หลังเลิกงาน ติงอู่รีบไปแจ้งพ่อบ้านถึงผลงานของฉินเหยาในวันนี้พร้อมกับจัดการสิ่งที่เขาสัญญากับนางไว้ให้เรียบร้อย
พ่อบ้านมองติงอู่ด้วยความสงสัยอยู่หลายครั้งถึงกล้าเชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง
“วันเดียวสิบหกต้น?”
ติงอู่พยักหน้าแรงๆ “จริงแท้แน่นอน!”
“เก่งกว่าเจ้าหน้าหนวดอีกหรือ”
ติงอู่ตอบ “เก่งกว่าเจ้าหน้าหนวดมากนัก!”
วันนี้เจ้าหน้าหนวดทุ่มสุดตัวแต่ก็ยังตัดได้ทั้งหมดแค่หกต้น แถมยังไม่ได้ลิดกิ่งไม้ซึ่งเทียบไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยวเดียวของฉินเหนียงจื่อ
พ่อบ้านสูดหายใจเข้าลึกแล้วสั่งให้ติงอู่ไปแจ้งแม่ครัวที่ห้องครัวว่าพรุ่งนี้เช้าให้เตรียมซาลาเปาไส้เนื้อสดใหม่สำหรับฉินเหยา ให้นางกินให้พอ!
ติงอู่ตอบรับเสียงดัง “ได้เลย ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
พ่อบ้านคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง ก่อนเรียบเรียงคำพูดและเดินไปยังห้องหนังสือที่อยู่เรือนหลัง
นายท่านติงสวมชุดตัวยาวแขนกว้างแบบนักปราชญ์กำลังสอนบุตรชายบุตรสาวคัดลอกตัวอักษรอยู่ พ่อบ้านให้คนรับใช้เข้าไปแจ้ง ส่วนตัวเขายืนรออยู่ด้านนอกประตู
ไม่นาน นายท่านติงก็เดินออกมาเพื่อไม่ให้รบกวนบุตรชายบุตรสาว จากนั้นก็นั่งลงที่โต๊ะหินในลานบ้านพลางถามพ่อบ้านว่ามีเรื่องอะไร
พ่อบ้านเล่าถึงสิ่งที่ติงอู่บอกกับเขาและพูดถึงเรื่องการเตรียมอาหารเพิ่มให้ฉินเหยา
ฮูหยินติงเสียชีวิตจากอาการป่วยเมื่อสองปีก่อน คุณหนูยังเด็กมาก ดังนั้นเรื่องใหญ่เล็กในจวนทั้งหมดจึงอยู่ในความดูแลของคหบดีติงเพียงคนเดียว
แม้พ่อบ้านจะสั่งให้ครัวเตรียมอาหารเพิ่มไปแล้ว แต่ก็ยังคงต้องแจ้งให้นายท่านทราบเพื่อความเหมาะสม
คหบดีติงเคยเป็นจวี่เหริน (ผู้สอบผ่านระดับสูง) ในราชวงศ์ก่อน ปัจจุบันราชวงศ์ใหม่ยังคงสืบทอดระบบการสอบคัดเลือกเคอจวี่จากราชวงศ์ก่อน พร้อมปรับปรุงให้มีความเป็นธรรมและเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยยอมรับสถานะของผู้สอบผ่านจากราชวงศ์เดิม
ในตอนนี้ราชวงศ์ใหม่อยู่ในช่วงฟื้นฟูประเทศอย่างเต็มที่ หลังจากที่จักรพรรดิและจักรพรรดินีปรึกษาหารือกันจึงได้ตัดสินใจเพิ่มการสอบเอินเคอ[1]ปีละหนึ่งครั้ง
โอกาสดีเช่นนี้ คหบดีติงจึงอยากลองสอบดูอีกครั้ง ขณะเดียวกันยังอยากให้ติงซื่อบุตรชายที่เพิ่งอายุครบสิบสี่ปีของตนใช้โอกาสนี้ในการสอบหลายๆ ครั้งหน่อยเพื่อสั่งสมประสบการณ์
ติงซื่อเพิ่งสอบผ่านการสอบเซี่ยนซื่อ[2]ในปีนี้ เขาได้รับสิทธิ์ไปเข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางและจะต้องไปสอบในระดับฝู่ซื่อที่เมืองใหญ่ในเดือนห้า
เมื่อลองคำนวณเวลา เหลืออีกเพียงครึ่งเดือนก็ต้องออกเดินทางแล้ว
ส่วนเขาเองก็วางแผนว่าจะพาบุตรชายไปสอบฝู่ซื่อในเดือนห้าก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อไปยังเมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อ[3]
ยังไม่นับเรื่องที่เขาต้องเดินทางไปเมืองหลวง เพียงแค่การที่บุตรชายไปสอบเป็นครั้งแรก เขาก็ต้องไปด้วยอย่างแน่นอน
ในช่วงเวลานี้ บ้านไม่มีนายหญิงคอยดูแลเหลือเพียงบุตรสาววัยสิบสองปีอยู่บ้านเพียงลำพัง จะอย่างไรเขาก็ไม่อาจวางใจได้
ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาโจรในเขตอำเภอไคหยางยังไม่หมดไป แม้ว่าจะมีตระกูลติงอยู่ในพื้นที่นี้ก็ยังน่ากังวล
แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมาหนึ่งในหัวหน้าโจรถูกผู้กล้าไม่ประสงค์ออกนามยิงธนูสังหาร โจรกลุ่มนี้คงจะสงบลงบ้างไม่น้อย
เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ คหบดีติงก็รู้สึกหนักใจมาก เพียงแต่ไม่เคยแสดงออกให้บุตรชายบุตรสาวเห็น
พ่อบ้านซึ่งทำงานในจวนมานานย่อมรู้ดีว่านายท่านมีเรื่องกลุ้มใจ
เขาจึงเจาะจงมาพูดถึงเรื่องของฉินเหยาพร้อมเสนอว่า “นายท่าน หลังจากงานตัดไม้จบลงแล้ว เหตุใดจึงไม่ให้ฉินเหนียงจื่ออยู่เป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวของคุณหนูเล่าขอรับ”
ตอนนี้เขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่า การที่ฉินเหยาเป็นสตรีช่างเป็นเรื่องดีมากจริงๆ
หากเป็นบุรุษ เขาคงไม่กล้าปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ข้างกายคุณหนูของตนแน่
คหบดีติงไม่ได้แปลกใจกับข้อเสนอของพ่อบ้าน เพราะเขาเองก็ใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่แล้ว
“ข้ากับซื่อเอ๋อร์เดินทางคราวนี้ อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าการสอบฝู่ซื่อประกาศผลถึงจะกลับมา หนึ่งเดือนเต็ม นางอาจไม่เต็มใจอยู่”
พ่อบ้านตอบ “เรื่องนี้จะยากอะไรเล่าขอรับ ให้เงินนางเพิ่มอีกสักหน่อย ยังต้องกลัวว่าชาวบ้านธรรมดาเช่นนางจะไม่ยอมหรือ”
“นี่คือตำแหน่งผู้คุ้มกันส่วนตัวของคุณหนูนายท่านจวี่เหรินเชียวนะขอรับ โอกาสดีเช่นนี้ใครๆ อยากได้ยังไม่ได้เลย หากมอบตำแหน่งนี้ให้นาง นางจะต้องยินดีมากแน่นอน”
คหบดีติงยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้พ่อบ้านหยุดพูด สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “เหล่าอวี๋ ฉินเหนียงจื่อผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา วิธีที่เจ้าพูดมานั้นอาจใช้ได้ผลกับคนทั่วไป แต่สำหรับนางน่ะใช้ไม่ได้หรอก”
พ่อบ้านอวี๋รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หรือว่านางไม่ใช่คนธรรมดาหรือ
แต่เขาเองก็รู้ว่าคำพูดก่อนหน้านี้ไม่ถูกใจนายท่านนักจึงลองเอ่ยหยั่งเชิงว่า “ขอนายท่านโปรดชี้แนะ”
ภาพเหตุการณ์วันก่อนตอนที่ได้พบกับฉินเหยาครั้งแรกผุดขึ้นในสมองของคหบดีติง
“เหล่าอวี๋ เจ้าเคยเห็นสายตานางมีความหวาดกลัว ประจบประแจงหรือเอาอกเอาใจบ้างหรือไม่”
ไม่รอให้พ่อบ้านตอบ เขาก็เอ่ยต่อว่า “นางไม่เคยเห็นนายท่านเช่นข้าอยู่ในสายตาเลย”
“หมู่บ้านตระกูลหลิวนั่นไม่มีทางมีคนเช่นนี้ได้ ข้าได้ยินมาว่านางลี้ภัยมาจากต่างถิ่น คิดว่าในอดีต ก่อนที่นางจะบ้านแตกสาแหรกขาด นางคงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป”
“คนพิเศษมักมีนิสัยประหลาด หากพูดเรื่องเงินกับนางจะแสดงให้เห็นถึงความหยาบกระด้างและต้องทำให้นางโกรธแน่นอน”
พ่อบ้านเองก็หนักใจ “ให้เงินไม่ได้ นางเองก็ไม่เกรงกลัวอำนาจของท่าน อย่างนั้นจะทำอย่างไรดี”
คหบดีติงแหงนหน้ามองฟ้า “งั้นลองพูดเรื่องเงินกับนางดูก่อนเถอะ”
พ่อบ้าน “…” เรื่องนี้ยากจะตัดสินจริงๆ!
