หลิวจี้ย่อมไล่ตามหลิวเฝยที่ยังหนุ่มแน่นกว่าไม่ทัน ผลลัพธ์ก็ชัดเจน เงินส่วนตัวโดนยึดไป แถมยังโดนต่อยเข้าที่หน้าหนึ่งหมัด
หลิวจี้กุมใบหน้าของตนไว้ กล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูดอะไร ตอนกลางคืนยังต้องเตรียมน้ำร้อนให้ฉินเหยาสำหรับแช่เท้าพร้อมปรนนิบัตินางอย่างดี เขาเอ่ยว่า “เมียจ๋า เจ้าหายโกรธเถอะนะ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งนั้น ข้าแค่ล้อเจ้าหลิวเฝยเล่นเฉยๆ ใครจะคิดว่าเขาจะจริงจังขนาดนั้นเล่า”
“ข้าจะไม่จ่ายเงินได้อย่างไรกัน เจ้าลองไปถามคนทั้งหมู่บ้านได้เลย ข้าหลิวจี้ เวลาซื้อผักต่อให้เจ้าของไม่อยู่บ้าน วันรุ่งขึ้นข้าก็จะเอาเงินไปส่งให้ถึงที่”
ฉินเหยาไม่พูดอะไร หลับตาแช่เท้าด้วยความสบายจนหลับไป
หลิวจี้กัดฟันกรอด ข้าพูดดีๆ ไปตั้งมากมาย นางกลับไม่สนใจฟังเลยสักคำ!
หลังจากนอนหลับเต็มอิ่มหนึ่งคืน ฉินเหยาก็ลุกขึ้นมาออกกำลังกายยามเช้าด้วยจิตใจแจ่มใส เมื่อเสร็จแล้วจึงนำเมล็ดพันธุ์ข้าวที่หลิวจี้ซื้อกลับมาจากเรือนเก่าใส่ลงในกะละมัง เติมน้ำแล้วแช่ไว้เพื่อให้มันงอกเร็วขึ้น
หากมียากันแมลง ณ เวลานี้เป็นช่วงเหมาะที่จะใส่ลงไป ช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืชได้
หลิวจี้ที่ไม่เคยทำนามาก่อนเลยไม่รู้ว่าลำดับที่ถูกต้องควรทำอย่างไร ฉินเหยาสั่งให้ทำอะไรก็ทำตามนั้น
จนกระทั่งชาวบ้านทุกคนโปรยเมล็ดพันธุ์ข้าวที่งอกแล้วลงในนา หลิวจี้ถึงได้ตกใจจนวิ่งหน้าตื่นกลับมาบ้าน
เมื่อเห็นฉินเหยายืนอยู่หน้าแผงเพาะต้นกล้า เขาก็ร้องลั่นว่า “ผิดแล้ว! ผิดแล้ว! เมล็ดพันธุ์ที่งอกแล้วต้องโปรยลงนา ไม่ใช่เอามาเพาะต้นกล้าเช่นนี้!”
ฉินเหยายืนอยู่หน้าแปลงเพาะที่ทั้งสองช่วยกันสร้างขึ้นอย่างยากลำบาก ในถาดไม้เต็มไปด้วยดินที่พวกเขาขุดกลับมาจากนา เมล็ดพันธุ์ข้าวที่โปรยไว้ในถาดทั้งยี่สิบถาดต่างก็แตกหน่อเขียวขจี ดูน่าชื่นใจ
ต้าหลางและพี่น้องทั้งสี่คนมาดูต้นกล้าทุกวันราวกับมันเป็นสัตว์เลี้ยงของพวกเขา ต่างดูแลด้วยความรักใคร่
ตลอดเช้าเย็นพวกเขากลัวว่าต้นกล้าจะหนาว สมาชิกทั้งหกคนจึงช่วยกันถักเสื่อฟางหลายผืนแล้วเอามาห่มให้แปลงเพาะ คลุมทั้งแผงจนเหมือนเป็นบ้านเล็กๆ เลี้ยงดูกันอย่างประณีต
ดังนั้น ตอนนี้หลิวจี้มาบอกพวกเขาว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องผิดพลาดอย่างนั้นหรือ
ในสายตาของชาวนา ข้าวมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด ต้าหลางและพี่น้องทั้งสี่คนล้วนตกใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา
หากนี่ผิดจริง ทุกอย่างก็พังหมด
แต่ฉินเหยาก็ไม่เคยทำให้พี่น้องทั้งสี่ผิดหวัง นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะสั่งให้หลิวจี้ที่กำลังตะโกนจนเสียงแหบให้หยุดพูดแล้วถามอย่างสงบว่า:
“ชาวบ้านทั้งหมดเอาเมล็ดพันธุ์โปรยลงนาโดยตรงหรือ”
หลิวจี้พยักหน้ารัวๆ
“พวกท่านพ่อกับคนอื่นๆ โปรยเสร็จหมดแล้วหรือ”
“ยังไม่หมด” หลิวจี้ตอบ “ตั้งร้อยหมู่นะ จะโปรยเสร็จเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร ยังเหลืออีกหลายสิบหมู่ที่อยู่ใกล้บ้านยังไม่ได้โปรย”
ที่ดินดีๆ ต้องดูแลให้ดี ต้องใส่ปุ๋ยก่อนค่อยโปรยเมล็ดจึงต้องใช้เวลานานกว่า
หลิวจี้เอ่ยอย่างร้อนใจ “เจ้าถามเรื่องพวกนี้ทำไม ตอนนี้เรื่องสำคัญคือเราทำผิดนะแล้วจะโปรยต้นกล้าเหล่านี้อย่างไรดี”
ต้นกล้าสูงเท่าข้อนิ้วโป้งแล้ว จะเอาไปโปรยอย่างไรกัน!
