ฉินเหยาช้อนตาขึ้นมองไปยังพวกต้าหลางพี่น้องพลางถามด้วยความห่วงใยว่าวันนี้พวกเขาอยู่บ้านทำอะไรกันบ้าง การฝึกตอนเช้าและการทบกวนบทเรียนที่ต้องทำเรียบร้อยดีหรือไม่
ประเด็นสำคัญคือ หลิวจี้แอบอู้งานหรือฉวยโอกาสตอนที่นางไม่อยู่บ้านไปทำเรื่องไม่ดีหรือเปล่า
หลิวจี้ไม่คิดว่านางจะยังมีเรี่ยวแรงมาถามเรื่องพวกนี้ได้ นิ้วที่กดไหล่ฉินเหยานั้นสั่นเล็กน้อย
เขารีบขยิบตาส่งสัญญาณให้บุตรชายบุตรสาว
ต้าหลางไม่แม้แต่จะมองเขา ตอบตามความจริงว่า “ท่านน้า วันนี้ท่านพ่อออกไปดูน้ำในนาข้าวทั้งวัน วัชพืชในสวนผักก็ไม่ได้ถอน โรงโม่น้ำเสียเขาก็ไม่ได้ซ่อม อาหารสามมื้อวันนี้เป็นข้ากับเอ้อร์หลางที่ทำเอง”
ด้วยความที่โรงโม่น้ำนั้นใช้กังหันน้ำ บางครั้งน้ำในแม่น้ำจะพัดพาสาหร่ายและสิ่งสกปรกเข้าไปจึงต้องทำความสะอาดทุกสองถึงสามวัน
หากมันติดขัดก็ต้องซ่อมแซม ไม่อย่างนั้นหากมีคนต้องการใช้งานจะไม่สามารถใช้งานได้
ตอนนี้โรงโม่น้ำถือเป็นรายได้ที่มั่นคงทางหนึ่ง สามารถคืนทุนได้ในห้าเดือน หลังจากคืนทุนก็จะเป็นกำไรล้วนๆ
ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงสามเดือนก็จะสามารถคืนทุนได้ ฐานลูกค้าปัจจุบันจึงต้องรักษาไว้ให้ดี
ดังนั้นหากกังหันน้ำมีปัญหา ฉินเหยามักจะรีบแก้ไขทันทีเพราะชาวบ้านเห็นว่านางจัดการได้รวดเร็วจึงกลับมาใช้บริการเรื่อยๆ
แต่วันนี้หลิวจี้กลับกล้าปล่อยให้โรงโม่น้ำหยุดทำการ นี่เขาเบื่อชีวิตแล้วหรืออย่างไร
“หยุดไปนานแค่ไหนแล้ว?” ฉินเหยาถามพลางขมวดคิ้ว
ต้าหลางตอบว่าหยุดตั้งแต่ตอนเที่ยงจนถึงตอนนี้
ไม่รู้ว่ามือที่เคยนวดอยู่บนไหล่ถอนออกไปตั้งแต่เมื่อไร กระทั่งตัวคนก็ยังถอยออกไปยืนอยู่นอกประตูห้องโถง
“หลิวจี้ เจ้าจะไปไหน?!” ฉินเหยาจ้องมองเขาด้วยสายตาคมกริบพร้อมตวาดถาม
หลิวจี้กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ยิ้มแหยๆ เอ่ยว่า “เมียจ๋า ข้าจะไปซ่อมกังหันน้ำ”
สายตาที่เต็มไปด้วยไอสังหารพวยพุ่งของฉินเหยาจึงอ่อนลง ปล่อยให้เขาหยิบเครื่องมือซ่อมแซมแล้วรีบออกจากบ้านราวกับหนีตาย
เมื่อหลิวจี้ไม่อยู่ในบ้านให้เกะกะสายตา สีหน้าของฉินเหยาก็อ่อนโยนลง นางจึงกำชับต้าหลางและพวกพี่น้องว่า
“ท่านพ่อของพวกเจ้าก็เหมือนคางคกริมทาง ต้องจิ้มเขาถึงจะขยับ หากอยากให้เขาดีขึ้นจำเป็นต้องกระตุ้นเขาตลอดเวลา หากพวกเจ้าเห็นว่าเขาไม่ขยับก็ต้องเตือนเขาทันที”
“ช่วงนี้ข้าจะยุ่งกับการทำงานหาเงินในตัวเมือง เรื่องในบ้านที่ต้องเป็นหน้าที่ของเขาพวกเจ้าก็อย่าช่วยเขาทำ หากเขาไม่เชื่อฟังพวกเจ้าค่อยบอกข้า ข้าจะจัดการเขาเอง”
พี่น้องทั้งสี่มองหน้ากันด้วยความยินดี ก่อนตอบรับอย่างพร้อมเพรียง!
