“เฉียวกูกู” ฉินเหยาบอกให้นางเข้ามาเรียนรู้การนวดด้วยเพราะตนไม่สามารถช่วยติงเซียงนวดได้ทุกครั้ง หากจะนวดเพิ่มก็ต้องมีค่าตอบแทนเพิ่ม
เฉียวกูกูเดินเข้ามาด้วยความตกใจ นางไม่เคยเห็นวิธีนวดเช่นนี้มาก่อน มักจะรู้สึกเหมือนว่าเป็นการไม่เคารพคุณหนู สีหน้าของนางตอนเรียนการนวดจึงเหมือนคนไปงานศพอย่างนั้น
ติงเซียงโอดครวญไม่หยุด เสียงโหยหวนดังลั่นทั่วเรือนด้านใน คนที่ไม่รู้คงคิดว่าคุณหนูโดนคนทำร้าย
คืนนั้นหลับสนิทไร้ฝัน เช้าตรู่ฉินเหยาก็ปลุกติงเซียงขึ้นมา
การตื่นเช้าสำหรับติงเซียงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะปกตินางก็ตื่นเวลานี้เพื่ออ่านหนังสือในยามเช้าอยู่แล้ว
แต่ใครจะบอกนางได้บ้างว่าเหตุใดการฝึกยิงธนูถึงได้เหนื่อยกว่าขี่ม้าเสียอีก?!
เฉียวกูกูได้ยินเสียงโอดครวญดังมาจากด้านหลังเรือนเป็นระยะ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูถึงชอบหาเรื่องลำบากให้ตนเองนัก
แม้กระนั้น เด็กสาวก็ไม่มีความคิดที่จะยอมแพ้
ความรู้สึกที่สามารถกุมพลังอำนาจเอาไว้ทำให้นางรู้สึกติดใจ
โดยเฉพาะเมื่อยิงธนูถูกเป้าในครั้งเดียว ความรู้สึกสำเร็จนั้นเป็นสิ่งที่การฝึกเย็บปักถักร้อยหรือวาดภาพในห้องหอของหญิงสาวไม่อาจเทียบได้เลย
ตามหลักแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการขี่ม้าหรือยิงธนูก็ไม่มีทางเรียนรู้ได้สำเร็จในเวลาอันสั้น
แต่ด้วยเวลาที่จำกัดและภารกิจที่หนักหนา ฉินเหยาจึงได้ให้คำมั่นว่าจะสอนติงเซียงให้สำเร็จจึงต้องใช้การฝึกแบบเข้มข้น
ภายใต้การฝึกฝนอย่างเข้มงวด นางเรียนรู้การยิงธนูท่ายืนได้ในวันครึ่งและเรียนขี่ม้าจนคล่องในครึ่งวัน
เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวันก่อนที่บิดาและพี่ชายของติงเซียงจะกลับมาถึงบ้าน
ในวันสุดท้ายนี้ ฉินเหยาพาติงเซียงขี่ม้าเข้าไปในภูเขา ทั้งสองขี่ม้าในป่าเพื่อหาเหยื่อและทำการฝึกซ้อมภาคสนามครั้งสุดท้าย
พวกนางขี่ม้าไล่ตามเพียงพอนตัวหนึ่ง ภายใต้การแนะนำของฉินเหยาติงเซียงก็ยิงโดนมันสำเร็จ ติงเซียงรู้สึกเหมือนจิตวิญญาณของตนสั่นสะท้านไปกับความสนุกและอิสระนี้!
