ตอนที่ 180 ฟ้าถล่มก็แค่ปล่อยวาง
………………..
ซานหลางเป็นคนอ่อนไหวมาแต่ไหนแต่ไร พอได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับตกใจจนน้ำตาคลอ รีบมุดออกมาจากตัวรถม้าพลางตะโกนเรียกฉินเหยาที่อยู่บนเกวียนวัวข้างหน้า
“ท่านแม่!”
ฉินเหยาได้ยินคำพูดของหลิวเหล่าฮั่น นางเคยผ่านพ้นมหันตภัยและฝูงซอมบี้กลายพันธุ์ในวันสิ้นโลกมาแล้ว เรื่องเช่นนี้หาได้สะทกสะท้าน นางยังคงมั่นคงเฉกเช่นสุนัขเฒ่าผู้เยือกเย็น
นางยิ้มพลางกล่าวกับซานหลางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อย่ากลัวไปเลย ศัตรูมาก็รับมือด้วยทหาร น้ำท่วมก็กั้นด้วยคันดิน หากฟ้าจะถล่มจริงก็เพียงเอนกายพักเสียเถิด”
ซานหลางได้ฟังดังนั้นก็เบาใจ ดวงใจดิ่งกลับสู่ท้องกลมกลิ้งของตน
หลิวเหล่าฮั่นถึงกับชะงัก หัวใจที่อัดแน่นไปด้วยความกังวลพลันเปิดกว้างขึ้น
กังวลไปจะมีประโยชน์อันใด
สิ่งที่ควรมาย่อมต้องมา เตรียมตัวรับมือไว้ก็พอ ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป!
เมื่อความคิดกระจ่าง ใบหน้าก็เผยรอยยิ้ม
มองไปยังฉินเหยาที่นั่งอยู่บนเกวียนวัวอย่างสำราญใจชมทิวทัศน์ หลิวเหล่าฮั่นพลันเกิดความสงสัยขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ว่าสตรีผู้นี้ผ่านเรื่องราวใดมาถึงได้มีทัศนคติปล่อยวางได้ถึงเพียงนี้
จนกระทั่งพลบค่ำ ขบวนเดินทางก็มาถึงหมู่บ้านตระกูลหลิว เมื่อตอนออกเดินทางยังมีเพียงรถม้า แต่ขากลับกลับมีเกวียนวัวเพิ่มมาอีกเล่ม ทำให้นางจางและคนอื่นๆ ที่อยู่รออยู่ที่บ้านต่างพากันงุนงง
แต่ไม่ต้องคิดดูก็รู้ว่า คงเป็นของครอบครัวฉินเหยาซื้อมาแน่นอน
นางเหอกระโดดลงมาจากเกวียน พอเห็นนางชิวอุ้มลูกออกมาต้อนรับก็เอ่ยด้วยความยินดีว่า
“น้องสะใภ้สามซื้อเกวียนวัวเพิ่มมาอีกเล่ม แถมยังตกลงจะให้พวกเรายืมใช้ วันหลังพวกเราจะได้นั่งเกวียนไปแจ้งข่าวดีที่บ้านแม่กัน!”
นางชิวได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน พี่สะใภ้ใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับหน้าตาเหมือนเคย
แต่น้องสะใภ้สามซื้อเกวียนวัวเพิ่มอีกเล่มไปเพื่ออะไรกัน
หลิวจ้งแบกของเดินเข้าลานบ้าน เมื่อเห็นภรรยาและลูกยืนตากลมหนาวอยู่ข้างนอก จึงรีบตะโกนให้นางกลับเข้าไปในบ้าน
เขาวางของไว้ใต้ชายคาหน้าห้องโถง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้นางชิวพร้อมกับกระซิบด้วยเสียงที่ตนคิดเองว่าเบาแล้ว “เหยาเหนียงซื้อวัวมาไถนาล่ะ”
หลิวจี้ที่หิ้วของตามเข้ามาได้ยินเข้าพอดีจึงหัวเราะเอ่ยว่า “ทำไมกัน พี่รองอิจฉาหรือ”
หลิวจ้งหรือจะอิจฉา เขาเอ่ยเสียดสีกลับไปว่า “แค่สิบหมู่ เจ้าก็ไถไม่ไหวแล้ว ยังจะกล้าพูดอีกนะ”
“เรื่องนี้มีอะไรให้ต้องอาย เมียจ๋าของข้ามีปัญญาซื้อวัวมาไถนา สุดยอดเพียงใดกัน!” หลิวจี้ตบอกตนเองด้วยความภาคภูมิใจ
หลิวจ้งขี้เกียจจะพูดกับเขาจึงเรียกหลิวเฝยให้ออกมาช่วยยกของ พร้อมกับโบกมือไล่หลิวจี้อย่างรำคาญ “ไปๆๆ รีบกลับบ้านเจ้าไปเถอะ!”