เมื่อมีฉินเหยาเป็นที่พึ่ง พี่น้องทั้งสี่ก็มั่นใจเต็มเปี่ยม คราวนี้คงต้องมาดูกันว่าท่านพ่อจะยังกล้าดุด่าพวกเขาอีกหรือไม่
ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้า ฉินเหยาทบทวนบทเรียนของพี่น้องทั้งสี่ในวันนี้เสร็จแล้วก็กลับเข้าห้องไปนอนพัก
หลิวจี้กลับมาถึงบ้านตอนราวๆ ห้าทุ่มกว่า เสียงครืดคราดของกังหันน้ำที่หมุนอยู่ริมน้ำบรีเวณตีนเขาดังขึ้นอีกครั้ง คาดว่าเขาคงซ่อมกังหันน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินเหยาจึงวางใจและหลับสนิทไป
เมื่อตื่นขึ้นมาในเวลาเกือบตีสี่ นอกหน้าต่างยังคงมืดสนิท
ฉินเหยาแต่งตัวเรียบร้อยก่อนออกจากห้องมาที่ห้องโถง พบว่ามีกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำต้มสุกเต็มกระบอกวางอยู่บนโต๊ะ ปลายด้านบนถูกแกะเป็นร่องเล็กๆ ด้วยมีดพร้อมสอดเชือกไว้เพื่อความสะดวกในการพกพา
ฉินเหยาใช้นิ้วลูบร่องเชือกที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งแกะขึ้นใหม่ด้วยความประหลาดใจพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย
เจ้าหลิวจี้ผู้นี้ ความคิดอ่านกลับละเอียดอ่อนได้ถึงเพียงนี้เชียว
เป็นไปได้มากกว่าเพราะเขาทำความผิดแล้วกลัวว่านางจะคิดบัญชีกับเขาจึงพยายามเอาใจนาง
“ประจบประแจง!”
ฉินเหยาแค่นเสียงต่ำ สะพายกระบอกน้ำไม้ไผ่ขึ้นไหล่แล้วเดินออกจากบ้านไปอย่างเงียบเชียบ จุดคบเพลิงมุ่งหน้าไปทำงาน
ออกจากบ้านตอนตีสี่ครึ่ง ใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมงครึ่ง ถึงจวนคหบดีติงตอนเจ็ดโมงตรง
ในฐานะคนทำงานกินค่าแรง ไม่มีทางที่จะทำงานเกินเวลาให้เจ้านายแม้แต่วินาทีเดียว
คนอื่นๆ ยังมาสายไปสองสามนาที เพราะแคว้นเซิ่งไม่มีนาฬิกาที่จับเวลาได้ถึงนาทีหรือวินาทีจึงไม่มีแนวคิดเรื่องการเข้างานแบบเป๊ะๆ ขอแค่มาในช่วงเวลาที่กำหนดก็ถือว่าตรงเวลาแล้ว
อาหารเช้าเป็นโจ๊กข้าวฟ่างคนละชาม ตอนที่ไปรับอาหารเช้า ฉินเหยาตั้งใจขอเพิ่มอีกชามหนึ่ง แต่แม่ครัวที่แจกอาหารกลอกตาใส่นางและไม่ยอมให้
ฉินเหยามองซุ่นจื่อและคนอื่นๆ ก่อนถอนหายใจเบาๆ ไม่มีทางเลือก เพื่อให้ตัวเองอิ่มท้อง วันนี้นางต้องลงแรงให้เต็มที่
หากเมื่อวานเป็นแค่การเรียนรู้ทักษะ เช่นนั้นวันนี้ฉินเหยาก็เชี่ยวชาญทักษะการตัดไม้แล้ว หากนางเอาจริงขึ้นมาแม้แต่ตัวนางเองก็ยังต้องนึกกลัว
ในตอนนี้ ซุ่นจื่อและเจ้าหน้าหนวดรวมถึงคนอื่นๆ ยังไม่รู้เรื่องนี้
เนื่องจากเมื่อวานเจ้าหน้าหนวดตัดไม้ได้มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง ตอนเช้าเขาจึงได้ซาลาเปาเพิ่มอีกหนึ่งลูก เป็นซาลาเปาที่คุณชายและคุณหนูของตระกูลติงกินเหลือจึงนำมาแจกจ่ายให้พวกบ่าวรับใช้
แม้จะเป็นของเหลือ แต่ก็เป็นซาลาเปาไส้เนื้อ อีกทั้งซาลาเปาพวกนี้ยังไม่ถูกแตะต้องเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นเจ้าหน้าหนวดกินซาลาเปาหมดในสองคำใหญ่ ซุ่นจื่อก็กลืนน้ำลายด้วยความอิจฉา ก่อนเดินไปที่โรงเก็บเครื่องมือเพื่อรับอุปกรณ์และขึ้นเขาไปพร้อมฉินเหยา
วันนี้ซุ่นจื่อยังคงใช้เลื่อย ส่วนฉินเหยายังเลือกใช้ขวาน อุปกรณ์ที่คุ้นเคยมักใช้งานได้ดีกว่า
เมื่อถึงที่หมาย ทั้งสองก็แยกย้ายกัน ฉินเหยาเดินวนอยู่ในป่าสักพัก เลือกต้นไม้ที่ตรงที่สุด ก่อนเริ่มลงมือ!
