ฉินเหยาปิดหนังสือลง รู้สึกงุนงงไปชั่วขณะ
ภาพเรือนและกำแพงรอบด้านค่อยๆ พังทลายลง โลกที่กว้างใหญ่กว่าเดิมค่อยๆ ปรากฏขึ้นต่อหน้านาง
เนื้อหาในหนังสืออาจเป็นเรื่องแต่ง แต่ไม่ว่าโครงเรื่องจะถูกจัดเรียงอย่างไร ในสังคมที่บุรุษเป็นใหญ่เช่นนี้ก็ไม่น่าจะมีใครกล้าเขียนถึงจักรพรรดินีแบ่งอำนาจ ฮองเฮาเกือบตั้งตัวเป็นกษัตรีย์ หรือองค์หญิงที่อยากเป็นองค์หญิงรัชทายาทประเภทนี้กระมัง
ใครกันที่เป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้
ฉินเหยาเปิดหนังสือขึ้นมาอีกครั้งพบว่าในตอนท้ายระบุไว้เพียงคำว่า ‘นิรนาม’
ในความเป็นจริง เรื่องราวของจักรพรรดินีและครอบครัวมักถูกเล่าขานในหมู่ชาวบ้าน ในโรงน้ำชามักเล่าว่าจักรพรรดินีและจักรพรรดิรักกันลึกซึ้ง ในวังของฝ่าบาทมีเพียงฮองเฮาองค์เดียวเท่านั้น
เรื่องที่คนพูดถึงมีเพียงฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทสองพระองค์ พูดถึงว่าฮ่องเต้มีชาติกำเนิดยากจน เกลียดชังขุนนางฉ้อฉลที่สุด สององค์ชายเสด็จตรวจการทั่วแคว้น ฟื้นฟูความโปร่งใส ลดภาษีแรงงานและนิรโทษทั่วหล้า
แต่กลับไม่มีใครพูดถึงว่าฮองเฮาเป็นคนเช่นไรหรือพระนางได้สร้างคุณงามความดีอะไรให้แก่แคว้นเซิ่งบ้าง
ฉินเหยานึกถึงข้อมูลต่างๆ ที่นางได้รับในช่วงที่ผ่านมา ความจริงแล้ว เมื่อเทียบกับราชวงศ์ก่อน การจำกัดสิทธิของสตรีในตอนนี้ผ่อนคลายลงมาก ในเมืองยังเห็นสตรีออกมาเดินตามท้องถนน หรือทำงานเป็นพ่อค้าแม่ค้า
ในร้านค้าก็มีสตรีเป็นเจ้าของไม่น้อย แม้กระทั่งในห้องหนังสือของคุณหนูติงก็ยังมีนิยายประวัติศาสตร์ลับอยู่เต็มไปหมด
ดังนั้น สำหรับยุคสมัยใหม่ การจำกัดสิทธิ์ของสตรีลดลงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเชื่อมโยงเบาะแสทั้งหมดเข้าด้วยกัน ฉินเหยารู้สึกว่าฐานะของสตรีในสังคมกำลังได้รับการปรับปรุงอย่างเงียบๆ
บางที ในชนชั้นปกครองที่พวกนางมองไม่เห็นอาจมีสตรีผู้ทรงอำนาจที่กำลังต่อสู้เพื่อสิทธิของพวกนางอยู่ก็เป็นได้
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉินเหยาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
เพราะอย่างไรเสีย นางก็กลับไปไม่ได้แล้วย่อมหวังให้ข้อจำกัดที่มีต่อสตรีลดน้อยลงเรื่อยๆ
ส่วนเรื่องทำไร่ทำสวน ตอนนี้ฉินเหยามีความคิดใหม่ นั่นก็คือนางจะใช้การเรียนหนังสือเปลี่ยนแปลงโชคชะตา!
