หลิวจี้เก็บเงินไว้อย่างดี ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ค่อยถูกต้องนัก
ซื้อพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกให้เด็กทั้งสี่คนเขาเข้าใจได้ แต่ทำไมนางถึงบอกให้เขาฝึกเขียนอักษรด้วยล่ะ
แต่ฉินเหยาไม่อาจรั้งรอได้อีก นางรีบลูบใบหน้าน้อยๆ ของพี่น้องทั้งสี่อย่างเร่งรีบ ก่อนจะเดินกลับไปทันทีทำให้เขาไม่มีโอกาสได้ถามถึงเรื่องที่สงสัยเลย
ห้าพ่อลูกยืนเรียงแถวกันอยู่หน้าประตูจวนติง มองส่งนางเดินจากไป ความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่กลับมาหม่นหมองอีกครั้ง
“ท่านพ่อ อีกนานแค่ไหนท่านแม่ถึงจะกลับมาหรือ” ซื่อเหนียงเงยหน้าถามด้วยความคาดหวัง
หลิวจี้นับนิ้วคำนวณวันเวลา “ยังเหลืออีกยี่สิบวัน”
“ไม่นานหรอก พริบตาเดียวก็จะผ่านไปแล้ว” หลิวจี้พูดปลอบ
พอเห็นว่าประตูใหญ่ของจวนติงปิดลง เขาก็หันไปโบกมือเรียกเด็กๆ ที่อยู่ข้างหลังด้วยรอยยิ้ม “ไปกันเถอะ พ่อจะพาพวกเจ้าไปที่ตัวเมือง เราจะไปกินดื่มของอร่อยให้เต็มที่!”
สีหน้าเศร้าหมองของพี่น้องทั้งสี่เปลี่ยนเป็นความคาดหวังในทันที พวกเขาจับมือกันเดินตามหลังหลิวจี้ไป ห้าพ่อลูกมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองด้วยกัน
วันนี้เป็นวันที่มีตลาดใหญ่ ผู้คนเยอะมาก ร้านรวงบนถนนต่างเปิดกันครบครัน ข้างทางยังมีแผงขายของเล็กๆ น้อยๆ บรรยากาศครึกครื้นมาก
หลิวจี้กลัวว่าเด็กๆ จะพลัดหลงกัน เขาจึงจับมือซานหลางและซื่อเหนียงเอาไว้แล้วให้ลูกชายสองคนที่โตหน่อยเดินอยู่ด้านหน้า
“ซื้อให้ท่านแม่ด้วยอันหนึ่งสิ!” ซื่อเหนียงดึงมือใหญ่ของท่านพ่อไว้แน่น นางนั่งลงกับพื้น หากไม่ซื้อก็ไม่ยอมเดินต่อ
ดังนั้น ตอนที่ฉินเหยากลับมาจากการไปช่วยคุณหนูติงจับปลาจากนามาจนเต็มถังก็ต้องตกใจเมื่อได้รับเชือกถักห้าสีเส้นหนึ่งจากจางปา
“ฉินเหนียงจื่อ สามีของเจ้าใส่ใจเจ้ามากจริงๆ เลยนะ” จางปากล่าวแซวอย่างมีนัย
เขายังคิดไม่ถึงว่าสามีของฉินเหนียงจื่อจะหล่อเหลาเช่นนี้ ดูเผินๆ แล้วเหมือนเป็นพวกบัณฑิตเสียด้วย ตอนที่ฝากเชือกถักเส้นนี้มาให้ฉินเหนียงจื่อ คำพูดคำจาก็ยังสละสลวย
ฉินเหยาไม่เข้าใจว่าจางปาคิดเรื่องเหลวไหลเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร นางจึงเพียงกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพแล้วรับเชือกถักนั้นมา
เชือกเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่ง มีสีแดง เหลือง ขาว เขียว และน้ำเงิน ซึ่งเป็นตัวแทนของธาตุทั้งห้า มีความหมายดีที่ช่วยเสริมโชคลาภและปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
