ตลอดทั้งบ่าย ฉินเหยาไม่ได้หยุดมือเลย นางวุ่นวายทั้งหน้าบ้านหลังบ้านไม่ได้ว่างเว้น
เมื่อตากเครื่องนอนเสร็จ นางก็ถอดแผ่นกระดานรองเตียงและฟางบนเตียงออกมาทั้งหมดแล้วนำไปตากตรงหน้าประตูเรือน
ระหว่างนั้น เมื่อพลิกฟางขึ้นมา ฉินเหยากลับพบรังหนูตายทั้งรัง นับว่าน่าตกตะลึงยิ่งนัก
เมื่อจัดการสิ่งเหล่านี้เสร็จ นางก็ใช้ไม้ไผ่ทำเป็นไม้กวาดเข้าไปกวาดใยแมงมุม เพียงขูดเศษดินก็ร่วงลงมาเป็นสาย ผนังบางลงอย่างเห็นได้ชัด
ผนังคุณภาพเยี่ยงกากเต้าหู้เช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงหิมะตกหนักเลย เพียงฝนลงแรงสักครั้งยังอาจพังครืนได้!
“แต่ก่อนพวกเจ้าใช้ชีวิตแบบไหนกันแน่ นี่มันชีวิตคนหรือ” ฉินเหยาที่โดนเศษดินหล่นใส่จนเปื้อนใบหน้าอีกครั้ง อดไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงเอ่ยวาจาเหน็บแนมออกมาประโยคหนึ่ง
ไม่ใช่วันสิ้นโลกที่มีภัยพิบัติหรือเหล่าซอมบี้ ชีวิตปกติสุขแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นเช่นนี้ได้ ช่างเหลือเชื่อจริงๆ!
พี่น้องตระกูลหลิวที่เพิ่งอาบน้ำจนสะอาดได้ยินดังนั้นก็พากันหน้าแดง ก้มหน้าด้วยความอับอาย เท้าเปล่าขยุ้มพื้นนึกอยากขุดดินหนี
ด้วยพ่ออย่างหลิวจี้ไม่ใส่ใจ เด็กๆ เหล่านี้จึงไม่รู้จักดูแลตนเอง เด็กในหมู่บ้านไม่ยอมเล่นด้วยเพราะรังเกียจว่าพวกเขาสกปรกเหม็นสาบ
แม้พวกเขายังไม่ได้กระทำสิ่งใด เพียงเดินเข้าใกล้ผู้อื่นสักนิดก็ถูกด่าทอแล้ว
เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอคติและความรังเกียจเช่นนี้ จิตใจของสี่พี่น้องจึงเปราะบางมาก คิดว่าฉินเหยารังเกียจพวกเขาจึงถอยหลังไปสองก้าวเงียบๆ
ฉินเหยากวาดผนังจนสะอาด เมื่อรู้สึกถึงสายลม นางจึงรีบนำแผ่นกระดานมาทับฟางที่ตากไว้ให้แน่น ไม่ให้ปลิวกระจายไปทั่ว
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น พอหันกลับมาก็เห็นเด็กทั้งสี่กำลังมองนางด้วยแววตาอับอายและขุ่นเคือง
“เป็นอะไรไป” ฉินเหยาทำหน้างง นางไม่ได้ดุพวกเขาสักหน่อยนี่
สี่พี่น้องพร้อมใจกันส่ายหน้า
ฉินเหยาเช็ดเหงื่อ เท้าเอวแล้วถามต้าหลางว่า “รู้ไหมว่ามีฟางแห้งที่ไหนบ้าง?”
ต้าหลางพยักหน้า ถามว่าฉินเหยาจะเอาฟางไปทำอะไร ฉินเหยาไม่ตอบแต่ชี้ไปที่เท้าเปล่าของพวกเขาทั้งสี่ และรองเท้าฟางผุๆ ของตนที่พร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ
ต้าหลางเข้าใจในทันที เอ้อร์หลาง ซานหลางและซื่อเหนียงต่างตาเป็นประกาย แม่เลี้ยงจะทำรองเท้าฟางให้พวกเขาหรือ
ในวันสิ้นโลก ทรัพยากรขาดแคลน แม้แต่รองเท้าคู่หนึ่งก็เป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนแย่งชิงกัน
ข้างบ้านฉินเหยามีผู้เฒ่าคนหนึ่งสานรองเท้าฟางเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของโดยเฉพาะ ตอนที่นางว่างจากทำภารกิจก็ไปเรียนอยู่บ้าง
ถึงจะไม่ประณีตเหมือนของที่ขายในตลาด แต่ใส่ในชีวิตประจำวันได้ไม่มีปัญหาแน่นอน
ฉินเหยาตามต้าหลางและเอ้อร์หลางไป พวกเขาทำท่าลับๆ ล่อๆ ราวกับขโมยอย่างนั้น พอมาถึงนาข้าวที่เพิ่งเก็บเกี่ยวไปได้ไม่นานของหลิวเหล่าฮั่น ที่นั่นยังมีฟางกองอยู่หลายกองยังไม่ได้ขนกลับ
ฉินเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย “หยิบไปเลยไม่เป็นไรแน่หรือ”
ต้าหลางไม่ตอบ แต่จากความคล่องแคล่วของมือก็เห็นได้ชัดว่าเขาทำแบบนี้เป็นประจำ
เอ้อร์หลางเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “พ่อบอกไว้ว่าของของปู่ก็คือของพ่อ ของของพ่อก็คือของพวกเรา หยิบของบ้านตัวเองไปใช้นั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้ว”
ฉินเหยาเบิกตาโพลง เจ้าหลิวจี้นี่สอนอะไรเหลวไหลให้เด็กเนี่ย!
