“ข้าบอกแล้วว่า ต้องมีลำ-ดับ-การ-ยืน!”
ฉินเหยาเอ่ยทีละคำจนจบ เงาดำสามร่างก็ค่อยๆ ลอยผ่านศีรษะทุกคนแล้วพุ่งโค้งออกไปเป็นเส้นพาราโบลาอย่างสวยงาม
ตึง ตึง ตึง สามเสียงดังขึ้นเบาๆ จากทางด้านหลัง ซุ่นจื่อที่เพิ่งจะยกหมัดขึ้นตกใจจนหันหลังกลับไปดู
เขาเห็นเพียงคนสามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเมื่อครู่นี้ ตอนนี้ล้มอยู่ที่ท้ายแถว ราวกับยังไม่ได้สติกลับมาจึงนอนมึนงงอยู่ที่พื้น
หลังจากที่บริเวณรอบๆ เงียบไปราวสามวินาที เสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้น สามคนนั้นขดร่างอยู่กับพื้น รู้สึกเหมือนอวัยวะภายในย้ายที่อย่างนั้น เจ็บปวดยิ่งนัก
ซุ่นจื่อหันไปมองด้านหน้าแล้วหันกลับไปมองคนสามคนที่นอนคร่ำครวญอยู่บนพื้น สุดท้ายก็หันมามองฉินเหยาที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ รู้สึกเหมือนลำคอโดนบางอย่างอุดเอาไว้ อยากพูดแต่ก็พูดไม่ได้ อัดอั้นเสียจนหน้าแดงไปหมด
นางถึงกับไม่หันไปมองสามคนที่ล้มอยู่ที่พื้นแม้แต่นิดเดียว คนที่ยืนต่อแถวอยู่รอบๆ ก็หันมองไปรอบๆ อย่างงุนงง ไม่รู้เลยว่าสามคนนั้นลอยมาได้อย่างไร
เพราะนางรวดเร็วเกินไป ทำให้ปฏิกิริยาของคนธรรมดาตามไม่ทัน
มีเพียงทั้งสามคนที่ล้มด้านหลังเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาอดทนต่อความเจ็บปวดและประคองกันลุกขึ้นยืน ชี้ไปยังสตรีที่ยืนหลังตรงเด่นอยู่ด้านหน้า อยากจะคำรามออกมา
นางหันศีรษะไปด้วยสีหน้าเย็นชาเรียบเฉย นัยน์ตาสีดำเสมองไปที่พื้น ไม่แม้แต่จะมองพวกเขาเพียงมองดินที่อยู่บนพื้น
ทั้งสามคนรู้สึกถึงความเย็นจากฝ่าเท้าพุ่งขึ้นศีรษะอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเขาสะท้านไปพร้อมกัน
ลมภูเขาพัดโชยมา ราวกับไอสังหารที่ก่อรูปขึ้นเสียดแทงเข้าไปในใจของทั้งสามคนอย่างรุนแรงตามสายลมหอบนั้น ทำให้พวกเขาหายใจไม่ออก
ลมพัดชายเสื้อสีครามเรียบง่ายของนางและหางม้าที่เกล้าสูงให้เริงระบำอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางสายลมราวกับจะกลายเป็นปีศาจร้ายจากนรกที่ยกดาบยาวขึ้นและฟันลงมา
บรรยากาศบีบคั้นและน่ากลัวนี้โจมตีเข้ามาฉับพลัน ทำลายแนวป้องกันทางจิตใจของทั้งสามคนในพริบตา
พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรอีก แม้แต่จะมองก็ยังไม่กล้า พากันล้มลุกคลุกคลานหนีไป นึกเพียงอยากหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
เห็นเพียงคนสามคนที่เคยดูมั่นอกมั่นใจเมื่อครู่วิ่งเตลิดเข้าป่าไปเหมือนคนโดนของอย่างนั้น
ตอนนี้เองชายฉกรรจ์ที่มายังบ้านคหบดีติงเพื่อสมัครงานถึงได้ตระหนักว่า ทั้งสามคนถูกสตรีด้านหน้าโยนออกมา
“พี่…พี่สะใภ้ท่าน…” ซุ่นจื่อเปิดปากพูด แต่กลับติดขัดด้วยความตื่นเต้น
ฉินเหยาหันมายิ้มเล็กน้อยเพื่อปลอบใจเขาแล้วเงยหน้ามองไปยังคนสิบกว่าคนด้านหลัง “ข้าเชื่อว่า ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรี หากมีความสามารถ ทุกคนก็สามารถยืนร่วมกันเพื่อแข่งขันกันอย่างเป็นธรรมได้”
“ข้าตื่นแต่เช้ามากๆ เพื่อมาสมัครงาน ดังนั้นเลยได้ต่อแถวเป็นคนแรก ส่วนคนที่มาทีหลังก็ต้องยอมรับกฏนี้และยืนตามลำดับ นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมาก”
คำพูดนี้เป็นการอธิบายและเป็นการเตือน หากมีใครคิดจะแซงแถวของนาง ผลลัพธ์ก็จะเหมือนกับสามคนนั้น!