ฉินเหยาหยิบเชือกถักขึ้นมามองดูอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากก็ยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นางไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเชือกเส้นนี้เด็กๆ ต้องเป็นคนเลือกให้
เชือกมีความยาวมากทีเดียว ฉินเหยาจึงพันรอบข้อมือสองรอบ ทำเป็นกำไลข้อมือก็ดูสวยดี
แต่พอเข้ามาในห้องแล้วเห็นบ๊ะจ่างที่คุณหนูติงส่งมาให้ มุมปากของนางก็กระตุกเล็กน้อย
บ๊ะจ่างนั้นก็ผูกด้วยเชือกถักห้าสีเหมือนกัน ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย เพราะมันเหมือนกับที่อยู่บนข้อมือของนางไม่มีผิด
ฉินเหยาหยิบบ๊ะจ่างขึ้นมา คลายเชือกและใบไผ่ออก ลองชิมบ๊ะจ่างไส้พุทราแดงและหมู แต่หัวใจของนางกลับล่องลอยไปถึงหมู่บ้านเล็กๆ ตระกูลหลิว
ที่แท้ การมีให้คนคิดถึง ความรู้สึกมันเป็นเช่นนี้นี่เอง มีทั้งความสุขเล็กๆ และความคาดหวังอยู่ในนั้นเล็กน้อย
ในฐานะคนทำงาน ฉินเหยาทำงานในเวลางานอย่างเต็มที่ นอกจากจะทำงานของตนเองให้ดีแล้ว นางยังร่วมเล่นกับนายจ้างด้วย
แต่ตั้งแต่พบว่าฉินเหยาสามารถจับสัตว์เล็กสัตว์น้อยได้ คุณหนูติงก็ไม่ค่อยสนุกกับการเล่นบทบาทสมมติเป็นอาจารย์อีกต่อไป
นางเริ่มตั้งหน้าตั้งตารอที่จะออกไปข้างนอก จะไปที่ไหนก็ได้ ทั้งที่นา เนินเขา หรือในป่า
ฉินเหยาสามารถพานางปีนต้นไม้หรือพาลงน้ำจับปลา บางครั้งก็ยังช่วยล่าสัตว์เล็กๆ กลับมาเพิ่มรายการอาหารมื้อเย็นได้อีก
และการที่ฉินเหยาเล่นเป็นเพื่อนนอกเหนือจากหน้าที่เหล่านี้ นางก็ได้รับค่าตอบแทนเช่นกัน
เดิมทีคุณหนูติงอนุญาตให้นางอ่านหนังสือได้เฉพาะในห้องหนังสือ แต่ตอนนี้กลับใจกว้างพอที่จะให้ฉินเหยายืมไปอ่านในห้องของตัวเอง
ฉินเหยาจึงอาศัยเวลาสามชั่วโมงก่อนนอนในตอนกลางคืน อ่านหนังสือให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อทำความเข้าใจแง่มุมต่างๆ ของยุคสมัยนี้ รวมถึงประสบการณ์และกระบวนการสอบเข้ารับราชการด้วย
เรื่องนี้ คุณหนูติงถือเป็นผู้รอบรู้ที่สุด เพราะทั้งบิดาและพี่ชายของนางล้วนเป็นผู้เข้าสอบเคอจวี่ นางมองออกว่าฉินเหยาอยากให้ลูกเลี้ยงในบ้านได้เรียนหนังสือจึงไม่ตระหนี่ที่จะเล่าเรื่องราวมากมายให้นางฟัง
พร้อมกันนั้น เมื่อเห็นสีหน้าของฉินเหยาที่อ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัวขณะพูดถึงลูกเลี้ยงในบ้าน นางก็อดรู้สึกอิจฉาเล็กๆ ไม่ได้
หลังจากปีนี้ผ่านพ้น มารดาของนางก็จากไปครบสามปีแล้ว
นางมีลางสังหรณ์ว่าบิดาจะต้องแต่งงานใหม่และคงจะแต่งกับหญิงสาวที่ช่วยส่งเสริมเส้นทางอาชีพของเขา
นางรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่เมื่อมองไปที่ฉินเหยา นางก็อดคาดหวังไม่ได้ หากว่าอีกฝ่ายจะเป็นมารดาที่ดีเช่นกันล่ะ?