นางจางเดินออกมา “จะไปไหนกันล่ะ อยู่กินข้าวที่นี่ก่อนแล้วค่อยไป ดึกป่านนี้กลับไปทำอาหารเองก็ลำบาก”
แม้ว่าคำพูดนี้จะดูเหมือนพูดกับหลิวจี้ แต่ความจริงแล้วกลับหมายถึงฉินเหยาและลูกๆ ทั้งห้าคนต่างหาก
ฉินเหยาตอบกลับมาจากนอกประตู “พวกเรากลับไปกินที่บ้านดีกว่า ยังต้องจัดการกับวัวและม้าอีก พวกท่านกินตามสบายเถอะ”
นางจางพยายามรั้งไว้ แต่ฉินเหยารู้สึกว่ายุ่งยากจึงปฏิเสธ นางต้องพาวัวและม้ากลับบ้านก่อน ขี้เกียจจะต้องวิ่งกลับมาอีก
อย่างไรเสียตอนนี้ที่บ้านก็มีคนทำอาหารอยู่แล้ว
รอยยิ้มของหลิวจี้ที่เพิ่งปรากฏขึ้นกลับเหี่ยวเฉาลงในทันที เขาเดินเข้าไปในห้องโถงแล้วมองดูต้าเหมา ลูกชายของหลิวจ้ง ทารกน้อยตัวนุ่มนิ่ม สวมหมวกหัวเสือ ถูกแม่ของเขาห่อตัวไว้จนแน่นหนา โผล่มาเพียงใบหน้าขาวนวลเล็กๆ
ตอนนี้เจ้าตัวน้อยกำลังหลับอยู่ พอได้ยินเสียงรอบข้างก็กระสับกระส่ายเล็กน้อย ริมฝีปากเล็กๆ สีชมพูอ่อนขยับเบาๆ เห็นแล้วหัวใจแทบละลาย
ท่ามกลางสายตาที่ตึงเครียดของสามีภรรยาหลิวจ้ง หลิวจี้ก็ยื่นมือออกไปจิ้มแก้มต้าเหมาเบาๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินจากไปอย่างพึงพอใจ
พอเขาไป หลิวจ้งก็รีบวิ่งเข้าไปดูอาการบุตรชายทันที นางชิวเห็นท่าทางนั้นก็อดขำไม่ได้ พูดอย่างขบขันว่า
“ใครจะมากินลูกเจ้าหรือ จะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น น้องสามแค่แตะเบาๆ เอง ลูกเราไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
หลิวจ้งมองดูบุตรชายหลับสนิทดีแล้วจึงค่อยโล่งใจ หันไปมองยังประตู เห็นหลิวจี้หันกลับมายิ้มเยาะเย้ย ทำเอาหลิวจ้งโกรธจนอยากจะอัดเขาขึ้นมา
นางเหอยืนอยู่ที่หน้าประตู ตะโกนเสียงดังว่า “น้องสะใภ้สาม พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปรับวัวนะ!”
“เข้าใจแล้ว!” ฉินเหยาตะโกนตอบ
นางก้มมองวัวตัวใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะกระซิบกำชับมันว่า “จากนี้ไปที่ดินของบ้านเราต้องฝากเจ้าแล้วนะ เจ้าต้องพยายามให้ดีล่ะ เจ้าวัวน้อย!”
ซื่อเหนียงโผล่ศีรษะออกมาจากเกวียน ตะโกนเรียกฉินเหยา “ท่านแม่ พวกเราตั้งชื่อมันว่าเหล่าชิงเถอะ!”
ฉินเหยาหัวเราะอย่างจนปัญญา ติดใจเรื่องตั้งชื่อเสียแล้ว “ก็ได้ เรียกมันว่าเหล่าชิงก็แล้วกัน”
เมื่อได้รับการยอมรับจากท่านแม่ เด็กหญิงก็ดีใจจนหัวเราะเสียงใส
เสียงหัวเราะนั้นก้องสะท้อนไปในยามพลบค่ำ เอ้อร์หลางและซานหลางอดไม่ได้ที่จะลูบแขนตัวเอง ฟังดูแล้วชวนขนลุกอย่างไรชอบกล
ครอบครัวหกคนเดินทางกลับถึงบ้าน เก็บข้าวของให้เรียบร้อย จัดการดูแลวัวม้าเสร็จแล้ว กว่าจะกินมื้อเย็นเสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปจนดึกดื่น ต่างคนต่างล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย แล้วแยกย้ายกันเข้านอน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น นางเหอและหลิวไป่พาเจินเป่ามาจูงเกวียนวัว
ฉินเหยายังไม่ตื่น มีเพียงหลิวจี้ที่ถูกบังคับให้ร่ำเรียนอย่างตรากตรำที่ตื่นนานแล้วและกำลังนั่งท่องตำราอยู่ในห้อง
บนหน้าผากคาดแถบผ้าเส้นหนึ่งที่เขียนว่า ‘ดาวเหวินฉวี่คุ้มครองข้า’ เดินออกมาเปิดประตูให้กับครอบครัวหลิวไป่ มือซ้ายถือสมุดคัดลอกตำราหนาเป็นพิเศษ ปากก็พึมพำท่องตำราไม่หยุด หลังเปิดประตูแล้ว เขาก็ใช้มือที่ว่างชี้ไปทางสวนหลังบ้าน เป็นเชิงบอกให้พวกเขาไปเอาเกวียนกันเอง จากนั้นก็เปิดประตูหลังให้พวกเขาเข้าไปจูงวัว