คนทั้งหมดพยักหน้ายอมรับอย่างพร้อมเพรียงทันที
โชคดีที่คนที่มาทีหลังไม่เหมือนสามคนแรกที่ทำตัวอวดดี
เวลาใกล้เข้ามาแล้ว กลุ่มคนที่เดิมบางตาเริ่มหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่า ฉินเหยาและซุ่นจื่อยังคงอยู่ในอันดับแรกของแถว
เมื่อฟ้าปรากฏสีแดงเรืองรอง ประตูใหญ่บ้านคหบดีติงก็เปิดออกในที่สุด
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมและหมวกสี่เหลี่ยมพร้อมกับชายที่ดูเหมือนผู้ดูแลพากันเดินออกมา
เขาถามขึ้นทันทีว่า “เมื่อครู่ใครมาส่งเสียงดังอยู่หน้าบ้านข้า”
ซุ่นจื่อกระซิบกับฉินเหยา “นี่คือคหบดีติง”
ฉินเหยาพยักหน้ารับรู้ เดินออกมาพยักหน้าให้คหบดีติงเป็นการยอมรับ
คหบดีติงขมวดคิ้วมองพิจารณานาง “เป็นเจ้าหรือ”
ผู้ดูแลข้างๆ เองก็แปลกใจมากและเอ่ยเตือนนาง “ที่บ้านท่านคหบดีเปิดรับคนงานชั่วคราวที่ต้องทำงานหนัก ไม่ใช่แม่ครัวนะ”
ฉินเหยาตอบว่า “ข้าก็มาสมัครงานชั่วคราวนั่นแหละ แล้วก็เรื่องที่ข้าเป็นสตรีก็ชัดเจนอยู่แล้ว เหตุใดต้องยืนยันซ้ำด้วย”
นางไม่ใช่บุรุษปลอมตัวเป็นสตรีเสียหน่อย แล้วเหตุใดต้องถามด้วยความตกตะลึงซ้ำไปซ้ำมาด้วย นี่มันยั่วโทสะนางชัดๆ
ผู้ดูแลคิดไม่ถึงว่าฉินเหยาไม่โกรธสามคนที่แซงแถว แต่เขาพูดเพียงคำเดียวนางกลับระเบิดออกมาเช่นนี้จึงปิดปากลง มองไปทางนายท่านบ้านตน
คหบดีติงยืนอยู่ด้านในประตูนานแล้ว เขามองดูฉินเหยาผ่านรอยแยกของประตูขณะนางโยนชายสามคนที่แซงแถวบินลอยออกไป
ตอนนั้นคหบดีติงยืนอยู่ด้านหลังประตู ดวงตาของเขาแทบจะหลุดออกจากเบ้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสตรีที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ผู้ดูแลยังพูดว่า หากนางไม่ใช่สตรีก็สามารถรับมาเป็นองครักษ์ส่วนตัวได้
แต่ก็ไม่แน่ว่านางจะยอม
“ข้าต้องการจะสร้างสำนักศึกษาให้กับเหล่าลูกหลานในตระกูล ต้องการช่างตัดไม้สิบคน เพื่อทำการตัดไม้และขนย้าย เจ้ารู้วิธีตัดไม้ไหม” คหบดีติงถามฉินเหยา
การสัมภาษณ์งานเดินมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว หากต้องการรักษางานไว้ แน่นอนต้องบอกว่าทำได้
ฉินเหยาพูดอย่างมั่นใจว่านางทำได้แล้วดึงซุ่นจื่อเข้ามา “เขาชำนาญกว่าข้าเสียอีก เป็นช่างตัดไม้มือดีคนหนึ่ง”
ซุ่นจื่อร้องขอความช่วยเหลือในใจไม่หยุด!
เขาจะรู้วิธีตัดไม้ได้อย่างไร! นั่นไม่ใช่งานที่เบาเลย หากตัดไม่ถูกต้องต้นไม้สามารถล้มทับคนตายได้เลยนะ!