ปลายเดือนห้า ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆกลับเปลี่ยนแปลงไป
ฝนเริ่มตกลงมา โดยมักจะตกตอนเช้ากับเย็น ส่วนตอนกลางวันก็แดดออก พื้นในจวนเปียกแล้วก็แห้ง แห้งแล้วก็เปียกสร้างความรำคาญใจให้คนไม่น้อย
ฉินเหยาถือหนังสือเล่มหนึ่ง เอนตัวพิงริมหน้าต่างอ่านอย่างสงบใจ
คุณหนูติงกางกระดาษเซวียนจื่อสีขาวสะอาดออกแผ่นหนึ่ง ยืนอยู่หน้าโต๊ะเตรียมจะวาดภาพ แต่แม้พู่กันจะชุ่มหมึกแล้วก็ยังไม่ยอมแตะลงบนกระดาษ
นางเอียงศีรษะไม่รู้คิดอะไรอยู่ พักใหญ่จึงเริ่มลงพู่กันไม่กี่เส้นอย่างพลิ้วไหว วาดภาพหญิงสาวคนหนึ่งที่เอนตัวพิงหน้าต่างอ่านหนังสือลงบนกระดาษ
ฉินเหยาชำเลืองมองภาพนั้น ยิ้มมุมปากเล็กน้อย คิดว่านางกำลังวาดรูปของตน
แต่พอผ่านไปสักพัก เมื่อมองดูอีกครั้ง เครื่องหน้าของหญิงสาวในภาพถูกวาดออกมาจนแจ่มชัดกลับเป็นใบหน้าของหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่ง
“ข้าจำหน้าของท่านแม่ไม่ได้แล้ว” ดังนั้นจึงวาดรูปหญิงสาวที่มีรูปร่างเหมือนฉินเหยา แต่ใบหน้ากลับเป็น ‘มารดาผู้ให้กำเนิด’
คุณหนูติงมองภาพนั้นด้วยความหงุดหงิดแล้วมองฉินเหยาด้วยสายตาราวกับลูกกวางตัวน้อยที่ถูกทอดทิ้ง
ฉินเหยาเดินเข้ามา วางหนังสือในมือลงแล้วอ้าแขนกว้างไปทางนาง “มาๆ กอดๆ”
คุณหนูติงอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปหาอย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆ ซบลงในอ้อมกอดของนาง อ้อมกอดนั้นอบอุ่นเหมือนที่นางจินตนาการเอาไว้
“ฉินเหนียงจื่อ ท่านพ่อส่งจดหมายมาบอกว่าเขากับพี่ชายกำลังจะกลับถึงบ้านแล้ว”
คุณหนูติงซบอยู่ในอ้อมกอดนางพลางถามหยั่งเชิง “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าบ้านเจ้าอยู่ที่ไหน เผื่อวันใดข้าอยากไปหา ข้ากลัวว่าจะหาไม่เจอ”
“เช่นนั้นท่านต้องเดินทางไกลมากนะเจ้าคะ จากในเมืองไปถึงบ้านข้า ใช้เวลาเดินประมาณหนึ่งชั่วยามครึ่ง”
“ข้าขี่ม้าไปได้” นางกล่าวอย่างมุ่งมั่น “ถึงอย่างไร หากข้าไม่มีที่ไป ข้าก็จะไปพึ่งพาเจ้าและเอาหนังสือของข้าไปเป็นค่าตอบแทน”
“เจ้าจะรับข้าไว้ใช่ไหม” นางเงยหน้าเอ่ยถามอย่างคาดหวัง
ฉินเหยาส่ายหน้า ตอบกลับอย่างหนักแน่น “ไม่เจ้าค่ะ”
บ้านของนางไม่ใช่สถานเลี้ยงเด็กที่ใครจะมาก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้น นายท่านติงเป็นคนที่นางไม่อาจล่วงเกินได้ในตอนนี้
เด็กสาวทำหน้างอน พยายามจะถามเหตุผลแต่ก็รู้ว่าถามไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะหากนางพูดว่าไม่ก็คือไม่
ฉินเหยาดันนางออกจากอ้อมกอดพลางเปลี่ยนเรื่อง “หรือข้าจะสอนท่านขี่ม้าดี รับรองว่าข้าสอนจนท่านขี่เป็น ขอเพียงให้ข้ายืมคัดหนังสือไม่กี่เล่มเท่านั้น”
เมื่อครู่เด็กสาวพูดว่าจะขี่ม้ามาบ้านนาง แต่ตัวนางเองกลับยังไม่เคยจับม้ามาก่อนด้วยซ้ำ
คุณหนูติงเกิดความสนใจขึ้นมาจริงๆ นางถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เจ้าต้องการหนังสือเล่มใด?”
ฉินเหยาชี้ไปที่หนังสือบนชั้น ‘โจวอี้’ ‘ซ่างซู’ ‘ซือจิง’ ‘หลี่จี้’ และ ‘ชุนชิว’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสี่ตำราห้าคัมภีร์
คุณหนูติงเพิ่มข้อเสนออย่างมั่นใจ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องสอนข้ายิงธนูและขี่ม้าด้วย!”
MANGA DISCUSSION