ตอนที่ 94 หนังสือฉบับขยายใหญ่
เพื่อให้ได้ราคาคนบ้านเดียวกัน ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านเซี่ยเหอจึงเป็นผู้ตัดสินใจ สั่งงานกับฉินเหยาแล้วและชำระเงินมัดจำห้าตำลึงให้ล่วงหน้า
ทั้งสองฝ่ายลงนามสัญญาฉบับย่อกันอย่างง่ายๆ จากนั้นตะวันก็เริ่มคล้อยต่ำ
หวังอวี่อาสาจะขับเกวียนไปส่งฉินเหยาและพวกกลับหมู่บ้านด้วยความกระตือรือร้น แต่ฉินเหยาเกรงใจ ไม่อยากรบกวนเขาจึงปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
สาเหตุหลักคือระหว่างทางกลับ นางกับช่างไม้หลิวยังมีเรื่องต้องปรึกษากัน ซึ่งไม่สะดวกให้คนนอกได้ยิน
หวังอวี่จึงทำได้แค่ส่งพวกนางที่หน้าหมู่บ้าน พร้อมกำชับย้ำหลายครั้งว่า “ฉินเหนียงจื่อ หลังจากเจ้าวาดแบบโรงโม่เสร็จแล้ว ต้องรีบให้คนส่งมาโดยเร็วล่ะ!”
“วางใจเถอะ พอข้าวาดเสร็จจะนำมาให้เอง” รายละเอียดบางจุด นางต้องไปพูดคุยกับช่างให้แน่ใจก่อนจึงจะสบายใจ
เมื่อได้ยินฉินเหยารับปาก หวังอวี่จึงโล่งใจ โบกมืออำลา มองพวกนางเดินจากไปจนลับตา จากนั้นจึงหันหลังกลับบ้าน
ตะวันยามเย็นสีส้มแดงลอยอยู่ริมขอบฟ้า ไม่รู้ว่าหลิวจี้กลับมาตั้งแต่เมื่อไร เขาถือมะเขือม่วงเป็นพวงไว้ในมือพลางเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดีว่า
“เมียจ๋า ตกลงกันเรียบร้อยแล้วหรือ”
ฉินเหยาตอบรับสั้นๆ แล้วถามเขาทันทีว่าเมื่อครู่หายหัวไปไหนมา
หลิวจี้ยกพวงมะเขือม่วงขึ้น “ข้าแวะไปบ้านซุ่นจื่อมา นี่แม่เขาให้มา คืนนี้จะทำมะเขือน้ำแดงให้เมียจ๋ากิน”
คำพูดนี้ไม่ผิดนัก แต่เป้าหมายหลักของเขาที่ไปบ้านซุ่นจื่อไม่ใช่เพื่อพวงมะเขือนี้ ทว่าเพื่อไปดึงหูของอีกฝ่ายแล้วลากมาด่าเรื่องที่หักหลังเขาต่างหาก
บอกว่าเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกันแท้ๆ แต่พอมีพี่สะใภ้กลับลืมพี่ชาย เช่นนี้ตนจะตัดขาดกับเขาเสีย!
ฉินเหยามองหลิวจี้ที่ดูร้อนตัวก็ขี้เกียจสนใจว่าเขาไปทำอะไรมาจึงเร่งฝีเท้าเดินให้ทันช่างไม้หลิวเพื่อคุยเรื่องงาน
ช่างไม้หลิวอดทนรอไม่ไหวแล้ว พอไม่มีคนนอกอยู่ก็รีบถามฉินเหยาทันทีว่า
“พวกเราเรียกราคาสิบห้าตำลึง จะไม่แพงเกินไปหน่อยหรือ”
เขากลัวมากว่าหากคนในหมู่บ้านเซี่ยเหอรู้ต้นทุนที่แท้จริงจะตีเขาเอา
ฉินเหยาไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่แพงเกินไปเลยสักนิด!”
นางคำนวณให้ดู “ไม้ต้องใช้เงินซื้อใช่หรือไม่ ไม้พวกนี้ยังต้องใช้ของดีอีก สี่ตำลึงก็หมดไปแล้ว”
“กำหนดส่งงานเร่งรีบเช่นนี้ เราสองคนรับปากว่าจะส่งงานในครึ่งเดือน ตอนนี้ท่านก็ไม่มีวัสดุพร้อมใช้ ต้องเริ่มจากศูนย์ ท่านทำคนเดียวไม่ไหวแน่ก็ต้องจ้างคนช่วยใช่หรือไม่ ค่าแรงครึ่งตำลึงอย่างไรก็ต้องเสีย”
“ส่วนของข้า หินโม่ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ หากเป็นคนอื่น ต้องใช้ชายฉกรรจ์สิบคนช่วยกันหาวัตถุดิบ แล้วทุบขึ้นรูปให้เป็นแผ่นโม่ สุดท้ายยังต้องขนย้ายจากหมู่บ้านตระกูลหลิวไปยังหมู่บ้านเซี่ยเหออีก”
“คนงานหนึ่งคนต่อวันใช้สามสิบเหวิน ครึ่งเดือนก็ตกสี่ตำลึงห้าเฉียน!”