แต่คนที่จะเรียนไม่ใช่นาง หากแต่เป็นหลิวจี้
เขามีพื้นฐานอยู่บ้างและเป็นผู้ใหญ่แล้ว นางจึงไม่ต้องห่วงเรื่องการเอาตัวรอดของเขา
หลังจากใช้เวลาร่วมกันในช่วงนี้ ฉินเหยาพบว่า แม้หลิวจี้จะเป็นคนขี้เกียจและเห็นแก่กิน แต่เขาก็ฉลาดและรู้จักปรับตัวตามสถานการณ์
ในอดีตไม่มีใครควบคุมเขาได้ เขาทำงานแบบสามวันหาปลาสองวันตากแห แต่ฉินเหยาผ่านประสบการณ์สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่โหดหินมาแล้ว
นางไม่ได้คาดหวังอะไรสูงนักสำหรับหลิวจี้ แค่สอบได้ระดับจวี่เหรินก็พอ
หรืออย่างน้อยที่สุด บังคับเขาให้ตั้งใจเรียน อ่านหนังสือแบบสุดชีวิต สอบเป็นซิ่วไฉก็น่าจะพอได้กระมัง
การได้ยกเว้นภาษีและแรงงานก็ถือว่าเป็นการทำประโยชน์ให้ครอบครัว
บวกกับความหน้าด้านและหน้าตาที่ดูดีของเขา หากส่งเขาไปเข้าสังคมอาจจะได้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงก็ได้
หากเขาสามารถทำงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างตำแหน่งเสมียนในอำเภอได้ก็นับว่าเป็นการก้าวข้ามชนชั้นแล้ว
การมาที่จวนติงครั้งนี้ ทำให้ฉินเหยามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า หากต้องการชีวิตที่ดีกว่าก็ต้องเดินตามกฎของสังคมนี้
ตราบใดที่มีชื่อเสียงก็จะสามารถใช้ชีวิตแบบนายท่านติงได้ มีคนส่งเงินและที่ดินมาให้ ใช้ชีวิตสุขสบายได้โดยไม่ต้องลำบากลงมือเอง
ชาติที่แล้วนางต้องรบราฆ่าฟัน ชาตินี้ฉินเหยาอยากใช้ชีวิตที่สุขสบายมากขึ้น
เพียงแต่มาตรฐานชีวิตแบบนี้ เมื่อเทียบกับคนธรรมดาในแคว้นเซิ่งแล้ว อาจจะสูงเกินไปนิดหน่อย
ฉินเหยาคิดแผนการทุกอย่างไว้อย่างดีและตั้งใจว่าหลังจากจบงานเป็นผู้คุ้มกันครั้งนี้ นางจะกลับไปบ้านและบังคับให้หลิวจี้เริ่มอ่านหนังสือใหม่อีกครั้ง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังอดถอนหายใจไม่สบอารมณ์ไม่ได้
หากนางสามารถสอบเคอจวี่ได้จะดีเพียงใด ตำแหน่งและผลประโยชน์ต่างๆ ก็จะเป็นของตัวนางเอง!
น่าเสียดาย คงได้แต่นึกเสียดายเท่านั้น
คุณหนูติงเดินวนไปมารอบๆ ลานถึงเจ็ดแปดรอบ พอคิดว่าเวลาน่าจะพอดี นางก็รีบวิ่งเข้ามาในห้องหนังสือด้วยความตื่นเต้น
“ฉินเหนียงจื่อ เจ้าอ่านจบหรือยัง”
ฉินเหยาพยักหน้า วางหนังสือนิยายในมือบนโต๊ะพร้อมเตือนสาวน้อยตรงหน้าว่า “ข้าดูเนื้อหาจบหมดแล้ว ข้าแนะนำว่าท่านควรเผามันเสีย”
ใบหน้าของคุณหนูติงเปลี่ยนสีทันที “ร้ายแรงถึงเพียงนี้เลยหรือ”
ฉินเหยาพยักหน้า หากอยู่ในยุคหลังจากนี้คงไม่มีปัญหา แต่ในยุคที่การปกครองของฮ่องเต้นับเป็นสูงสุดและระบบชนชั้นเข้มงวด แม้แต่คนเล่าเรื่องในโรงน้ำชาก็ยังกล้าพูดถึงแต่เรื่องดีๆ ของฮ่องเต้ ทั้งยังต้องพูดด้วยความระมัดระวังอีกด้วย
และเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ หากถูกตีความผิดว่าเป็นการดูหมิ่นฮ่องเต้ก็จะเป็นเรื่องใหญ่
ดังนั้น คำแนะนำของฉินเหยาคือให้เผามันทิ้งเสีย
“เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ คราวหลังข้าสามารถบอกคุณหนูได้ แต่ข้าคิดว่าควรเผามันก่อนจะดีกว่า กันไว้ดีกว่าแก้ นายท่านและคุณชายต้องเดินทางสายราชการในวันข้างหน้า หนังสือเล่มนี้เก็บไว้ในบ้านอาจทำให้เกิดปัญหาได้”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของฉินเหยา คุณหนูติงก็เริ่มลังเล “ต้องเผาจริงๆ หรือ”
ฉินเหยาเห็นว่านางยังอาลัยอาวรณ์อยู่จึงแนะนำให้คุณหนูติงลองเปิดอ่านดูเอง “ข้าจะออกไปเฝ้าด้านนอกให้”
