ตอนที่ 184 เยี่ยมหลุมศพ
………………..
“ข้าฝันถึงแม่ของลูก”
หลิวจี้ห่อตัวอยู่ในผ้าห่ม ร่างสั่นสะท้าน เอ่ยกับฉินเหยาด้วยท่าทางน่าสงสารไร้ที่พึ่ง
ฉินเหยาได้ยินเช่นนั้นพลันนึกว่าเขากำลังด่าแม่ผู้อื่นอยู่
แต่เมื่อนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเข้าใจว่าเป็นผลจากการสาปแช่งของคนตระกูลม่อ หลิวจี้ถูกความรู้สึกในใจกัดกินจึงฝันถึงนางม่อที่ล่วงลับไปแล้ว
ผู้คนมักกล่าวว่า หากมิได้ทำเรื่องผิด ยามค่ำคืนก็ไม่ต้องหวาดกลัวผีมาเคาะประตู แต่ดูจากท่าทีของหลิวจี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาคงทำเรื่องไม่ดีมาเยอะถึงได้หวาดกลัวเช่นนี้
สายลมหนาวจากภายนอกพัดเข้ามาผ่านบานประตู ฉินเหยาส่งสัญญาณให้ต้าหลางไปปิดประตู พร้อมบอกพวกเด็กๆ ว่าไม่มีเรื่องอะไร
ต้าหลางรับคำแล้วทำตาม ก่อนจะคว้าเสื้อคลุมมาสวม จากนั้นไปปิดประตูให้สนิท แล้วกลับมากระโดดขึ้นเตียงเข้าไปเบียดในผ้าห่มผืนเดียวกับท่านพ่อเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น
อาจเป็นเพราะความหวาดกลัวในใจ หลิวจี้จึงคว้าตัวต้าหลางมากอดแนบอกแน่น
ต้าหลางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความรู้สึกประหม่า
ฉินเหยานั่งอยู่ตรงข้ามสองพ่อลูก สายตาเต็มไปด้วยความสงสัยก่อนจะเอ่ยถามว่า “ในฝันเป็นเช่นไร”
หลิวจี้อึกอักอยู่ครู่หนึ่ง พูดอ้อมไปอ้อมมา ไม่สามารถอธิบายเนื้อหาฝันได้ชัดเจน เพียงบอกว่ามันช่างน่าสะพรึงกลัว วิญญาณของนางบีบคอเขา สาปแช่งให้เขาไม่ตายดี และจะมาทวงชีวิตของเขา
ก่อนหน้านี้ หลิวจี้ไม่เคยฝันถึงนางม่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ทำให้เขาตกใจจนขวัญเสีย
ฉินเหยาฟังคำบรรยายอันสับสนของเขาจนจบ ก่อนจะอ้าปากหาวอย่างเบื่อหน่าย “ข้ายังนึกว่าจะตื่นเต้นมากกว่านี้เสียอีก ที่แท้ก็แค่นี้เองหรือ”
“ต้าหลาง กลับเรือนนอนได้แล้ว” ฉินเหยาลุกขึ้น ยกมือเรียกต้าหลางเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป
“อา!” หลิวจี้ตกใจ เขาขวางฉินเหยาไม่ได้จึงกอดต้าหลางไว้แน่น “ลูกคนดีของพ่อ คืนนี้มานอนกับพ่อดีหรือไม่ พวกเราจะได้ใกล้ชิดกันบ้าง”
แต่เมื่อได้ยินท่านพ่อเอ่ยถึงมารดาผู้ล่วงลับ หัวใจของหนุ่มน้อยก็ยากจะสงบลงได้ ในที่สุดเขาก็พยักหน้าไปตามน้ำ สองพ่อลูกจึงวานให้ฉินเหยาช่วยปิดประตูให้ ก่อนจะเอนกายลงบนเตียงด้วยกัน
ฉินเหยาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ก่อนจะปิดประตูให้พวกเขาด้วยท่าทีเอือมระอา
เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วยามก่อนฟ้าสาง ฉินเหยากลับห้องแล้วงีบไปครู่หนึ่ง พอถึงยามเช้าก็ลุกขึ้นมาฝึกวรยุทธ์ตามปกติ
จนกระทั่งนางฝึกเสร็จ ค่อยได้ยินเสียงกรนเบาๆ มาจากเรือนของหลิวจี้ ซึ่งปกติเขาเป็นผู้ตื่นเช้าที่สุด
ดูท่าเขาจะนอนหลับสบายอยู่ไม่น้อย