ฉินเหยาบอกนางว่า ขอเพียงในอนาคตนางฝึกซ้อมต่อเนื่องตามพื้นฐานที่ตนสอนในช่วงสองสามวันนี้ สำหรับการป้องกันตัวในสถานการณ์ฉุกเฉินก็ถือเพียงพอแล้ว และม้าทุกตัวนางก็สามารถควบคุมมันได้ ทำให้มันเป็นพาหนะของนางได้อย่างแท้จริง
ยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ในทุ่งนาสีเขียว เด็กสาวขี่ม้าเดินไปอย่างมั่นคงบนคันนาที่แคบ พลางถามหญิงสาวที่เดินนำอยู่ข้างหน้าพร้อมกับเหยื่อในมือว่า
“ข้าจะเก่งเหมือนเจ้าได้หรือไม่”
คำตอบของอีกฝ่ายไม่มีวันเป็นไปตามที่นางคาดหวัง นางตอบตรงไปตรงมาว่า “ไม่ได้เจ้าค่ะ”
เด็กสาวเบ้ปากอย่างหมดหนทาง บอกตัวเองว่าช่างเถอะ ไม่คิดถือสาคำพูดของนาง
นางถามต่อด้วยความสงสัย “ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ”
“ท่านไม่มีพละกำลังเหมือนข้าและไม่มีประสบการณ์อย่างข้าด้วย” นางตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ก็ได้” นางยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้ตนเองเทียบไม่ได้จริงๆ
“ฉินเหยา เจ้าเคยฆ่าคนมาก่อนหรือไม่” เด็กสาวถามขึ้นอย่างกะทันหัน นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงเกิดความสงสัยขึ้นมา
ก่อนหน้านี้นางไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย แต่เมื่อครู่ในป่า ตอนที่เห็นฉินเหยายิงธนูสังหารเหยื่อ แววตานั้นทำให้นางรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
ฉินเหยาที่เดินนำอยู่ข้างหน้าชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมายิ้มเยือกเย็นให้พร้อมเอ่ยว่า “ท่านลองเดาดูสิ”
แสงอาทิตย์ยามเย็นลับหายไปด้านหลังนาง ใบหน้าของนางถูกความมืดกลืนหาย เหลือเพียงดวงตาสีดำสนิทลึกล้ำดุจบ่อน้ำเก่าที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง ชวนพิศวง
ติงเซียงถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ ขนลุกเกรียวไปทั่วใบหน้าอ่อนเยาว์ของนาง นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าขนหัวลุกอย่างแท้จริง
ในทุ่งนา ความเงียบที่ชวนให้รู้สึกประหลาดดำเนินไปครู่หนึ่ง ฉินเหยาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันกลับ “ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
“…อ้อ อ้อ!” เด็กสาวรีบตอบรับพร้อมกระตุกบังเหียนเล็กน้อย ออกคำสั่งให้ม้าเพิ่มความเร็ว
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงจวนติง ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
พ่อบ้านอวี๋และเฉียวกูกูยืนมองหาพวกนางอยู่หน้าประตูด้วยความกังวล จนกระทั่งเห็นเงาร่างสองร่างที่คุ้นเคยจึงรีบวิ่งเข้ามาต้อนรับ
“คุณหนู นายท่านกับคุณชายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ กำลังรอทานอาหารเย็นพร้อมคุณหนูอยู่” เฉียวกูกูกล่าวด้วยความดีใจปนกังวล
ติงเซียงพลิกตัวลงจากหลังม้าด้วยความดีใจ “ท่านพ่อกับพี่ชายกลับมาก่อนกำหนดหรือ”
เฉียวกูกูพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ ตอนนี้อยู่ที่ห้องอาหารแล้ว กำลังรอคุณหนูไปร่วมรับประทานอาหารเย็นอยู่”
เด็กสาวสวมเสื้อผ้าหยาบๆ เกล้าผมเป็นหางม้าสูงและสะพายธนูคันเล็กที่ฉินเหยาประดิษฐ์ขึ้นเอง ใบหน้าของนางเปื้อนตะไคร่น้ำจากในป่า ดูเลอะเทอะไปหมด ไม่เหลือท่าทางของคุณหนูผู้เพียบพร้อมแต่ก่อนเลย
เฉียวกูกูถึงกับร้องอุทานด้วยความตกใจพลางรีบเข้ามาพาตัวนางไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
ติงเซียงได้ยินว่าบิดาและพี่ชายกลับมาก่อนกำหนด นางดีใจจนแทบอดใจไม่ไหวที่จะไปพบพวกเขาจึงรีบกำชับฉินเหยา “ฉินเหยา อย่าลืมเอาเพียงพอนที่เรายิงได้วันนี้ไปที่ห้องอาหารด้วยนะ ข้าจะเอาไปให้ท่านพ่อกับพี่ชายดู!”