แต่พอมองฟางกองใหญ่ในอ้อมแขนของตนเอง ฉินเหยาจึงเลือกที่จะเงียบ
นางส่งสัญญาณให้สองพี่น้องรีบหน่อย ทั้งสามคนต่างอุ้มฟางคนละกองใหญ่ ไม่นานก็หายลับไปในทุ่งนา
บ้านของหลิวจี้อยู่ห่างไกล พอใกล้ถึงบ้าน ทั้งสามจึงค่อยๆ ชะลอฝีเท้า หลักๆ คือเพราะเด็กทั้งสองด้านหลังตามไม่ทัน พวกเขาหอบราวกับจะขาดใจ เผือกที่เพิ่งกินไปตอนเที่ยงเหมือนถูกใช้ไปจนหมดในคราวนี้แล้ว
“ทำ…ทำไมเจ้าถึงวิ่งเร็วเช่นนี้” ต้าหลางถามด้วยความสงสัยพลางหอบ
ฉินเหยาตอบอย่างจริงจัง “เพราะข้าโตกว่าพวกเจ้า ขาข้าจึงขายาวกว่า”
ต้าหลางไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ไม่กล้าถามต่อ
เอ้อร์หลางหายใจได้คล่องขึ้นแล้วจึงรีบก้าวอีกสองก้าวตามฉินเหยาไป “เจ้าจะทำรองเท้าให้พวกเราหรือ เจ้าสานรองเท้าฟางได้ด้วยหรือ”
งานนี้มีแต่คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเท่านั้นที่ทำเป็น ก่อนหน้านี้เขากับพี่เคยคิดจะแอบเรียนก็เกือบโดนตีไปรอบหนึ่ง
ฉินเหยาหยุดเท้ากะทันหัน
สองพี่น้องที่ตามหลังมารีบหยุดแทบไม่ทัน ไม่อย่างนั้นคงชนท้องนางเข้าเต็มๆ
ใบหน้าคล้ำแดดของพวกเขายังขึ้นสีเล็กน้อย “อะ…อะไรหรือ”
ฉินเหยาหนีบฟางไว้ด้วยมือข้างเดียวแล้วใช้อีกมือตบหัวพวกเขาเบาๆ “อะไรคือ ‘เจ้าๆๆ’ แบบนี้ไม่สุภาพ ต้องเรียกข้าว่าท่านน้า”
ทั้งสองชะงักไปเล็กน้อย หลังจากนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นแล้วเรียกพร้อมกันว่า “ท่านน้า”
ฉินเหยายิ้มอย่างพอใจ “แบบนี้ค่อยดีหน่อย ถึงบ้านแล้ว วางฟางลงแล้วช่วยข้าลอกเปลือกนอกที่เปราะออกทิ้ง เหลือไว้แต่แกนแข็งแรงข้างในก็พอ”
สองพี่น้องรับคำแล้ววางฟางไว้ใต้ชายคา
ล้วนเป็นเด็กที่เชื่อฟังทีเดียว ฉินเหยาลอบพอใจเงียบๆ
จริงๆ หากจะให้พวกเขาเรียกว่าท่านแม่ ไม่ต้องพูดว่าพวกเขาไม่เต็มใจเลย แต่ตัวนางเองก็รู้สึกแปลกๆ เรียกว่าท่านน้าก็ดีมากแล้ว
ซานหลางกับซื่อเหนียงที่รอพวกเขาอยู่ในบ้าน ได้ยินเสียงหน้าประตูจึงเปิดออกมา ฉินเหยาเรียกพี่น้องทั้งสองไว้ บอกว่าต่อไปให้เรียกนางว่าท่านน้า
ซานหลางงงเล็กน้อย ไม่ใช่ให้เรียกว่าท่านแม่หรือ
เอ้อร์หลางถลึงตาใส่น้องชาย เจ้าโง่ เรียกท่านน้าก็ดีแล้ว พวกเรามีท่านแม่ของเราอยู่แล้ว ใครจะไปเรียกหญิงแปลกหน้าว่าแม่เล่า
ต้าหลางปัดเศษฟางที่มือ เดินมาหาซานหลางกับซื่อเหนียงแล้วเอ่ยเร่งว่า “ซานหลาง ซื่อเหนียง เรียกท่านน้าสิ”
ซานหลางเอ่ยเสียงเบา “ท่านน้า…”
ฉินเหยารับคำเสียงหนึ่งแล้วลูบหัวเล็กๆ ของเขา “ไปช่วยดูฟางที่ตากไว้ อย่าให้ลมพัดปลิวหายไปนะ”
เมื่อได้รับหน้าที่ของตนเอง ซานหลางก็ยิ้มเขินพลางพยักหน้า หยิบไม้ฟืนเล็กๆ มาใช้เป็นไม้ค้ำอย่างอารมณ์ดี ยืนเฝ้ากองฟางอย่างตั้งใจ
ซื่อเหนียงกลับโผเข้ามากอดฉินเหยาเอาไว้แน่น เอ่ยทั้งน้ำตาว่า “ข้าต้องการท่านแม่ ข้าต้องการท่านแม่ ข้าต้องการท่านแม่!”
