ตอนที่ 89 ประชุมครอบครัวครั้งแรก
ทว่าสิ่งที่บ้านขาดแคลนก็คือผัก ฉินเหยาจึงมิได้กล่าวสิ่งใดต่อ
แปลงผักเล็กสองแปลงหน้าบ้านนาง ใบผักเพิ่งโผล่ออกมาก็ถูกกินจนหมดไม่เหลือแล้ว
ส่วนแปลงผักที่เพิ่งถางเพิ่มหลังเรือน กว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ยังต้องใช้เวลาอีกเดือนครึ่ง ที่หมู่บ้านนี้ไม่มีตลาดสดให้ซื้อหาผักสดได้ทุกวัน
แต่ละบ้านล้วนขาดแคลนอาหาร แม้อยากจะซื้อก็ใช่ว่าจะมีคนยอมขายให้
เมื่อทุกคนในบ้านมาพร้อมหน้ากันที่ห้องโถง หลิวจี้ก็จัดเตรียมน้ำหนึ่งถ้วยไว้ตรงหน้าทุกคนตามที่ฉินเหยาขอ ก่อนจะกลับไปนั่งประจำที่
การประชุมครอบครัวครั้งแรก เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว
ฉินเหยากล่าวถึงหัวข้อของการประชุมก่อนนั่นคือ การศึกษาเพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตา
หลิวจี้หัวใจกระตุกไปวูบหนึ่ง แต่คงไม่ใช่หรอก ไม่ใช่หรอก คงไม่ใช่เรื่องที่เขาเดาไว้ก่อนหน้านี้หรอกกระมัง?
ฉินเหยามองเขาด้วยแววตาแสดงความยินดีที่ตอบถูก ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าตัดสินใจแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หลิวจี้ เจ้าจะกลับไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาต่อและเข้าร่วมการสอบเคอจวี่”
พวกต้าหลางทั้งสี่ยังไม่เข้าใจว่าเคอจวี่คืออะไร ฟังเข้าใจเพียงประโยคที่ว่ากลับไปสำนักศึกษา
แต่หลิวจี้กลับลุกพรวดขึ้นทันที “เมียจ๋า เจ้าล้อเล่นหรือ”
“เปล่าเลย ข้าพูดจริง” ฉินเหยาเคาะโต๊ะ “นั่งลง!”
หลิวจี้นั่งลงด้วยจิตใจสับสน ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้น และแล้วก็เป็นดังคาด เมื่อฉินเหยาหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาแล้วอ่านรายการค่าใช้จ่ายตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาของเขา ทุกค่าใช้จ่ายล้วนถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด แม้แต่เหรียญเดียวก็มิมีตกหล่น
“เงินเล็กน้อยข้าจะไม่คิดรวม แต่ยอดเงินก้อนใหญ่ เจ้าติดค้างข้ารวมทั้งสิ้นสี่สิบตำลึงถ้วน!”
ฉินเหยาชี้ไปที่บัญชีในมือ มองใบหน้าตกตะลึงของหลิวจี้ คาดไม่ถึงล่ะสิ? นางไม่ได้พูดเล่นไปอย่างนั้นแต่จดบัญชีไว้จริงๆ
“ข้าคำนวณอย่างจริงจังแล้ว หากเจ้าหลิวจี้ต้องการใช้หนี้ก้อนนี้ด้วยการทำไร่ไถนา เมื่อหักดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไปแล้ว เจ้าจะต้องใช้เวลาถึงยี่สิบห้าปี”
“หากช่วยคัดลอกหนังสือให้ผู้อื่นก็ต้องใช้เวลาสิบปี นี่ยังไม่นับรวมความเป็นไปได้ที่เจ้าอาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน อีกทั้ง ยังตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ตลาดของเหล่าบัณฑิตนั้นมั่นคงตลอดเวลาด้วย”
ดังนั้น นางจึงสรุปทางลัดออกมาได้หนึ่งทาง นั่นคือการสอบเคอจวี่!
“ขอเพียงเจ้าสอบผ่านเป็นซิ่วไฉ ภาษีและแรงงานของบ้านเราจะได้รับการยกเว้นทั้งหมด ใช้เวลาเพียงสองปี เจ้าก็สามารถใช้หนี้ก้อนนี้ได้หมดสิ้น ระหว่างเราสองคนจะไม่ติดค้างกันอีก”
“หากเจ้าสามารถสอบเป็นจวี่เหรินได้นั่นยิ่งดี ทุกคนในครอบครัวจะพลอยรุ่งเรืองตามไปด้วย!”
