางนึกถึงกระเป๋าเดินทางในยุคปัจจุบันที่ผู้คนนั่งอยู่บนนั้นเป็นประจำ
ซื่อเหนียงสมดังใจ นางนั่งลงบนหีบหนังสือ ภายใต้แรงผลักและดึงของพี่ใหญ่กับพี่รอง นางก็ ‘เหินบิน’ อย่างสนุกสนาน
เพราะพวกเขารู้ดีว่า หีบหนังสือพลังเซียนนี้ ฉินเหยาทำขึ้นมาเพื่อพี่ชายทั้งสองคนเป็นพิเศษ
มีเพียงผู้ที่จะไปสำนักศึกษาเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ได้
ซานหลางไม่ได้อิจฉานัก เพราะเขารู้ว่าอีกไม่นานก็จะถึงตาของตนเอง
ท่านแม่เคยบอกไว้ว่า รอให้เขาโตกว่านี้อีกหน่อยก็จะส่งเขาไปสำนักศึกษาเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงตามติดพี่ใหญ่และพี่รอง ขอให้พวกเขาเก็บของเก่าที่ใช้แล้วไว้ให้ตนเองในภายหลัง
ต้าหลางและเอ้อร์หลางเองก็ตื่นเต้นกับการได้นำหีบหนังสือพลังเซียนไปสำนักศึกษา สามพี่น้องมัวแต่มีความสุขกับเรื่องนี้จึงไม่มีใครสังเกตเห็นอารมณ์หดหู่ของซื่อเหนียง
เด็กหญิงนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าหีบหนังสือพลังเซียน มือเล็กๆ ดึงลิ้นชักออกแล้วปิดกลับ ทำซ้ำไปซ้ำมา
ในวัยเพียงเท่านี้ นางกลับมีความทุกข์ใจเสียแล้ว
ฉินเหยาล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เงยหน้ามองไปยังห้องโถง สามพี่น้องยังคงพูดคุยกันอย่างออกรสชาติ โดยไม่รู้เลยว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ควรอาบน้ำแล้วเข้านอนได้แล้ว
“เอ๋?”
“ซื่อเหนียงเป็นอะไรไป”
“ซื่อเหนียง ง่วงแล้วหรือ” ฉินเหยายิ้มพลางเดินเข้ามาในห้อง ยื่นมือออกมาอุ้มเจ้าก้อนกลมที่ซุกตัวอยู่หน้าหีบหนังสือขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ
ซื่อเหนียงเอียงศีรษะซบลงบนไหล่ของท่านแม่ในทันที มือเล็กๆ โอบรอบคอนาง พลางบ่นพึมพำอย่างน้อยใจว่า “พี่ชายล้วนได้ไปสำนักศึกษา เหตุใดข้าจึงไปไม่ได้เล่า”
………………..
MANGA DISCUSSION