ฉินเหยาส่งสายตาเพื่อให้เขามั่นใจ ซุ่นจื่อจึงกลืนน้ำลายลงคอด้วยความร้อนตัวพลางพยักหน้าตอบรับคหบดีติง
คหบดีติงมองทั้งสองอย่างระมัดระวังแล้วถามหยั่งเชิง “เจ้าสองคนเป็นอะไรกันหรือ”
ฉินเหยาตอบทันที “เขาคือพี่น้องร่วมสาบานของสามีข้า พอดีสามีข้าป่วยกะทันหัน ข้าเลยมาสมัครงานนี้แทนเขา”
เมื่อคหบดีติงได้ยินว่าฉินเหยามีสามี เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาไม่น้อยพลางส่งสัญญาณให้ผู้ดูแลไปลงทะเบียนให้ทั้งสองคน เขาตัดสินใจรับทั้งสองคนเข้าทำงานแล้ว
ซุ่นจื่อดีใจมากโค้งคำนับคหบดีติงอย่างจริงใจแล้วเดินตามผู้ดูแลเข้าไปในเรือนเพื่อทำการลงทะเบียนอย่างง่าย
เพียงแค่จดชื่อและภูมิลำเนา จากนั้นก็ให้ไม้ป้ายกับทั้งสองคนเพื่อใช้เป็นบัตรทำงาน
“งานเริ่มตอนยามเฉิน[1] เลิกงานในยามเซิน[2] ก่อนเริ่มงานต้องมาที่จวนเพื่อลงทะเบียน รับอาหารเช้าแล้วออกเดินทางไปกับหัวหน้าคนงาน กลางวันจะมีคนเอาอาหารมาให้ สองมื้อต่อวัน และจ่ายค่าจ้างสิบเหวิน หากไม่มีปัญหาก็ประทับรอยนิ้วมือลงบนกระดาษ”
ฉินเหยาแปลงคำพูดของผู้ดูแลให้กลายเป็นรูปแบบสมัยใหม่ในหัว
เข้างานตอนเจ็ดโมงเช้า เลิกงานตอนห้าโมงเย็น รวมอาหารเช้าและกลางวันและยังได้รับค่าจ้างสิบเหวินทุกวัน
“พักเที่ยงนานเท่าไหร่หรือ” ฉินเหยาถาม
ผู้ดูแลมองนางอย่างแปลกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนถามเขาว่าพักกลางวันนานแค่ไหน ส่วนใหญ่แล้วคนอื่นๆ ล้วนทำตามที่หัวหน้าคนงานจัดสรร
แต่ก็ยังตอบนาง “พักกลางวันหนึ่งเค่อ[3]”
สิบห้านาทีสำหรับอาหารกลางวัน หากกินช้าหรือไปเข้าห้องน้ำก็เวลาไม่พอ
เวลาทำงานรวมทั้งหมดสิบชั่วโมง ฉินเหยาพับแขนเสื้อและประทับนิ้วลงบนกระดาษ ก็พอไหว
ทั้งสองประทับนิ้วเสร็จแล้วถือป้ายไม้ถอยไปยืนรอที่กลางลาน
ซุ่นจื่อพูดด้วยความตื่นเต้น “วันละสิบเหวิน ทั้งยังมีอาหารสองมื้ออีก!”
เขาดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าพวกเขาไม่รู้วิธีตัดไม้เลยสักนิด
ฉินเหยารับคำเสียงหนึ่ง นางยังคิดว่าบ้านของคหบดีนั้นต้องหรูหราโอ่อ่ามากเสียอีก แต่เมื่อเข้ามาดูแล้วก็เห็นว่าเป็นแค่บ้านธรรมดา ไม่ต่างกับเรือนสี่ประสานสไตล์โบราณที่เมืองหลวงพวกนั้นเท่าไหร่นัก
แต่เมื่อเทียบกับกระท่อมหญ้าคาที่หมู่บ้านแล้ว นี่ถือว่าเป็นบ้านที่หรูหรามากแล้ว
ซุ่นจื่อยังคงตื่นเต้นไปจนถึงตอนที่หัวหน้าคนงานอย่างติงอู่พาทุกคนมาถึงป่าสนและมอบงานให้เขาตัดไม้ ในขณะนั้นเขาจึงตระหนักถึงความกลัวขึ้นมายามจับเลื่อย
[1] ยามเฉิน เวลา 07:00 – 09:00
[2] ยามเซิน เวลา 15:00 – 17:00
[3] หนึ่งเค่อ สิบห้านาที
MANGA DISCUSSION