พูดจบ ฉินเหยาก็ทำท่าจะเดินออกไป แต่คุณหนูติงรีบเรียกนางไว้พลางพูดอย่างหวาดกลัวว่า “ข้าไม่กล้าดู”
หากไม่เคยอ่าน นางก็จะไม่เผลอพูดหรือแสดงออกให้ใครจับผิดได้ในภายหลัง
แต่หากนางอ่านแล้ว นางก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่เผลอหลุดปากออกไปในอนาคต ท่านพ่อของนางเฉลียวฉลาดถึงเพียงนั้น เขาจะต้องจับได้อย่างแน่นอน
“ไม่ต้องกลัวหรอกเจ้าค่ะ ไม่มีเนื้อหาอะไรที่ร้ายแรง เพียงแต่คนอ่านต่างกัน การตีความย่อมต่างกัน”
ฉินเหยายิ้มบางๆ ให้คุณหนูติงก่อนจะเดินออกไปยืนที่ระเบียง
คุณหนูติงลังเลอยู่ไม่ถึงสองวินาที สุดท้ายความอยากรู้อยากเห็นก็มีชัย นางนั่งลงที่โต๊ะแล้วเปิดหนังสือขึ้นอ่าน
เนื้อเรื่องในหนังสือไม่ยาวนัก มีแค่ประมาณสามถึงสี่หมื่นตัวอักษร ฉินเหยาอ่านจบภายในครึ่งชั่วโมง แต่คุณหนูติงกลับอยู่ในห้องหนังสือตลอดทั้งบ่าย กว่าจะออกมาก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว
หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ สิ่งแรกที่นางทำคือวิ่งมาหาฉินเหยา เพื่อให้นางช่วยเผาหนังสือ
แต่ก่อนจะเผา นางยังพูดอย่างอาลัยว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้อ่านหนังสือที่น่าสนใจแบบนี้ หากมันไม่ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับนักปราชญ์ก็คงจะดีไม่น้อย”
ฉินเหยาเข้าใจความรู้สึกของนาง “ปกติตัวเอกของเรื่องมักจะเป็นบุรุษ การที่มีสตรีเป็นตัวเอกนั้นพบเห็นได้ยากจริงๆ”
คุณหนูติงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “แต่ข้าจำเนื้อหาได้หมดแล้วนะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าพี่ชายข้าเคยอ่านเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้หรือเปล่า”
ฉินเหยาคาดเดา “น่าจะยังไม่เคยอ่านนะเจ้าคะ หากอ่านแล้วเขาคงไม่ยอมให้คุณหนูได้อ่านแน่”
ด้วยนิสัยของคุณชายติงหากเขาเห็นว่าเนื้อหาในหนังสือร้อนแรงถึงเพียงนี้ คงเผามันทิ้งทันที
แม้จะอาลัยแค่ไหน แต่สุดท้ายหนังสือก็ต้องถูกเผา
ฉินเหยาเดินไปยังลานว่างหลังจวน จุดไฟเผากองใบไม้ จากนั้นก็โยนหนังสือลงไป ไม่นานมันก็ถูกเผาจนหมด เพื่อไม่ให้มีร่องรอยหลงเหลือ นางจึงเผาซ้ำอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีเศษกระดาษหลงเหลืออยู่อีก
หลังจากนั้นนางก็ปัดมือ เตรียมตัวกลับไปพักผ่อนในจวน
ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ฉินเหยาเดินเข้าทางประตูข้าง จางปามาเปิดประตูให้ พอเห็นว่านางเข้ามาแล้ว เขาก็ปิดประตูใส่กลอนและกลับไปพักที่ห้องเล็กข้างประตู
ภายในลานเงียบสงัดไร้เสียงใดๆ ไฟในห้องของคุณหนูติงก็ดับหมดแล้ว
นี่นอนเร็วเกินไปหรือเปล่านะ
ฉินเหยาบิดขี้เกียจ ขณะที่นอนอยู่ในห้องเดี่ยวของตนเอง มองแสงจันทร์นวลผ่านหน้าต่างบานเล็ก แต่กลับไม่มีความง่วงเลยสักนิด
รอบๆ จวนติงเป็นผืนนาอันกว้างใหญ่ เสียงกบร้องดังมาเป็นระยะคล้ายเสียงรบกวนเบาๆ ที่ชวนให้ผ่อนคลาย ฉินเหยาหรี่ตาลง เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาบ้างแล้ว
แกร๊ก เสียงเบาๆ ดังมาจากด้านหลังตัวเรือน
ฉินเหยาลืมตาขึ้นทันที นางลุกขึ้นจากเตียงอัตโนมัติ มือคว้าไปที่ดาบยาวบนโต๊ะข้างเตียง
นางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ มีคนอยู่นอกเรือน เสียงนั้นดังกุกกักคล้ายมีคนกำลังพยายามเอาอะไรบางอย่างไปพาดไว้บนกำแพงเรือน
MANGA DISCUSSION