ในขณะเดียวกัน ที่เรือนเก่าของตระกูลหลิว
หลิวเหล่าฮั่นถือชามน้ำชาขมที่มีใบชาลอยอยู่หลายแผ่น นั่งบนธรณีประตูใหญ่ มองไปทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน
ไม่นานนักก็มีสองร่างหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กวิ่งมาจากทางนั้น
“ท่านปู่! ฟางในนาของพวกเราถูกขโมยไปหมดแล้ว!” เด็กชายร้องเสียงดังด้วยความโกรธ ทั้งที่ตัวยังวิ่งมาไม่ถึงด้วยซ้ำ
หลิวเหล่าฮั่นที่หรี่ตาเพราะความขมของน้ำชาอยู่ถึงกับเบิกตาโพลง “ขโมยหรือ ไอ้คนไม่มีคุณธรรมนั่นคือใครกัน”
“ล้วนถูกต้าหลางกับเอ้อร์หลางบ้านเจ้าสามขโมยไป มีคนเห็นกับตาว่าพวกเขาขนไปกลับหลายรอบ!” หลิวเฝยตอบอย่างเดือดดาล
หลิวเหล่าฮั่นหรี่ตาลงอีกครั้ง “อ้อ งั้นก็ช่างเถอะ”
สองอาหลานหอบหายใจมาถึงหน้าประตูบ้าน หยุดอยู่ต่ำลงไปสองขั้นบันได เงยหน้ามองหลิวเหล่าฮั่นที่ยังดื่มน้ำชาขมอย่างไม่ทุกข์ร้อน
หลิวจินเป่าวัยแปดขวบรีบร้อนเอ่ย “ท่านปู่ ท่านรับปากว่าจะปูเตียงใหม่ให้ข้าปีนี้นะ”
หลิวเฝยเองก็เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านรู้ไหมว่าพวกเขาพูดอะไร พวกเขาบอกว่าของของท่านก็คือของของพ่อพวกเขา ของของพ่อพวกเขาก็คือของของพวกเขาด้วย หยิบของบ้านตัวเองไปใช้เป็นเรื่องถูกต้อง ข้าล่ะโมโหจริงๆ ข้าจะไปเอาฟางบ้านเราคืนมา ท่านก็เป็นพ่อของข้า ข้าหยิบของของพ่อข้าเองก็เป็นเรื่องถูกต้องเช่นกัน!”
“ใช่ เอาคืนมา ข้าอยากได้เตียงใหม่ ฟางเก่านั่นชื้นจะตาย อีกไม่นานหนูก็คงเข้ามาแทะจนหมดแล้ว” หลิวจินเป่ากล่าวเสริม
สองอาหลานพับแขนเสื้อขึ้น เตรียมจะเดินเข้าไปในหมู่บ้าน
หลิวเหล่าฮั่นรีบกลืนน้ำชาขมที่ยังอมอยู่ในปาก ตะคอกว่า “พวกเจ้าสองคนหยุดเลยนะ!”
สองอาหลานไม่ยอมหยุดจนหลิวเหล่าฮั่นโมโหตะโกนเรียกอีกครั้ง ทั้งสองถึงได้หันกลับมาด้วยสีหน้าเคืองขุ่น
“แม่เจ้าทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว กลับบ้านไปกินข้าวก่อน” หลิวเหล่าฮั่นโบกมือเรียกสองอาหลานให้กลับมา จากนั้นลุกเดินกลับเข้าลานบ้าน ท่าทางเหมือนจะไม่เอาเรื่อง
“ท่านพ่อ!” ในที่สุดหลิวเฝยก็ทนไม่ไหวถามออกมา “ท่านตั้งใจทิ้งฟางไว้ในนาให้พวกนั้นมาขโมยหรือเปล่า”
แรกทีเดียวเขาแค่สงสัย เพราะปกติข้าวในบ้านตัดเสร็จจะขนกลับมาตากที่บ้านทันทีเพราะกลัวพวกมือไวในหมู่บ้านจะมาขโมยไป
แต่ท่านพ่อกลับยืนยันจะทิ้งฟางไว้ในนาอีกหนึ่งหมู่ บอกว่าให้จัดการกับข้าวสาลีในนาเสียก่อนแล้วค่อยไปเก็บทีหลังก็ไม่สาย
ตอนนี้ดูเหมือนจะตั้งใจทิ้งไว้ให้ครอบครัวเจ้าสามมาขโมยไปจริงๆ!