วันถัดมา
ตอนเช้า ฉินเหยามาตอกบัตรเข้างานที่จวนติงตรงเวลา
แม่ครัวยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน โบกมือเรียกนางพร้อมชี้ไปยังห้องข้าง
บนโต๊ะเตี้ยด้านในมีซึ้งสองชั้นที่ผุดไอร้อนลอยกรุ่น ส่งกลิ่นหอมหวนดึงดูดใจคนออกมาสายหนึ่ง
ฉินเหยาชี้นิ้วที่ตนเอง แม่ครัวยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าเอ่ย “รีบเข้าไปกินเถอะ ซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่แปดลูก หากเย็นก็จะไม่อร่อยแล้ว”
พูดจบแม้แต่ตัวแม่ครัวเองยังรู้สึกอิจฉา
เมื่อวานติงอู่บอกว่าให้ทำซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่แค่สี่ลูกก็พอ แต่ไม่คิดว่าตอนเช้าพ่อบ้านจะมาสั่งเพิ่มอีกสี่ลูก เพราะกลัวว่าฉินเหนียงจื่อจะกินไม่อิ่ม
กินไม่อิ่ม?
ซาลาเปาลูกใหญ่แปดลูก คนสี่คนกินยังอิ่มเลย นางคนเดียวจะกินไม่อิ่มได้อย่างไร!
แม่ครัวบ่นในใจ แต่ก็ยังทำซาลาเปาไส้เนื้อออกมาตามที่ได้รับคำสั่ง
ฉินเหยาเปิดฝาซึ้งนึ่งขึ้นดู ซาลาเปาลูกใหญ่สีขาวอวบสี่ลูกปรากฏขึ้นตรงหน้า แววตาของนางฉายประกายตื่นเต้นดีใจ แทบจะอุทาน ว้าว ออกมาดังๆ เหมือนซื่อเหนียง
ซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่! หลังจากทะลุมิติมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็น!
ฉินเหยากัดซาลาเปาคำโต กลิ่นหอมของเนื้อผสมกับแป้งนุ่มๆ ระเบิดรสชาติบนลิ้น ทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกห้อมล้อมด้วยความสุข งดงามจนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
กินไปสามลูกแล้ว ฉินเหยาถึงเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้
นางหยิบซาลาเปาที่เหลืออีกลูกหนึ่งหันไปส่งให้ซุ่นจื่อที่ยืนดื่มโจ๊กข้าวฟ่างน้ำลายสออยู่ตรงประตู
“พี่สะใภ้ ให้ข้าหรือ” ซุ่นจื่อถามด้วยความดีใจ
ฉินเหยาพยักหน้า ซุ่นจื่อจึงรับซาลาเปามาด้วยความดีใจ หัวเราะซื่อๆ แล้วเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ ตอนอยู่กับพี่สาม ข้ายังไม่ได้กินแม้แต่หมั่นโถวแป้งขาว นี่เพิ่งอยู่กับพี่สะใภ้แค่สองวันก็ได้กินซาลาเปาไส้เนื้อแล้ว”
ความหมายในคำพูดนั้นคือ ฉินเหยาเก่งกว่าหลิวจี้
ฉินเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย “รีบกินเสีย กินเสร็จแล้วไปทำงาน วันนี้ขยันทำงาน พรุ่งนี้ก็จะมีซาลาเปาไส้เนื้ออีก”
แม่ครัวกระตุกมุมปาก ซาลาเปาไส้เนื้อนี่ไม่ได้มีทุกวันนะ หรือว่านางจะเข้าใจอะไรผิดไป?