ฉินเหยาสังเกตสีหน้าของเฉียวกูกูก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศแปลกไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้ารับ “เจ้าค่ะ คุณหนูไปก่อนเลย ข้าจะตามไปทีหลัง”
ในเมื่อท่านติงกลับมาถึงจวนแล้ว หน้าที่ผู้คุ้มกันชั่วคราวของนางก็เป็นอันสิ้นสุดลง
ฉินเหยาจูงม้าไปที่คอก เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านอวี๋ยังเดินตามมาจึงใช้สายตาถามว่ามีเรื่องจะพูดหรือไม่
พ่อบ้านอวี๋เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ฉินเหนียงจื่อ นายท่านและคุณชายทราบเรื่องที่เจ้าสอนคุณหนูขี่ม้าและยิงธนูในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาแล้ว”
“อืม ทำไมรึ”
พ่อบ้านอวี๋เตือนนางอย่างจนใจว่านายท่านติงดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจนัก
ฉินเหยาส่งม้าให้จางปาผูกไว้แล้วหยิบเหยื่อเดินไปยังเรือนหลัง “พ่อบ้านกลัวว่าข้าจะถูกนายท่านตำหนิเลยมาบอกข้าล่วงหน้า เพื่อให้ข้าเตรียมใจใช่หรือไม่”
พ่อบ้านอวี๋โล่งใจที่นางเข้าใจเจตนาดีของเขา ก่อนจะเอ่ยต่อว่านายท่านติงเรียกให้นางไปพบที่ห้องอาหารด้วย ให้รีบไปเตรียมตัว อย่าให้เจ้าบ้านรอนาน
“ได้ ข้ารู้แล้ว ขอบคุณมากพ่อบ้านอวี๋” ฉินเหยาพูดพร้อมยิ้มบางๆ ก่อนจะถือเหยื่อเดินไปที่เรือนหลังเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
ก็ไม่ได้มีอะไรให้เปลี่ยนมากนัก เสื้อผ้านางมีแค่สองชุดเท่านั้น นางจึงเปลี่ยนจากชุดที่เปื้อนเหงื่อเป็นอีกชุดที่เพิ่งซักและตากแห้งเสร็จ ล้างหน้าจัดแต่งผมแล้วถือเพียงพอนสองตัวมาที่ห้องอาหาร
ติงเซียงมาถึงก่อนแล้ว ด้วยเวลาที่จำกัด นางจึงล้างหน้าและเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงทันที
ในตอนนี้ เด็กสาวนั่งอยู่ในห้องอาหาร นางก้มหน้าลงพลางขยับปลายเท้าไปมาด้วยความกังวล
นายท่านติงและคุณชายติงเองก็นั่งอยู่ก่อนแล้ว ดูเหมือนจะรอแค่ฉินเหยาคนเดียว
ฉินเหยาเดินเข้ามาพร้อมกับเหยื่อ ส่งยิ้มให้แล้วกล่าวทักทาย จากนั้นเรียกติงเซียงและส่งเพียงพอนสองตัวให้นาง
ติงเซียงเบิกตากว้างอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าฉินเหยาจะนำเหยื่อเข้ามาจริงๆ
ตอนที่นางรีบเร่งมาหาบิดาและพี่ชายด้วยความตื่นเต้น เดิมนางตั้งใจจะแบ่งปันความยินดีกับพวกเขา แต่พอเข้ามาในห้องกลับเห็นพี่ชายกะพริบตาส่งสัญญาณให้นางไม่หยุด
แต่โชคร้ายที่นางสังเกตเห็นช้าเกินไป เพียงเห็นบิดาขมวดคิ้วก่อนจะเอ็ดนางเสียงเข้มว่า
“กระโดดโลดเต้นอย่างกับอะไร ไม่มีความสง่างามแบบที่กุลสตรีพึงมีเลยสักนิด!”
พอเห็นเด็กสาวหยุดยืนนิ่งด้วยใบหน้าหวาดกลัว สีหน้าของเขาจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ยังคงสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “นั่งลง!”
ในตอนนั้น ติงเซียงได้แต่ภาวนาในใจว่า ขออย่าให้ฉินเหยานำเหยื่อเข้ามาเลย แต่สวรรค์ไม่ได้ยินคำอธิษฐานของนาง
เมื่อฉินเหยาส่งเหยื่อให้ติงเซียง บรรยากาศในห้องรับแขกก็แข็งทื่อขึ้นทันที
แต่ในขณะที่พ่อบ้านอวี๋และคนอื่นๆ เหงื่อแตกพลั่ก ฉินเหยากลับยิ้มออกมาก่อน
“คุณหนู ท่านไม่อยากได้เหยื่อที่ล่ามาแล้วหรือ”
ติงเซียงทำได้เพียงพูดเสียงเบา “เอาออกไปก่อนเถอะ”
โต้วเอ๋อร์รีบเข้ามาเก็บเพียงพอนสองตัวที่ตายไปแล้วออกไป
ติงซื่อมองน้องสาวด้วยความตกใจ ก่อนจะมองไปที่ฉินเหยา เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าหลังจากที่ตนออกจากบ้านเพียงไปเดือนเดียว น้องสาวก็สามารถเข้าป่า ขี่ม้า และล่าสัตว์ได้แล้ว
นายท่านติงหรี่ตาลง ความตกใจที่เกิดจากการเห็นเหยื่อนั้นมีมากกว่าความประหลาดใจตอนที่เขาได้ยินจากบ่าวในบ้านว่า บุตรสาวของเขาไม่สนใจขนบของหญิงสาวในห้องหอออกไปขี่ม้าอย่างดุเดือดอยู่หน้าจวนแล้วยังวิ่งเข้าไปซุกซนในป่าเสียอีก
ฉินเหยามองดูสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อของพ่อลูกคู่นี้ ก่อนจะถามด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนว่า “ข้าควรนั่งหรือไม่”
พ่อลูกทั้งสองเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านางยังยืนอยู่ นายท่านติงรักษามารยาทของตนไว้ ข่มกลั้นความโกรธไว้ในใจแล้วเชิญให้นางนั่งลงพร้อมกล่าวคำขอบคุณและชื่นชมในความเหนื่อยยากเล็กน้อยตามมารยาท
MANGA DISCUSSION