หลิวจี้ฟังแล้วถึงกับอึ้งไป อย่าว่าแต่เข้าสอบเคอจวี่เลย หากมิใช่เพราะหลิวเหล่าฮั่นยอมควักเงินส่งเขาเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาแล้วล่ะก็ ชาตินี้เขาคงไม่มีวันคิดว่าตนเองจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาได้เลย
แต่ตอนนี้ ฉินเหยากลับต้องการให้เขาไปสอบเคอจวี่?
หลิวจี้ยกมือขึ้นหมายจะจับหน้าผากฉินเหยาเพื่อดูว่านางเป็นไข้จนเลอะเลือนหรือไม่ ทว่าไม่ผิดคาด มือของเขาถูกตบออกไปอย่างไร้ความปรานี
เขากุมหลังมือที่แดงเรื่อ ถามฉินเหยาด้วยน้ำเสียงหยั่งเชิง “เมียจ๋า เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าอายุเท่าไหร่”
ฉินเหยาตอบ “ยี่สิบสี่”
หลิวจี้ยิ่งไม่เข้าใจ “อายุข้าปาเข้าไปยี่สิบสี่แล้ว เพิ่งจะเริ่มเรียนตอนนี้ ต้องใช้เวลาอีกเท่าไรถึงจะสอบเป็นซิ่วไฉได้”
“เจ้าเคยคิดมาตลอดว่าตัวเองมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมมิใช่หรือ แค่สอบเป็นซิ่วไฉมันยากนักหรือ” ฉินเหยากล่าวย้อนด้วยสายตาดูแคลน
หลิวจี้ “อะ…เอ่อ…”
“ข้าอยู่ที่จวนคหบดีติงมาหนึ่งเดือน เจ้านึกว่าข้าทำหน้าที่แค่ผู้คุ้มกันหรือ”
ฉินเหยากางหนังสือเก้าเล่มออก “ข้าสืบมาเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงอ่านสี่ตำราห้าคัมภีร์จนคล่อง การสอบเป็นซิ่วไฉหาใช่เรื่องยากแต่อย่างใด”
“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังมีข้าอยู่มิใช่หรือ ข้าจะสอนเจ้าเอง เจ้าจงเชื่อข้า ขอเพียงเจ้าทำตามที่ข้าบอก ข้ารับรองว่าเจ้าสอบผ่านเป็นซิ่วไฉได้แน่นอน”
“แล้วเรื่องเงินเล่า” หลิวจี้รู้สึกว่าตัวเองคงไม่รอดเสียแล้ว ทว่ากลับรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย
การอ่านหนังสือหมายความว่าเขาจะไม่ต้องทำไร่ไถนาอีกต่อไปใช่หรือไม่
ฉินเหยาเปิดสมุดบัญชีออกอีกครั้ง คำนวณค่าใช้จ่ายให้ทั้งห้าคนพ่อลูกได้ฟัง
“ตอนนี้สำนักศึกษามีเพียงแห่งเดียวในเมือง ทั้งยังมีเพียงศิษย์ที่เข้าเรียนในสำนักศึกษาเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าสอบเคอจวี่ เพราะต้องอาศัยสำนักศึกษาและศิษย์ร่วมรุ่นเป็นผู้ค้ำประกัน รวมถึงทำเอกสารต่างๆ ให้เรียบร้อยจึงจะสามารถเข้าสอบได้อย่างราบรื่น”
“ดังนั้น ก้าวแรกของเราคือเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาให้ได้”
“ค่าธรรมเนียมศึกษาประจำปีของสำนักศึกษาคือสองตำลึง ค่าที่พักปีละหนึ่งตำลึง รวมกับค่าอุปกรณ์เครื่องเขียนที่จำเป็นต้องใช้ทุกปีอีกสองตำลึง รวมแล้วตกปีละห้าตำลึงต่อคน”
ด้วยสภาพของครอบครัวในตอนนี้ ค่าใช้จ่ายปีแรกยังสามารถแบกรับภาระนี้ไหว
“แล้วปีที่สองเล่า” หลิวจี้มิได้คิดว่าตนจะสามารถสอบผ่านภายในปีเดียว
ฉินเหยายิ้มอย่างใจเย็น “เรื่องของปีหน้าก็ว่ากันปีหน้า ขอเพียงเจ้าไปเรียน เรื่องเงินทองต่อไปเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิวจี้ก็พลันรู้สึกยินดี แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ นางถึงอยากส่งเขาไปเรียน ทว่าการอ่านหนังสือย่อมดีกว่าทำไร่ไถนาเป็นแน่ อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเมื่อเอาไปพูดให้ผู้อื่นฟังด้วย!