สรุปแล้วพวกเขาทั้งสองคนต้องจ่ายต้นทุนคนละสี่ห้าตำลึง ส่วนที่เหลืออีกหกตำลึงถึงจะเป็นกำไร
เมื่อแบ่งกันแล้ว คนละสามตำลึงเท่านั้น
จ่ายสามตำลึงเพื่อซื้อทักษะพิเศษเฉพาะตัว นี่คุ้มค่ามากเกินไปแล้วหรือไม่!
ฉินเหยาพูดได้ถูกต้องทุกอย่าง แต่ช่างไม้หลิวกลับรู้สึกว่ายังมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล
แต่ตรงไหนกันล่ะที่ไม่ชอบมาพากล?
ใช่แล้ว! ไม้เขาสามารถใช้ไม้จากสวนตัวเองได้ ค่าแรงก็ให้คนในบ้านทำแทนได้ หากคำนวณจริงๆ เงินเจ็ดตำลึงห้าเฉียนนั้นสามารถเข้ากระเป๋าเขาเองได้เลย!
“ฉินเหนียงจื่อ ข้านับถือเจ้าจริงๆ!”
ตอนที่แยกจากกันที่ริมฝั่งแม่น้ำ ช่างไม้หลิวประสานหมัดคำนับฉินเหยาด้วยความจริงใจ จากนั้นก็เดินกลับบ้านไปด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม
ฉินเหยาลูบคลำเงินมัดจำห้าตำลึงในอ้อมอก น้ำหนักอันหนักแน่นนี้ทำให้นางรู้สึกมั่นคงขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
สามีภรรยากลับถึงบ้านเพียงไม่นาน ท้องฟ้าก็มืดสนิท
โถงกลางบ้านและห้องครัวมีแสงไฟส่องสว่าง เด็กๆ ในบ้านได้ยินเสียงก็พากันวิ่งออกมา ซานหลางและซื่อเหนียงรีบออกมาจากโถงบ้านพร้อมส่งเสียงเรียก “ท่านแม่ ท่านพ่อ~”
ฉินเหยาถาม “พี่ชายพวกเจ้าเล่า”
แฝดชายหญิงชี้ไปที่ห้องครัว ต้าหลางและเอ้อร์หลางกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่
หลิวจี้ถือพวงมะเขือเดินเข้าไปในครัว อารมณ์ดีจนอดลูบศีรษะบุตรชายทั้งสองไม่ได้ จากนั้นก็รับหน้าที่ทำอาหารต่อ
ฉินเหยาเดินไปล้างหน้าที่ลานบ้าน เด็กทั้งสี่ตามนางมาที่ห้องโถง ต้าหลางถามว่า
“ท่านน้า โรงโม่น้ำของหมู่บ้านเซี่ยเหอพวกเขาตกลงให้ท่านทำหรือไม่”
ฉินเหยายิ้มพร้อมพยักหน้า เด็กทั้งสี่ดีใจจนร้องออกมา “ดีจริงๆ!”
มีงานก็มีเงิน เด็กๆ เองก็เข้าใจ
หลิวจี้ตะโกนจากในครัว “ต้าหลาง เอ้อร์หลาง จัดชามกับตะเกียบ เตรียมกินข้าวได้แล้ว!”
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางขานรับเสียงดัง จากนั้นก็หันมายักไหล่ให้ฉินเหยาอย่างผู้ใหญ่ตัวน้อย ก่อนจะวิ่งไปหยิบชามตะเกียบในครัว
ซานหลางไล่ไก่ในลานบ้านเข้ากรงแล้วพาซื่อเหนียงไปล้างมือให้สะอาด จากนั้นทั้งครอบครัวหกคนก็นั่งล้อมวงกินข้าวเย็นที่ห้องโถง
เมื่อรู้ว่าฉินเหยาได้รับงานจากหมู่บ้านเซี่ยเหอ ทุกคนในบ้านต่างดีใจมาก บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสุข
หากหลิวจี้ไม่ทำท่าเจ้าเล่ห์ถามหยั่งเชิงว่านางจะได้เงินเท่าไหร่ก็คงจะสมบูรณ์แบบกว่านี้
“หลังจากนี้เจ้าต้องตั้งใจอ่านหนังสือ เรื่องเงินเจ้าไม่ต้องกังวล” ฉินเหยากล่าวเตือนด้วยท่าทีขึงขัง
หลิวจี้คิดในใจ หากตรงหน้ามีกระจกอยู่ล่ะก็ สีหน้าของเขาตอนนี้คงเหมือนภรรยาตัวน้อยที่ถูกสามีรังเกียจไม่มีผิดแน่!