เสียงตัดไม้ดังปังๆ สะท้อนก้องในป่าเป็นระยะ ทุกๆ ประมาณสองเค่อจะได้ยินเสียงดัง โครม ของต้นไม้ล้มลงจากที่สูง
ติงอู่ได้ยินเสียงนี้หลายครั้งติดๆ กัน ตอนแรกคิดว่าคนงานมารวมกลุ่มกันตัดไม้เป็นชุดๆ จึงนั่งพักผ่อนอยู่ในร่มโดยไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่งใกล้เที่ยง ฉินเหยาเริ่มผลักไม้ทีละต้นลงไปตามลาดเขา ติงอู่กวาดตาผ่านๆ ก็เห็นไม้ห้าหรือหกต้นกลิ้งลงไป เขาจึงลุกพรวดขึ้นมาทันที
“ฉินเหยา เจ้าตัดคนเดียวหรือ” เขาถามด้วยความตกใจ
ฉินเหยาผลักต้นไม้ต้นที่แปดลงไป ก่อนแบกขวานเดินลงมา นางพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มหยิบมีดพร้ามาจากกล่องเครื่องมือเพื่อนำมาตัดกิ่งของต้นไม้ทั้งแปดต้น
นางทำงานอย่างรวดเร็ว เสียง แกร๊กๆๆ ดังราวกับกำลังขูดเกล็ดปลา ติงอู่เบิกตากว้างมองอยู่นานครึ่งนาทีกว่าจะได้สติกลับมา
“เจ้าคนเดียว ตัดไม้ได้แปดต้นในครึ่งเช้า?” เขายืนยันอีกครั้งด้วยความไม่อยากเชื่อ
ฉินเหยาพยักหน้า หลังจัดการกิ่งไม้ต้นสุดท้ายเสร็จ บ่าวรับใช้จากจวนติงก็นำอาหารกลางวันมาส่ง นางกล่าวว่า “วันนี้มื้อกลางวันข้าอยากกินให้อิ่มท้อง ได้หรือไม่”
ติงอู่พยักหน้ารัวๆ ตอบว่า “ได้สิ! หากตอนบ่ายเจ้าทำงานได้เร็วขนาดนี้ พรุ่งนี้เช้าจะให้เจ้ากินซาลาเปาไส้เนื้อให้พอใจ!”
“ตกลง” ฉินเหยายิ้ม วางเครื่องมือลง ตบมือปัดฝุ่นแล้วรอรับอาหาร
พวกบ่าวรับใช้เดิมทีตั้งใจจะกินอาหารกลางวันร่วมกับพวกเขาในป่า แต่เพื่อให้ฉินเหยาได้กินอิ่ม พวกเขาจึงสละอาหารให้นางแล้วค่อยกลับไปกินที่จวนแทน
ในลานโล่งที่เต็มไปด้วยกิ่งไม้ ทุกคนมองดูฉินเหยากินอาหารในปริมาณที่เทียบเท่ากับคนห้าคนเข้าไป พลางอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
เจ้าหน้าหนวดใช้ข้อศอกสะกิดซุ่นจื่อแล้วพูดว่า “นี่ไม่ใช่พี่สะใภ้เจ้าหรือ เจ้าจะตกใจตามพวกเราทำไม เพิ่งรู้วันนี้หรือว่านางกินเก่งถึงเพียงนี้”
ซุ่นจื่อพยักหน้า ไม่ผิด เขาก็เพิ่งรู้วันนี้เองว่าภรรยาของพี่สามกินเก่งขนาดนี้!
ตอนบ่าย เมื่อเริ่มงาน ทุกคนที่โดนฉินเหยากระตุ้นก็ลงแรงกันอย่างเต็มที่ เจ้าหน้าหนวดตัดไม้ได้ถึงสี่ต้นในช่วงบ่าย!
แม้แต่ซุ่นจื่อเองก็เลื่อยไม้ไปได้สองต้นในช่วงบ่าย รวมกับตอนเช้า วันนี้เขาตัดไม้ได้ทั้งหมดสามต้น
เขารู้สึกพอใจกับผลงานนี้มาก เพราะเมื่อวานเขาตัดไม้ได้แค่ต้นเดียวเท่านั้น
แต่เมื่อหันไปมองเห็นกองไม้ตรงหน้าฉินเหยาอีกแปดต้น รวมกับเมื่อตอนเช้า นางคนเดียวตัดไม้ได้ถึงสิบหกต้นในวันเดียว!
“นี่ยังเป็นคนอยู่ใช่ไหม” เจ้าหน้าหนวดคำรามด้วยความไม่ยินยอม
สายตาที่ติงอู่มองฉินเหยานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เขาเรียกนางอย่างสุภาพว่าฉินเหนียงจื่อ
MANGA DISCUSSION