“เมียจ๋า เจ้าอยากส่งข้าเรียนจริงๆ หรือ” หลิวจี้ถามย้ำอีกครั้ง
ฉินเหยาพยักหน้า ถามเขาอย่างจริงจัง “เจ้ายินยอมหรือไม่”
“แน่นอนว่ายินยอมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าข้าอายุมากขนาดนี้แล้ว สำนักศึกษาจะรับหรือ” หลิวจี้ถามด้วยความสงสัย
เห็นเขายินยอม ฉินเหยาก็โล่งใจ นางตบแขนเขาอย่างอารมณ์ดีซึ่งหาได้ยาก “วางใจเถอะ ข้าไปสืบข่าวจากตระกูลติงมาแล้ว คนที่อายุมากกว่าเจ้าก็ยังเข้าเรียนสำนักศึกษาได้เลย”
แต่ก่อนจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ยังมีสัญญาหนึ่งฉบับที่ต้องลงนาม
“สัญญาอะไร?” หลิวจี้ถามอย่างระแวดระวัง
ฉินเหยาส่งยิ้มบางให้เขา แน่นอนว่าย่อมเป็นสัญญาที่ว่า ‘มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ให้เขาแบกรับ’ น่ะสิ
“ตอนนี้ข้าส่งเสียเจ้าเรียน ถือเป็นการลงทุนกับตัวเจ้า และเมื่อมีการลงทุน ย่อมต้องมีผลตอบแทน เรามากำหนดกฎเกณฑ์กันก่อน วางใจเถิด ข้าเป็นคนไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น ขอไม่มากนักหรอก”
แม้นางจะพูดเช่นนั้น แต่ตอนลงมือเขียนสัญญากลับไม่ออมมือแม้แต่น้อย
ข้อแรกสุดคือเขามิอาจหย่าขาดหรือแยกทางจากนางโดยพลการ หากสอบผ่านเป็นซิ่วไฉแล้วต้องการหย่าหรือแยกทาง ทรัพย์สินทั้งหมดต้องตกเป็นของฉินเหยา อีกทั้งยังต้องยอมรับนางเป็นพี่สาวบุญธรรมเพื่อคงสถานะเครือญาติร่วมเสพสุขด้วยกันต่อไป
หลิวจี้มองฉินเหยาด้วยความตกตะลึง “เจ้าอายุน้อยกว่าข้านะ”
“ข้าอายุน้อยกว่าก็เป็นพี่สาวเจ้าได้!” ฉินเหยากล่าวอย่างเผด็จการ
นางไม่แม้แต่จะเงยหน้า ก่อนจะเขียนข้อที่สองต่อไป
หากมิได้รับความยินยอมจากนาง ห้ามรับอนุภรรยาหรือแต่งภรรยาอีกคน หากฝ่าฝืน บทลงโทษเป็นเช่นข้อแรก
ข้อสุดท้าย สัญญานี้มีอายุสามสิบปี นางสามารถยกเลิกสัญญาเมื่อใดก็ได้ แต่หลิวจี้ไม่มีสิทธิ์กระทำเช่นนั้น
“เรียบร้อยแล้ว หากเจ้าดูแล้วไม่มีปัญหาก็ลงนามและประทับตราเถิด” ฉินเหยาเป่าหมึกให้แห้งก่อนวางกระดาษลงตรงหน้าเขาแล้วยื่นแท่นหมึกและพู่กันให้อย่างใส่ใจ
อักษรบนกระดาษนี้เรียกได้ว่าน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้ แต่ยังดีที่ทุกตัวพออ่านออก
หลิวจี้อ่านเนื้อหาในสัญญาทั้งสามข้อจบก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหลิงขึ้นมาเล็กน้อย “เมียจ๋า เจ้านี่กลัวข้าหย่ากับเจ้ามากขนาดนั้นเชียวหรือ”
ฉินเหยายิ้มน้อยให้เขาอย่างสุภาพ “จริงๆ แล้วข้าก็ไม่รังเกียจที่จะเป็นม่ายหรอกนะ”
หลิวจี้ไม่ลังเลอีกต่อไป รีบหยิบพู่กันลงนามและประทับนิ้วมือบนสัญญาที่ไม่เป็นธรรมนี้ทันที
เรื่องรับอนุภรรยาหรือแต่งภรรยาอีกคนเขาไม่เคยนึกถึงเลย แค่มีฉินเหยาคนเดียว เขาก็รับมือแทบไม่ไหวแล้ว!
หากมีโอกาสหย่า เขาก็จะออกไปใช้ชีวิตเป็นหนุ่มพเนจรอย่างเสรี ทำสิ่งใดก็ได้ตามใจ โดยไม่มีผู้ใดมาผูกมัดอีกต่อไป
ถึงตอนนั้น เขาจะคบหาหญิงงามแปดนางพร้อมกันโดยไม่แต่งงาน คอยดูพวกนางแย่งชิงและตบตีกันเพราะเขา นั่นแหละถึงจะสนุก!
MANGA DISCUSSION