โรงงานไม่มีงานให้ทำแล้ว คนงานเดิมในโรงงานถูกปล่อยกลับบ้าน ฉินเหยาเดินสำรวจรอบหนึ่ง ก็พบเพียงช่างไม้หลิวกับบุตรชายของเขากำลังทาสีอยู่
งานที่ต้องส่งหลังปีใหม่ก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือแค่นำส่งให้ลูกค้าหลังวันที่สิบห้า
พอเห็นฉินเหยาเดินเข้ามา ช่างไม้หลิวก็ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “พวกเราคงไม่ถึงขั้นต้องปิดกิจการหรอกใช่ไหม”
“ดูถูกคำสั่งซื้อเล็กๆ หรือ” ฉินเหยาถามกลับด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่
ช่างไม้หลิวรีบส่ายหน้า “ข้าจะกล้าดูถูกได้อย่างไร จากแรกเริ่มพวกเราก็เริ่มจากงานเล็กๆ เช่นนี้อยู่แล้ว”
“ก็แค่ก่อนหน้านี้ยุ่งมากแล้วจู่ๆ ก็ว่างลงทันที รู้สึกไม่ค่อยชินน่ะ”
ฉินเหยาตรวจสอบหินโม่ที่จะนำไปเปลี่ยน ตรวจไปพลางยิ้มอย่างสงบนิ่งกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก จะได้พักผ่อนบ้าง อีกอย่างเมื่อพ้นวันสิบห้าไปแล้ว คาดว่าคงมีคนอีกมากมายมาขอให้พวกเราช่วยซ่อมแซม ถึงตอนนั้นคงยุ่งไม่น้อย”
กังหันน้ำที่ทำจากไม้มักเกิดปัญหาได้ง่าย กังหันน้ำเล็กของบ้านนางนั้น นางต้องตรวจสอบอย่างละเอียดทุกครึ่งเดือน
ปัญหาหลักเกิดจากข้อจำกัดของสภาพแวดล้อมของกระแสน้ำ ไม่มีปูนสำหรับสร้างทางนำเข้าน้ำที่เรียบลื่นและไม่มีตาข่ายเหล็กสำหรับกรองสิ่งเจือปนในน้ำ ทำให้กังหันน้ำมักจะดึงเอาสิ่งสกปรกเข้าไปจนติดขัดได้
แต่ฉินเหยาก็ให้ช่างไม้หลิวศึกษาเกี่ยวกับการใช้ไม้ไผ่สานเป็นตะแกรงกรองน้ำ ฝีมือของเขาที่เคยช่วยนางสานกรอบไม้ไผ่สำหรับใส่ถ่านมาก่อนก็นับว่าไม่เลวทีเดียว
เพียงแต่วัสดุเหล่านี้ต้นทุนต่ำเกินไปจึงขายได้ราคาไม่สูง
ยิ่งไปกว่านั้น ชาวบ้านที่ฉลาดหน่อยก็ทำตะแกรงกรองน้ำจากไม้ไผ่ใช้กันเองตั้งนานแล้ว
ไป๋ซั่นนำกังหันน้ำห้าสิบชุดลงใต้ หากได้รับผลตอบรับที่ดี กิจการของพวกเขาก็จะรุ่งเรืองขึ้นมิใช่หรือ
แต่หากผลตอบรับไม่ดี นั่นก็แสดงว่าความต้องการของตลาดไม่ได้สูงนัก หยุดทันเวลาก็สามารถลดความเสียหายได้
ช่างไม้หลิวเองก็รู้ว่าร้อนใจไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรจึงเลิกคิดให้ปวดหัวแล้วมุ่งทำงานตรงหน้าต่อไป เขายังต้องซ่อมบ้าน อีกไม่นานก็คงยุ่งเหมือนกัน
ตอนที่ฉินเหยากลับถึงบ้าน หลิวจี้ก็เตรียมสำรับอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังผัดหมูสามชั้นมันเยิ้มเพิ่มมาอีกสองชิ้น แยกใส่ชามกระเบื้องสีเขียววางไว้ในตะกร้าไม้ไผ่
ภายในตะกร้ายังมีธูป เทียนและกระดาษเงินกระดาษทองอยู่ด้วย
“น้าเหยา พวกเราอยากไปเยี่ยมท่านแม่สักหน่อย” ต้าหลางเอ่ยขึ้นอย่างลังเลเล็กน้อย
ฉินเหยามองหลิวจี้ด้วยความประหลาดใจ นี่เขาเกิดจิตสำนึกขึ้นมางั้นหรือ
แต่ว่าตั้งแต่เมื่อใดกันที่คนผู้นี้เกิดมีจิตสำนึกขึ้นมา?
