ตอนที่ 91 หมู่บ้านเซี่ยเหอส่งคนมา
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแพร่ข่าวออกไป จู่ๆ ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านก็รู้กันหมดว่าฉินเหยาจะส่งเสียหลิวจี้กลับไปเรียนที่สำนักศึกษา
ชาวบ้านพากันพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ บุรุษล้วนเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา คิดไม่ถึงว่าหลิวจี้จะโชคดีถึงเพียงนี้
บรรดาสตรีกลับไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉินเหยาถึงปฏิบัติต่อหลิวจี้คนไม่ได้เรื่องอย่างดีเช่นนั้น
แน่นอนว่ายังมีคนที่หัวเราะเยาะ คิดว่าผัวเมียคู่นี้ฝันเฟื่องเกินไป คิดว่าเรียนหนังสือแล้วก็จะสามารถสอบเป็นขุนนางง่ายๆ ได้แล้วหรือ มีคนมากมายเรียนจนอายุเจ็ดแปดสิบแล้วก็ยังสอบเป็นถงเซิงไม่ได้เลย พวกเขามองเรื่องนี้เป็นเรื่องขำขันเสียด้วยซ้ำ
เรือนเก่าของตระกูลหลิวถึงกับปั่นป่วน หลิวเหล่าฮั่นกับบุตรชายทั้งสามถกเถียงเรื่องนี้อยู่นาน กลับกลายเป็นว่านางเหอและนางชิวที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ใช้โอกาสที่ออกไปเก็บผัก เดินตรงมาหาฉินเหยาที่โรงโม่น้ำของบ้าน
“น้องสะใภ้ ข่าวที่ลือกันข้างนอกจริงหรือไม่ เจ้าจะส่งเสียเจ้าสามให้เรียนต่อจริงๆ หรือ เจ้าหวังอะไรจากเขากัน หากเขาเป็นคนขยันจริง ป่านนี้ก็คงไม่เป็นอย่างที่เห็นหรอก!” นางเหอถามอย่างร้อนใจ
นางชิวเองก็กังวลทว่านางใจเย็นกว่ามาก นางนั่งลงแล้วลูบครรภ์ของตน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบว่า
“ค่าเล่าเรียนยังไม่ต้องพูดถึง แต่บ้านพวกเจ้าเหลือผู้ใหญ่แค่สองคน หากเจ้าสามไปเรียนแล้วงานในไร่นามีเจ้าทำคนเดียว เจ้าจะทำไหวหรือ”
“ใช่ พวกเรารู้กันว่าเจ้ามีแรงมาก แต่การที่มีแรงก็ไม่ได้หมายความว่าต้องรับภาระทั้งหมดนะ น้องสะใภ้ เจ้าอย่าได้ทำอะไรโง่ๆ ระวังจะขาดทุนมากกว่ากำไร”
ฉินเหยากำลังตั้งใจขัดแต่งหินโม่ที่โรงโม่น้ำ หินโม่นี้ถูกใช้งานอย่างหนักมาโดยตลอด ร่องสลักเริ่มเรียบไป นางจึงต้องแกะร่องใหม่ให้ใช้งานได้ดีดังเดิม
อยู่ดีๆ ก็มีคนโผล่มาพูดเรื่องนี้กับนาง ทำให้นางใจสั่นไปครู่หนึ่ง “ทุกคนรู้กันหมดแล้วหรือ”
นางเหอและนางชิวพยักหน้า “สตรีทั้งหมู่บ้านรู้หมดแล้วว่าเจ้าทำเรื่องโง่เง่า!”