ต้าหลางมองฉินเหยาด้วยความประดักประเดิด น้องสาวยังเด็กเกินกว่าจะพูดด้วยเหตุผล อีกทั้งฉินเหยาเองก็อยู่ตรงหน้า คนเขาเพิ่งจะเตรียมทำรองเท้าฟางให้พวกตน หากเขาบอกว่านางไม่ใช่ท่านแม่แล้วห้ามน้องสาวไม่ให้โวยวายก็ดูจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่
ฉินเหยาถอนหายใจเบาๆ โบกมือให้ต้าหลางที่ลำบากใจเป็นสัญญาณให้ไปฉีกฟางต่อ จากนั้นค่อยๆ ดึงเจ้าตัวน้อยที่เกาะขานางอยู่ออกอย่างนุ่มนวลแล้วปลอบใจว่า
“จะเรียกท่านแม่ก็ได้ จะเรียกท่านน้าก็ได้ เรียกตามใจได้เลย แต่ต้องเชื่อฟังดีหรือไม่”
ซื่อเหนียงรีบยกมือเล็กๆ ปาดน้ำตา ยิ้มสดใสให้ฉินเหยา “อืม”
“ซื่อเหนียงเป็นเด็กดีจริงๆ” ฉินเหยาค่อยๆ เช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าซื่อเหนียงแล้วยื่นฟางกำเล็กๆ ให้เป็นของเล่น บอกให้นางนั่งตรงธรณีประตูคอยดูพวกเขาทำงาน ห้ามวิ่งไปไหน
ในบ้านไม่มีลานไม่มีรั้ว เด็กๆ ครู่ดียวก็หายตัวไปได้ ต้องให้อยู่ในสายตาถึงจะสบายใจ
พอจัดการเด็กเล็กเรียบร้อย ฉินเหยาก็นำเด็กโตสองคนเริ่มสานรองเท้าฟาง
ปกติการทำรองเท้าต้องใช้โครงเฉพาะ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีอุปกรณ์พร้อม ฉินเหยาจึงใช้พร้าเหลากิ่งไม้หลายอันมาทำเป็นโครงแทนก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน
ก่อนทำรองเท้าฟางต้องเตรียมฟางให้พร้อม ถักเป็นเชือกฟางเส้นเล็กๆ ก่อน ถึงจะนำไปขึ้นโครงสานเป็นรองเท้าได้
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางแรงน้อย ถูเชือกไม่แน่นดีจึงช่วยได้แค่ขั้นตอนเตรียมฟาง ส่วนงานที่เหลือฉินเหยาต้องทำเอง
ตลอดบ่าย ฉินเหยาเอาแต่ถูเชือกจนฝ่ามือร้อนแทบลุกเป็นไฟ ถึงได้ถูหญ้าฟางที่เก็บมาทั้งหมดเสร็จ
ดวงอาทิตย์คล้อยไปทางตะวันตก เมื่อม้วนเชือกเก็บไว้ในบ้านแล้ว ฉินเหยาไม่ทันได้ดื่มน้ำสักอึกก็เรียกเด็กๆ ในบ้านให้ช่วยขนที่นอนผ้าห่มและฟางที่ตากไว้กลับเข้าบ้าน จัดเตียงใหม่สองเตียง
ในห้องหลัก ถอดแผ่นรองเตียงออกครึ่งหนึ่ง เหลือเตียงเดี่ยวหนึ่งเตียงทำให้พื้นที่กว้างขึ้น เอาโต๊ะเตี้ยที่ใช้วางอาหารมาตั้งกลางห้อง กลายเป็นพื้นที่อเนกประสงค์
เด็กสี่คนมีห้องแยกต่างหาก นอนในห้องเล็ก ฉินเหยาเอาแผ่นรองเตียงจากห้องหลักมาเสริมทำให้เตียงกว้างขึ้น เด็กสี่คนจะได้นอนด้วยกันไม่เบียด
เตียงที่ปูใหม่มีกลิ่นฟางผสมกับกลิ่นแดดอ่อนๆ ซื่อเหนียงปีนขึ้นไปกลิ้งบนเตียงพลางเอ่ยด้วยความดีใจว่า “ท่านแม่ นุ่มจังเลย~”
MANGA DISCUSSION