ตลอดทั้งกระบวนการ เขาเพียงแค่ปรายตามองครอบครัวหลิวไป่เพียงแวบเดียวเพื่อยืนยันว่าเป็นพวกเขาจริงๆ จากนั้นก็กลับไปจดจ่ออยู่กับตำรา คล้ายวิญญาณเร่ร่อน ลอยกลับเข้าไปในห้องของตนเอง
หลิวไป่พร้อมภรรยาและบุตรชายต่างตื่นตะลึง มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ พวกเขาเพิ่งก้าวเข้าประตูบ้านของฉินเหยาไปได้ไม่นาน หลิวจี้ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขาอย่างกะทันหัน เขายกมือขึ้นแตะริมฝีปาก พร้อมทำสัญลักษณ์ “ชู่ว์” เป็นเชิงให้เงียบเสียง
หลิวไป่และครอบครัวพยักหน้ารับรู้ พวกเขามองไปยังห้องนอนใหญ่ที่ยังปิดประตูสนิท ก่อนจะรีบใช้มือปิดปาก โน้มตัวต่ำราวกับโจรแล้วพากันไปยังสวนหลังบ้านนำเกวียนวัวออกมา
เมื่อพวกเขาจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อย หลิวจี้ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ครานี้เขายืนอยู่ด้านในประตูใหญ่แล้วโบกมือให้พวกเขา ก่อนจะปิดประตูบ้านอย่างรวดเร็ว
“จินเป่า!” หลิวไป่ร้องเรียกบุตรชาย
จินเป่าผู้ที่แนบหูฟังอยู่ที่ประตูบ้าน ตั้งใจเงี่ยหูฟังอีกสองสามวินาที ก่อนจะรีบวิ่งไปขึ้นเกวียนวัว
ทันทีที่นั่งลง เด็กน้อยก็ทำมือไม้อธิบายอย่างตื่นเต้น “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านอาสามของข้าโดนภูตผีเข้าสิงหรือไม่ แค่ตื่นมาท่องตำราก็ว่าแปลกแล้ว คาดไม่ถึงว่าเขายังเข้าครัวทำอาหารเช้าด้วย!”
นี่เป็นเรื่องที่เกินกว่าที่เด็กชายจะเข้าใจเกี่ยวกับอาของตน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง แสดงถึงความตกใจสุดขีด
อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่หลิวไป่และภรรยาก็ยังตกใจจนทำอะไรไม่ถูก พึมพำกับตัวเองว่า “ดูท่า เจ้าสามจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ…”
เข้าสู่วันที่สิบสองของเดือนอ้าย
วันนี้เป็นวันที่เรือนเก่าจัดงานเลี้ยงครบเดือนให้กับต้าเหมา
ฉินเหยาหาได้ตื่นเช้าเช่นนี้บ่อยนัก แต่ที่วันนี้ต้องตื่นก็เพราะเหตุผลหนึ่ง นั่นคือนางเหอวิ่งมาร้องเรียกเสียงดังราวกับจะปลุกวิญญาณตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
“ม้านั่ง โต๊ะ แล้วก็ชามตะเกียบ จริงสิ! เอามีดหั่นผักมาด้วย มีดของบ้านเจ้าคมกริบนักเชียว!”
สั่งการรวดเร็วเสร็จสรรพ นางเหอก็รีบเร่งไปยังบ้านถัดไปอย่างกระตือรือร้น
ฉินเหยาหาวออกมาพร้อมกับเดินไปยังประตูห้องของหลิวจี้ ก่อนจะคว้าตัวเขาออกมา “ม้านั่ง โต๊ะ ชาม ตะเกียบแล้วก็มีดหั่นผัก เอาทั้งหมดไปที่เรือนเก่า เร็วหน่อย!”
แม้จะถูกรบกวนเวลาเรียน แต่หลิวจี้กลับไม่กล้าแม้แต่จะบ่นสักคำ ได้แต่รับคำอืมๆ แล้ววางตำราในมือลง ก่อนเดินออกจากห้อง แต่ก่อนจะก้าวพ้นประตู เขายังอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปกวาดตามองข้อความที่เพิ่งท่องจำอีกครั้งเพื่อยืนยันความถูกต้อง
ฉินเหยาเดินไปยังห้องเด็กๆ กระซิบกำชับพวกเขาว่าเมื่อตื่นขึ้นแล้วให้ไปหาข้าวกินที่เรือนเก่า ก่อนจะออกเดินทางพร้อมหลิวจี้ ทั้งสองหอบเอาโต๊ะเก้าอี้ หม้อชามและเครื่องใช้ต่างๆ ไปด้วย
………………..
MANGA DISCUSSION