ภายในใจของฉินเหยาสั่นไหวไปชั่วขณะ แต่ก็กลับมาตั้งมั่นได้อย่างรวดเร็ว มือยังคงขัดแต่งหินโม่ต่อไปไม่หยุด นางส่งสัญญาณให้นางชิวขยับไปนั่งให้ไกลขึ้นเพื่อกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ก่อนกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า
“เรื่องนี้พวกเราทั้งครอบครัวตกลงกันเรียบร้อยแล้ว หลิวจี้เป็นคนเช่นไร ทุกคนต่างก็รู้ดี ให้เขาหาเลี้ยงชีพด้วยการขุดดินทำไร่นั้นเป็นไปไม่ได้แน่ ข้าคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ยังเห็นว่าการส่งเขาไปเรียนหนังสือ บางทีอาจมีเรื่องดีๆ กลับมาก็ได้”
ขณะกล่าว นางก็เหลือบไปเห็นสองพี่สะใภ้ที่ยืนขึ้นด้วยความกังวลจึงยิ้มบางๆ ให้พวกนาง “เรื่องที่พวกท่านกังวล ข้ารู้ดี ข้าย่อมมีวิธีจัดการเขา”
นางเหอยังไม่ค่อยเชื่อนัก “จริงหรือ”
ที่นางกังวลที่สุดคือ หากเจ้าสามออกไปเกเรข้างนอกแล้วทรยศฉินเหยา บ้านนี้คงพังครืนอย่างแน่นอน
นางชิวเองก็เป็นกังวลเรื่องเดียวกัน ไม่ง่ายกว่าจะได้เห็นเจ้าสามอยู่ในโอวาท ในบ้านก็ผ่อนคลายลงบ้าง ไม่มีใครอยากให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม
เพราะมีน้องสะใภ้สามอยู่ด้วย สองครอบครัวถึงปรองดองกันได้ดีเพียงนี้ ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ
ฉินเหยามองความคิดของพี่สะใภ้ทั้งสองออก คนเราย่อมคิดเพื่อตัวเองเป็นธรรมดา แต่ก็ใช่ว่าพวกนางจะไม่มีความห่วงใยต่อตนเลย
ธรรมชาติของมนุษย์นั้นซับซ้อน ฉินเหยาเข้าใจเป็นอย่างดี หากนางเป็นนางเหอหรือนางชิวก็คงกังวลเช่นกัน
ท้ายที่สุด ในสังคมที่เป็นครอบครัวใหญ่ ความสัมพันธ์ทางสายเลือดยากจะตัดขาด หลิวจี้ที่เป็นตัวปั่นป่วนเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อญาติพี่น้องด้วย
แต่หากมองกลับกัน หากเขาดีขึ้น ญาติพี่น้องก็ย่อมได้รับผลประโยชน์จากเขาเช่นกัน
ฉินเหยากล่าวเช่นนี้กับพี่สะใภ้ทั้งสองจนพวกนางเกือบเชื่อเข้าแล้วจริงๆ พลางจินตนาการว่า หากหลิวจี้สอบผ่านได้เป็นขุนนาง พวกนางก็จะกลายเป็นพี่สะใภ้ของนายท่านซิ่วไฉแล้ว
ฉินเหยาเห็นสองพี่สะใภ้เริ่มตกอยู่ในภวังค์ก็รีบไล่พวกนางกลับไปพร้อมกำชับให้ไปบอกฝั่งเรือนเก่าว่าอย่าได้มาห้ามปรามอีก นางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
ทางนี้เพิ่งส่งพี่สะใภ้สองคนกลับไป ทางเข้าหมู่บ้านกลับมีคนนอกหมู่บ้านสองคนเดินเข้ามา
หนึ่งในนั้นดูคุ้นตา มีคนจำได้ว่าคนผู้นี้เป็นชาวหมู่บ้านเซี่ยเหอที่มักจะคลุกคลีกับเจ้าหลิวสามอยู่เสมอ คล้ายจะชื่อซุ่นจื่อหรืออะไรสักอย่าง
ฉินเหยาขัดแต่งร่องบนหินโม่จนเสร็จพอดีก็มีชาวบ้านหาบข้าวเปลือกมาที่โรงโม่ นางกับอีกฝ่ายพยักหน้าทักทายกันเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายไปทำงานของตน
ฉินเหยาไม่ได้กลับบ้านทันที ตั้งใจจะแวะไปดูนาสักหน่อย ทว่าเพิ่งก้าวข้ามสะพานก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้นดังขึ้น
“พี่สะใภ้! พี่สะใภ้ ข้าเอง ซุ่นจื่อไง!”
ได้ยินดังนั้น ฉินเหยาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นซุ่นจื่อพาชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหานางด้วยความตื่นเต้น
ชายหนุ่มแปลกหน้าตามมาด้านหลัง ซุ่นจื่อก้าวมาข้างหน้าก่อนแนะนำตัวตนของชายคนนั้นให้ฉินเหยาทราบ
ที่แท้เขาคือหวังอวี่ บุตรชายของผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านเซี่ยเหอนั่นเอง
ฉินเหยายิ้มพลางพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวทักทายอีกฝ่าย
ฝ่ายนั้นก็ยิ้มตอบด้วยความยินดี ก่อนจะชี้ไปยังเพิงโรงโม่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ “นั่นคือโรงโม่น้ำของบ้านเจ้าหรือ”
ฉินเหยาพยักหน้ารับ “ใช่” แล้วเหลือบเห็นซุ่นจื่อขยิบตาให้นางจึงยิ้มแล้วกล่าวต่อ “อยากไปดูหรือไม่”
หวังอวี่ตอบตกลงแล้วก้าวเดินไปทันที
ซุ่นจื่อเดินตามหลังฉินเหยาพลางกระซิบว่า ชาวบ้านหมู่บ้านเซี่ยเหอรู้ข่าวว่าโรงโม่น้ำของหมู่บ้านตระกูลหลิวใช้งานได้ดีมากจึงคิดจะร่วมกันลงขันสร้างโรงโม่ของตนเอง เลยมาหาฉินเหยาเพื่อขอคำแนะนำ
ฉินเหยาเลิกคิ้วขึ้น นี่มันเป็นการค้าใหญ่เลยทีเดียว!