แต่พ่อบ้านส่งสายตาสื่อว่า ปล่อยให้ความเข้าใจผิดนี้ดำเนินต่อไป!
แม่ครัวพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ เมื่อเห็นฉินเหยาไม่ได้กินซาลาเปาที่เหลือในซึ้งจึงถามว่านางต้องการจะนำกลับไปด้วยหรือไม่
ฉินเหยากำลังคิดเช่นนั้นอยู่พอดีจึงขอให้แม่ครัวช่วยห่อให้ นางตั้งใจจะนำกลับไปให้ครอบครัวลองชิมหลังเลิกงาน
แม่ครัวเหลือบมองใบหน้าเกร็งกระตุกของพ่อบ้านก่อนจะรับคำ ตอบรับว่าจะช่วยเก็บไว้ให้
ตอนเย็น ฉินเหยานำซาลาเปาไส้เนื้อกลับบ้าน ทำเอาต้าหลางและพี่น้องทั้งสี่ดีใจเจียนคลั่ง
“ซาลาเปาไส้เนื้อใหญ่ได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ!” ซานหลางใช้มือเล็กๆ วัดขนาด มันใหญ่เท่ากำปั้นสองกำปั้นของเขาเลย
ซื่อเหนียงเขย่งเท้าเพื่อมองไปที่เตาพลางกลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “หอมจังเลย~”
เอ้อร์หลางเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ “ท่านพ่อ ซาลาเปาอุ่นเสร็จหรือยัง”
ต้าหลางพยายามละสายตาออกจากซาลาเปาในหม้อ ก่อนเดินไปหาฉินเหยาที่กำลังล้างหน้า
“ท่านน้า วันนี้ท่านพ่อถอนวัชพืชในสวนผักเสร็จหมดแล้ว ทั้งยังถางที่ดินว่างด้านหลังบ้านออกอีกสามส่วน เตรียมจะปลูกผักเพิ่ม”
เพราะอย่างนั้นให้ซาลาเปาเขาส่วนหนึ่งด้วยได้ไหม ต้าหลางมองนางด้วยสายตาคาดหวังเช่นนั้น
ฉินเหยาลูบหัวหนุ่มน้อยก่อนหันไปสั่งในครัวว่า “ซาลาเปาไส้เนื้อสี่ลูกแบ่งออกเป็นหกส่วน คนละหนึ่งส่วน”
หลิวจี้ดีใจลิงโลด “เมียจ๋าวางใจได้ ข้าจะแบ่งให้เท่ากันไม่มีขาดแน่นอน!”
ต้าหลางยกมือจัดผมที่ถูกขยี้ของตนเอง หน้าแดงก่อนวิ่งเข้าไปในครัว
เมื่อหันกลับมาก็เห็นฉินเหยากำลังเดินเข้ามาด้วย นัยน์ตากลมโตของนางเปล่งประกายวิบวับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน
[1] การสอบเอินเคอ คือการสอบที่ฮ่องเต้ทรงพิจารณาจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษ
[2] เซี่ยนซื่อ (县试) หรือการสอบระดับเขต เป็นการสอบสนามแรกของการสอบถงซื่อ (童试) โดยการสอบถงซื่อจะแบ่งออกเป็นสามระดับ ได้แก่ เซี่ยนซื่อ (การสอบระดับเขต) ฝู่ซื่อ (การสอบระดับจังหวัด) ย่วนซื่อ (การสอบระดับวิทยาลัย) เมื่อสอบผ่านระดับเซี่ยนซื่อแล้วจะไปสอบในระดับฝู่ซื่อและย่วนซื่อตามลำดับ
[3] ฮุ่ยซื่อ (会试) การสอบระดับเมืองหลวงหรือระดับประเทศ
MANGA DISCUSSION