พอเห็นผู้เฒ่านิ่งเงียบไม่โต้แย้งก็ยิ่งแน่ใจว่าคงร้อนตัว
ไฟโทสะในใจของหลิวเฝยปะทุขึ้นมาทันที ทั้งน้อยใจทั้งโกรธ เขาเดินกระแทกเท้าตามหลังหลิวเหล่าฮั่นไปแล้วระเบิดอารมณ์ใส่บิดาทันที
“ฟางในบ้านเรามีไม่พอปูเตียงด้วยซ้ำ ฟางใต้เตียงของจินเป่าถูกหนูแทะจนเกลี้ยงแล้ว อีกไม่กี่วันอากาศก็จะหนาวแล้ว เตียงแบบนั้นให้คนนอนได้หรือ หากท่านไม่สงสารข้าก็ช่างเถอะ แต่จินเป่าเป็นหลานชายคนโตของบ้าน ท่านเป็นปู่แท้ๆ ไม่นึกสงสารเขาบ้างหรือ”
ปากของหลิวเฟยนั้น พอได้พูดแล้วก็เอ่ยฉอดๆ รวดเร็วดั่งปืนกล ไม่มีสะดุดเลยสักนิด คำพูดเอ่ยออกมารวดเดียวจนผู้อื่นไม่มีโอกาสแทรกเลยแม้แต่น้อย
หลิวเหล่าฮั่นพยายามอดกลั้น แต่ก็ทนไม่ไหวจริงๆ
ทันใดนั้น หลิวเหล่าฮั่นหันขวับ ยกถ้วยชาขมในมือขึ้นเตรียมจะขว้างใส่เขา “ไอ้เด็กเวรนี่ พูดกับพ่ออย่างนี้ได้อย่างไร ที่นาของข้า ข้าจะทำอะไรก็เรื่องของข้า ต้องให้เด็กอย่างเจ้ามาบ่นฉอดๆ ด้วยรึ!”
หลิวเฝยไม่กลัวตาย ยืดอกเถียงกลับ “ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงลำเอียงได้ถึงเพียงนี้ เจ้าสามมันมีดีตรงไหนกัน?!”
ดวงตาหลิวเหล่าฮั่นเบิกกว้างทันที “มันดีตรงไหนหรือ มันไม่มีอะไรดีสักอย่าง ข้าเองก็อยากให้ตัวเองไม่เคยให้กำเนิดลูกทรพีอย่างมันเหมือนกันนั่นแหละ!”
จากนั้นเสริมอีกคำ “เจ้าก็ด้วย หลิวเฝย ไอ้ลูกทรพี หากกล้าเถียงข้าอีกแค่คำเดียว ข้าจะตีเจ้าให้ตาย ไอ้ลูกอกตัญญู!”
พูดจบ หลิวเหล่าฮั่นก็ยกถ้วยชาขึ้นเตรียมจะเอาเรื่องหลิวเฝย ดีที่คนในบ้านรีบเข้ามาขวางทั้งสองไว้ หลิวเฝยถึงรอดตัวไปได้
หลิวเหล่าฮั่นนั่งหน้าบึ้งตึงอยู่ในห้องโถง นางจางภรรยาคนที่สองส่งสายตาให้ลูกชายคนเล็กรีบเข้าห้องไป อย่าเถียงพ่อ พลางลูบหลังหลิวเหล่าฮั่นพลางถอนใจเอ่ย
“ข้ารู้ว่าใจท่านเป็นห่วงเจ้าหลิวสาม แต่เจ้าเด็กนั่นก็จริงๆ เลย ไปหาเรื่องใครไม่หาเรื่อง ดันไปหาเรื่องหลินเอ้อร์เป่า”
“แต่ก็ยังดีที่เป็นหลินเอ้อร์เป่า ข้ายังไม่เคยได้ยินว่าใครติดหนี้พวกนั้นแล้วไม่มีเงินจ่ายคืนจนต้องตายมาก่อน สุดท้ายก็แค่ถูกส่งไปทำงานใช้หนี้ในไร่หรือเหมืองเท่านั้น เจ้าหลิวสามเหลวไหลมาหลายปีแล้ว ปล่อยให้เขาลำบากสักหน่อย เผื่อนิสัยของเขาอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้”
หากเป็นแม่เลี้ยงทั่วไปคงไม่กล้าพูดแบบนี้ เพราะกลัวผู้เฒ่าจะคิดว่านางใจคอโหดร้าย อยากทำร้ายลูกหลานในบ้าน
แต่นางจางแต่งเข้าบ้านหลิวมาได้สิบหกปีแล้ว นอกจากบุตรคนโตหลิวไป่ที่ตอนนั้นอายุมากพอจะช่วยเหลือตนเองได้ หลิวจ้งกับหลิวจี้ นางล้วนเป็นคนเลี้ยงดูมาเองกับมือ ความผูกพันที่นางมีไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ หากแต่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น
หากไม่ได้คิดหวังดีกับหลิวจี้จริงๆ ก็คงไม่ทำใจปล่อยให้เขาได้รับบทเรียนเช่นนี้หรอก