หวังอวี่เดินเข้าไปในโรงโม่ เห็นชาวบ้านคนหนึ่งกำลังใช้งานโรงโม่พอดี เขาเห็นหินโม่หมุนเองอย่างรวดเร็ว รวดเร็วกว่าการใช้มือหมุนเองหลายเท่า คนเพียงแค่ยืนดูอยู่ข้างๆ ไม่ต้องออกแรงช่วยเลยแม้แต่น้อย ทั้งแปลกใหม่และน่าอิจฉายิ่งนัก
ชาวบ้านที่กำลังใช้โรงโม่มองฉินเหยาด้วยความสงสัย ฉินเหยาจึงอธิบายว่า “เขามาจากหมู่บ้านเซี่ยเหอ หมู่บ้านของพวกเขาก็อยากสร้างโรงโม่น้ำเหมือนกันเลยแวะมาดูน่ะ”
ชาวบ้านได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเข้าใจพลางเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้นให้หวังอวี่เข้าไปดูใกล้ๆ จะได้เห็นว่าโม่นี้ใช้งานได้ดีเพียงใด
“เครื่องโม่ของฉินเหนียงจื่อนี่นะ ทั้งใหญ่ทั้งหมุนไว ข้าวเปลือกหนึ่งหาบใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็โม่เสร็จแล้ว!”
หวังอวี่ถามอย่างตกตะลึง “ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็โม่ได้หนึ่งหาบเลยหรือ”
ชาวบ้านหัวเราะตอบ “จริงแท้แน่นอน ใครโกหกผู้นั้นไม่ใช่คน!”
แค่ดูจากแผ่นหินโม่ก็ใหญ่กว่าของที่อื่นแน่นอน ปริมาณข้าวที่โม่ได้ย่อมมากกว่าที่อื่นเป็นธรรมดา
หมู่บ้านเซี่ยเหอนั้นร่ำรวยนัก ฉินเหยาจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้อย่างไร นางพาหวังอวี่ไปยังกังหันน้ำก่อนจะกล่าวว่า
“เจ้าดูน้ำตรงนี้สิ ความต่างระดับของน้ำตรงนี้ไม่ได้มากเท่าไร แต่พลังขับเคลื่อนก็ยังแรงขนาดนี้”
“ข้าไปหมู่บ้านเซี่ยเหออยู่บ่อยๆ ตรงกลางแม่น้ำของหมู่บ้านเจ้ามีความต่างระดับอยู่ราวหนึ่งถึงสองหมี่ หากสร้างโรงโม่น้ำตรงนั้นโดยตรง พลังขับเคลื่อนต้องแรงกว่าของข้ามาก สามารถติดตั้งหินโม่ได้สองแผ่น หินบดอีกแผ่นในคราวเดียวกันยังได้”
ในเมื่อทั้งหมู่บ้านร่วมกันสร้าง อีกทั้งหมู่บ้านเซี่ยเหอมีคนมาก เช่นนั้นเครื่องโม่เพียงอันเดียวจะพอใช้ได้อย่างไร
ฉินเหยาเสนอแนะอย่างแข็งขันให้หมู่บ้านเซี่ยเหอใช้ประโยชน์จากทางน้ำธรรมชาติให้เต็มที่ จัดการสร้างโรงโม่ขนาดใหญ่ไปเลยทีเดียว
นางพูดเสียจนลอยฟ้า พูดเสียจนโรงโม่น้ำกลายเป็นโรงงานของเหล่าเซียนจนหวังอวี่ต้านทานไม่ไหว รีบถามอย่างตื่นเต้นว่า
“หากสร้างโรงโม่ครบวงจรเช่นนี้ จะต้องใช้เงินเท่าไรหรือ”
ฉินเหยาคำนวณในใจแล้วแสร้งทำเป็นลำบากใจ ก่อนกล่าวว่า “เรื่องนี้พูดยาก หากเป็นช่างที่ชำนาญกับมือใหม่ย่อมมีปริมาณการเสียวัสดุที่ต่างกันไป ต่อให้เป็นช่างไม้หลิวของหมู่บ้านข้าและตัวข้าทำเองอย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้สิบห้าตำลึง”
ซุ่นจื่อได้ยินราคาแล้วถึงกับสูดลมหายใจเย็นเยือก
แต่หวังอวี่กลับไม่ได้แสดงสีหน้าตกใจมากนัก ดูเหมือนเขายังสามารถรับราคาไหว
เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นการลงขันร่วมกัน หมู่บ้านเซี่ยเหอมีคนมาก อีกทั้งร่ำรวยกว่าหมู่บ้านอื่นๆ อยู่บ้าง ทั้งหมู่บ้านมีอยู่หกสิบห้าครัวเรือน หากหารกันแล้วตกครอบครัวละสองเฉียนกว่าๆ คิดดูแล้วก็พอรับไหว
แต่เขาก็ยังถามต่อว่าหากพวกเขาเพียงจ้างฉินเหยาและช่างไม้หลิวมาเป็นที่ปรึกษาแล้วให้ชาวบ้านของเซี่ยเหอสร้างกันเอง ต้นทุนจะลดลงได้เท่าไหร่
MANGA DISCUSSION