หลังทานอาหารเสร็จ เอ้อร์หลางกับซานหลางก็ช่วยกันล้างจานอยู่ที่ลานบ้าน แม้ว่าตกลงกันไว้ว่าพี่น้องสี่คนจะผลัดกันทำ แต่ต้าหลางก็ยังไม่วางใจน้องๆ จึงลงมือช่วยด้วย
ซื่อเหนียงย่อมไม่ยอมรั้งท้าย สุดท้ายงานที่ควรมีแค่สองคนก็กลับกลายเป็นพี่น้องทั้งสี่ช่วยกันทำ
ฉินเหยาไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการจัดการของเด็กๆ ขอแค่อย่าทะเลาะกันก็พอ
พูดก็พูดเถอะ นางยังไม่เคยเห็นพี่น้องสี่คนนี้ทะเลาะกันเลย พวกเขาช่างเป็นเด็กดีเสียชวนให้ปวดใจ
ฉินเหยามองศีรษะเล็กๆ ของเด็กสี่คนที่ล้อมกันอยู่ในลานบ้านด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะหันไปส่งสายตาคมกริบไปยังหลิวจี้ที่กินข้าวเสร็จแล้วกำลังเอนหลังนอนสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่
“คัดหนังสือไปกี่เล่มแล้ว”
นางไม่ได้ถามเสียงดัง แต่เพียงน้ำเสียงของนางกดต่ำลง หลิวจี้ก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกในทันที
ฤดูร้อนเช่นนี้ช่างชวนให้รู้สึกเย็นสบายจริงๆ เย็นเสียจนเขาสะดุ้งเฮือก ลืมตาขึ้นนั่งตัวตรงทันที
“คัดได้สามเล่ม…กระมัง?” แย่แล้ว เขาลืมไปว่าคัดไปถึงเล่มไหนกันแน่!
ฉินเหยาขมวดคิ้วทันที “นี่ผ่านมาตั้งหนึ่งสัปดาห์แล้ว คัดได้แค่สามเล่มเท่านั้นเองหรือ”
หนังสือเก้าเล่มนั้น จำนวนตัวอักษรน้อยที่สุดก็หนึ่งพันกว่าตัว มากที่สุดเกือบสี่หมื่นตัว คำนวณแล้วหากคัดวันละแปดชั่วโมง ชั่วโมงละหนึ่งพันตัว อย่างไรก็ไม่ควรจะคัดได้แค่สามเล่ม
“เอามาให้ข้าดู” ฉินเหยากล่าวเสียงเย็น
หลิวจี้ลอบคิดในใจว่าแย่แล้ว แต่ก็ไม่กล้าขัดขืน เพราะชีวิตเขาสำคัญกว่าจึงรีบวิ่งไปยังห้องนอนของตน หยิบหนังสือสามเล่มที่คัดไว้แล้วมาให้
โชคดีที่หนึ่งในนั้นเป็น ‘ซือจิง’ ซึ่งมีตัวอักษรสามหมื่นสองพันตัว
ส่วนอีกสองเล่มคือ ‘ต้าเสวีย’ ซึ่งมีหนึ่งพันเจ็ดร้อยกว่าตัว และ ‘จงยง’ ที่มีสามพันห้าร้อยกว่าตัว
เมื่อนับรวมกับบันทึกการเรียนของนายท่านติงแล้ว เช่นนี้ก็ไม่ถือว่าเขาแอบขี้เกียจ
เพราะไม่มีปากกาลูกลื่นที่มีหัวเรียวเล็กเหล่านั้น ขนาดพู่กันที่เล็กที่สุดของหลิวจี้ยังเขียนตัวหนังสือออกมาเป็นขนาดใหญ่ ดังนั้นหนังสือที่คัดมาทั้งสามเล่มจึงเป็นฉบับขยายทั้งหมด
ขนาดกระดาษเทียบเท่ากับกระดาษเอสาม หนังสือที่สามารถบังคนทั้งคนได้ หากถือไว้ในมือก็เป็นภาพที่ดูประหลาดอยู่ไม่น้อย
แต่ก็ต้องยอมรับว่าฉบับขยายใหญ่ดูสบายตากว่าฉบับเล็ก ตัวอักษรใหญ่ มองง่าย มีพื้นที่ว่างให้จดบันทึกมากและสะดวกต่อการคัดลอก
เพียงแต่สิ้นเปลืองกระดาษไปสักหน่อย
ฉินเหยาเปิดดู แม้ว่าลายมือจะไม่ได้สวยงามมากนัก แต่ก็เป็นระเบียบขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าว่าการคัดหนังสือจะช่วยฝึกฝนลายมือได้จริง
นางคืนหนังสือให้หลิวจี้ที่กำลังกังวลใจ ถือว่าผ่านเกณฑ์ไปได้แบบเฉียดฉิว
นางเชิดคางเป็นสัญญาณให้เขาคัดหนังสือต่อไป
ส่วนฉินเหยาลุกขึ้นกลับไปที่ห้อง จุดตะเกียงน้ำมันที่ปกติไม่อยากใช้แล้วนั่งทำงานที่โต๊ะจนดึกเพื่อวาดแบบร่างออกมา
MANGA DISCUSSION