ฉินเหยาหันไปกำชับต้าหลาง “นำเคียวไปด้วย ไปช่วยตัดหญ้าบนหลุมศพให้เรียบร้อย”
คิดไปคิดมา นางเองก็ไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน อีกทั้งยังอยากรู้ว่าคนอย่างหลิวจี้คิดจะทำอะไร นางจึงหันไปถามเด็กทั้งสี่คนว่า “ข้าขอไปกับพวกเจ้าด้วยได้หรือไม่”
ต้าหลางถามอย่างยินดี “จริงหรือ”
เขานึกว่าฉินเหยาจะถือสาเสียอีก คิดไม่ถึงว่านางไม่เพียงยินยอม ซ้ำยังอยากไปกับพวกเขาด้วย
ฉินเหยาพยักหน้า จากนั้นก็ถามซ้ำอีกครั้งว่าสรุปพวกเขาตกลงหรือไม่
แน่นอนว่าต้องตกลงอยู่แล้ว! ต้าหลางและเอ้อร์หลางพยักหน้าแรงเสียจนศีรษะแทบจะหลุดออกจากบ่า ท่าทางดีใจมาก
ดังนั้นหลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้าที่ล่วงเลยเวลาไปจนกลายเป็นมื้อสายเสร็จเรียบร้อย ทั้งครอบครัวหกชีวิตจึงเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ รวมทั้งเคียวและจอบ ก่อนมุ่งหน้าไปยังเชิงเขาด้านทิศใต้
ที่นั่นคือสุสานบรรพชนของตระกูลหลิว บรรจุร่างของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วของตระกูลหลิว
ทว่าเพราะหลิวจี้ขายที่ดินบรรพชนในส่วนของตนให้กับหลิวต้าฝูไปเมื่อปีนั้นทำให้หลุมศพของ นางม่อจึงทำได้เพียงตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามที่ดินบรรพชนอย่างโดดเดี่ยว
ยิ่งเข้าใกล้หลุมศพมากเท่าใด สีหน้าของหลิวจี้ก็ยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้นเท่านั้น
ราวกับเขาไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เขายืนแข็งทื่อจ้องมองหลุมฝังศพที่พังทลายจนเหลือเพียงกองดินเล็กๆ พร้อมด้วยวัชพืชที่ขึ้นรกรุงรังทั่วหลุมอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
“เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้” เขาพึมพำกับตนเองเสียงแผ่วเบา
ฉินเหยาเองก็รู้สึกตกใจเช่นกัน หลุมศพนี้ช่างทรุดโทรมเสียจริง
นางปรายตามองหลิวจี้ก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าควรฝันร้ายให้มากกว่านี้จริงๆ”
เมื่อมาถึงหน้าหลุมฝังศพ เนื่องจากในตอนนั้นไม่มีเงินจึงทำได้เพียงฝังศพอย่างลวกๆ หลิวเหล่าฮั่นเองก็รู้สึกผิดในใจจึงไปขอให้ช่างไม้หลิวช่วยทำป้ายไม้ให้
บัดนี้ หลังจากผ่านลมฝนมานาน ตัวอักษรบนป้ายไม้ก็เลือนรางไปหมดแล้ว เนื้อไม้ถูกกัดกร่อนแทบไม่เหลือ ฉินเหยารู้สึกว่าหากนางออกแรงบีบเบาๆ ไม้นี้ก็คงแตกเป็นผุยผงปลิวหายไปตามสายลม
ต้าหลางเคยแอบมาที่นี่เพื่อเซ่นไหว้อยู่บ้าง ร่องรอยของกระดาษเงินกระดาษทองที่เผายังคงเหลืออยู่ตามกอหญ้า
ซานหลางและซื่อเหนียงมองกองดินที่เต็มไปด้วยวัชพืชตรงหน้าแล้วหันไปมองผู้ใหญ่ในครอบครัว ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสน
พวกนางไม่รู้ว่าผู้ใหญ่มาทำอะไรกันที่นี่ พี่ใหญ่กับพี่รองบอกว่ามารดาแท้ๆ ของพวกเขาอยู่ที่นี่ แต่พวกนางกลับไม่เห็นผู้ใดเลย
เอ้อร์หลางเห็นแววตางุนงงของน้องทั้งสองจึงทำได้เพียงลูบศีรษะของพวกเขาอย่างจนใจ ก่อนกำชับให้ยืนอยู่ข้างๆ อย่าวิ่งซุกซน
ต้าหลางยัดเคียวใส่มือหลิวจี้ เมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่งในมือ หลิวจี้จึงได้สติกลับมา แล้วพ่อลูกก็เริ่มกำจัดวัชพืชเงียบๆ โดยไม่มีผู้ใดเอ่ยคำ
เอ้อร์หลางหยิบของเซ่นไหว้ออกจากตะกร้าแล้วจัดเรียงให้เรียบร้อย จากนั้นจึงเดินไปยกป้ายไม้ของนางม่อขึ้นมาตั้งใหม่พร้อมทั้งปัดเช็ดคราบดินโคลนออกจนสะอาด
………………..
MANGA DISCUSSION