เรื่องฟางในนานั้น นางจางก็เดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแค่ไม่พูดออกมาเท่านั้น
อีกไม่นานก็จะเข้าหน้าหนาวแล้ว บ้านเจ้าสามมีเพียงสะใภ้ใหม่ที่เพิ่งมา ไม่รู้อะไรเลย หากไม่เหลือฟางไว้ให้พวกเขาบ้าง พอฤดูหนาวมาแล้วจะทนผ่านไปได้อย่างไร
แต่ในใจนางจางก็โกรธไม่น้อย ต้าหลางกับเอ้อร์หลางถูกหลิวจี้ผู้เป็นพ่อเลี้ยงดูมาโดยไม่สอนมารยาท เห็นใครก็ไม่ทักทาย ได้ของมาก็ไม่เอ่ยขอบคุณ
แม้แต่ฟางในนา ก่อนหน้านี้สองพี่น้องยังไม่คิดจะบอกท่านปู่ของพวกเขาสักคำ กลับแอบขโมยไปเองเงียบๆ
หรือว่า คนเป็นปู่จะยอมปล่อยให้หลานๆ หนาวตายกันเล่า
แล้วยังมีฉินเหยา ในฐานะแม่เด็กไม่รู้เรื่องก็ว่าไปอย่าง แต่นางเป็นผู้ใหญ่แล้วยังไม่รู้กาลเทศะตามไปด้วย เจ้าสามเกิดเรื่องมากว่าสองวันแล้ว นางยังไม่โผล่มาเลยสักครั้ง
“หรือว่านางจะคิดให้เจ้าสามตายอยู่ข้างนอกจะได้ไม่ต้องกลับมาอีก” คำที่นางจางคิดอยู่ในใจเผลอหลุดปากออกมาโดยไม่ตั้งใจ
หลิวเหล่าฮั่นตกใจวูบหนึ่ง หันมามองภรรยาเฒ่าอย่างช้าๆ “คงไม่หรอกกระมัง”
นางจางถึงกับขนลุก ภาพวันที่พบฉินเหยาครั้งแรกผุดขึ้นมา ในวันนั้นฉินเหยาดูบอบบาง แววตาขลาดกลัว ไม่น่าใช่คนใจร้าย
แต่… นางเป็นผู้ลี้ภัยนะ เด็กสาวตัวคนเดียวเดินทางจากตะวันตกเฉียงเหนือมาถึงจงหยวนได้ ไม่ใช่สิ่งที่หญิงสาวธรรมดาทำได้แน่
ผ่านความโหดร้ายมามากเกินไป หากจิตใจนางด้านชาแข็งกระด้างขึ้นมาล่ะ
แย่แล้ว!
หลิวเหล่าฮั่นกับนางจางสบตากัน ลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้น
สองสะใภ้ทำอาหารเสร็จแล้วก็เรียกพ่อแม่สามีมากินข้าว ช่วงนี้มัวแต่ยุ่งกับการปลูกข้าวสาลีฤดูหนาว พวกผู้ชายในบ้านใช้แรงกันมาก สะใภ้ทั้งสองจึงตั้งใจทำอาหารให้สมบูรณ์กว่าปกติสักหน่อย
ปกติจะมีเพียงข้าวต้มข้นๆ กินกับวอโถวเนื้อหยาบ แต่วันนี้นอกจากนั้นแล้วยังมีน้ำแกงไข่ใส่บวบชามใหญ่อีกด้วย
จินเป่า บุตรชายของหลิวไป่และ จินฮวา บุตรสาววัยห้าขวบของหลิวจ้งต่างถือซุปไข่คนละครึ่งชาม กินกันเสียงดังอย่างเอร็ดอร่อย
คนอื่นในบ้านเองก็ดีใจมาก ความเหนื่อยล้าดูจะจางลงมาก
มีเพียงหลิวเหล่าฮั่นกับนางจางสองผัวเมียที่จ้องน้ำแกงไข่หอมกรุ่นโดยไม่รู้สึกหิวแม้แต่น้อย ในหัวคิดแต่เรื่องสะใภ้ใหม่ของเจ้าสามอย่างฉินเหยาว่าเวลานี้นางกำลังทำอะไรอยู่
ยิ่งคิดยิ่งหวั่นใจ นางจางวางชามลงแล้วสั่งหลานชายคนโตที่กินน้ำแกงไข่หมดแล้วว่า “จินเป่า ไปดูบ้านอาสะใภ้สามหน่อยว่าพวกเขาทำอะไรกันแล้วกลับมาบอกข้า”
หลิวจินเป่ารับคำ ก่อนออกไปก็นึกถึงเรื่องฟางขึ้นมาได้ เขาหันไปถามหลิวเฝย “อาเล็ก พวกเรายังจะไปเอาฟางที่บ้านอาสามไหม”
หลิวเฝยตักน้ำแกงไข่อีกครึ่งชามมากินกับวอโถวเนื้อหยาบ กัดวอโถวคำหนึ่งซดน้ำแกงคำหนึ่ง เคี้ยวเหมือนเคี้ยวศัตรูอย่างนั้น ไม่สนใจหลิวจินเป่าแม้แต่น้อย
หลิวจินเป่าทำอะไรไม่ได้จึงต้องวิ่งลึกเข้าไปในหมู่บ้านตามลำพัง
MANGA DISCUSSION