ฉินเหยากลับพูดว่า “เจ้ากลับไปบอกพวกท่านพ่อให้หยุดโปรยเมล็ดในแปลงที่ยังไม่ได้ทำ ให้เริ่มต้นด้วยการเพาะกล้าก่อนแล้วค่อยนำต้นกล้าไปปักดำ เมื่อต้นกล้าเติบโตแข็งแรง ค่อยแบ่งไปปลูกในที่นาที่เหลือ ข้าวเช่นนี้จะทนต่อการล้มและยังคัดเลือกจากกล้าที่ดีที่สุด ผลผลิตจะดีกว่ามาก”
“อะไรนะ?” หลิวจี้ถึงกับงงไปชั่วครู่ “วิธีอะไรของเจ้า เจ้าไปฟังมาจากไหนกัน”
แม้เขาจะไม่มีประสบการณ์ในการทำไร่ แต่ตั้งแต่เด็กจนโต ขั้นตอนการปลูกข้าวที่เขาเคยเห็นมาไม่เหมือนที่ฉินเหยาพูดเลย
มันควรจะเป็นการไถนาให้เรียบร้อย ปล่อยน้ำจนดินกลายเป็นโคลนแล้วโปรยเมล็ดพันธุ์ข้าวที่งอกแล้ว รอให้ต้นข้าวเติบโต จากนั้นจึงกักเก็บน้ำไว้จนถึงฤดูเก็บเกี่ยว
ฉินเหยาพูดด้วยความหงุดหงิด “ข้าเรียนมาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร เจ้าจะเก่งกว่าผู้เชี่ยวชาญหรือไง ข้าบอกให้เจ้าไป เจ้าก็รีบไป! หากไปช้าแล้วกระทบกับผลผลิตปีนี้ ข้าจะอัดเจ้าให้ตาย!”
พอได้ยินว่าจะโดนอัด หลิวจี้ก็วิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก เพียงพริบตาเดียวก็หายลับไปจากลานบ้านแล้ว
พวกต้าหลางวิ่งตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาไม่วางใจว่าท่านพ่อจะถ่ายทอดข้อความได้ถูกต้อง กลัวว่าจะพูดผิดแล้วทำให้แม่เลี้ยงโดนตำหนิ
พอมาถึงเรือนเก่า ต้าหลางก็รู้สึกโล่งใจที่ตนเองตามมาด้วย เพราะพ่อของเขาอธิบายไม่ชัดเจนจริงๆ พูดเพียงว่าห้ามโปรยเมล็ดพันธุ์ต่อ แต่ไม่ได้อธิบายเหตุผลอะไรเลย
สุดท้ายต้าหลางต้องก้าวขึ้นหน้าแล้วเล่าเหตุผลที่ฉินเหยาบอกไว้ให้คนในเรือนเก่าตระกูลหลิวฟัง พวกเขาถึงเข้าใจว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
แต่พวกเขายังคงสงสัย “ไม่เคยได้ยินวิธีปลูกข้าวเช่นนี้มาก่อน นี่มันเชื่อถือได้หรือ หากเกิดเสียเวลาไปเปล่าๆ ที่ดินดีๆ หลายสิบหมู่ก็จะไม่มีผลผลิตเลยนะ”
หลิวจ้งผู้ที่ปลูกข้าวเก่งที่สุดในครอบครัวสงสัยเป็นอย่างมาก เขามั่นใจว่าไม่มีใครเข้าใจเรื่องการทำไร่มากไปกว่าเขาอีกแล้ว
หากเป็นชาวบ้านคนอื่นพูดเช่นนี้ เขายังอาจจะลองพิจารณาความเป็นไปได้
แต่คนที่พูดเรื่องนี้คือฉินเหยา คนที่แรกเริ่มแม้แต่การไถนาก็ยังไม่เป็นแล้วใครจะกล้าเชื่อในสิ่งที่นางพูดกัน
“ไม่เชื่อก็ช่างเถอะ อย่างไรข้าก็มาส่งข่าวให้แล้ว พวกเจ้าจะทำอะไรก็ทำ!” หลิวจี้แค่นเสียงแล้วเรียกพวกต้าหลางพี่น้อง “กลับบ้าน!”
บิดากับบุตรทั้งห้าคนมาอย่างรวดเร็วและจากไปอย่างรวดเร็วดุจสายลม เพียงพริบตาเดียวก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
ระหว่างทางกลับบ้าน ต้าหลางพูดว่า “ข้าว่าที่แม่เลี้ยงพูดมาก็มีเหตุผลนะ ท่านพ่อ พวกเราฟังแม่เลี้ยงเถอะ”
หลิวจี้เลิกคิ้วขึ้น “ข้าพูดหรือว่าจะไม่ฟังนาง”
ประเด็นคือ เขากล้าจะไม่ฟังได้หรือ
เอ้อร์หลาง ซานหลางและซื่อเหนียงแอบหัวเราะพร้อมพูดว่า หากแม่เลี้ยงปลูกข้าวไม่สำเร็จ พวกเขาก็จะไปเก็บผักป่ามากินแทน
ต้าหลางลูบหนังสติ๊กคู่ใจที่แขวนอยู่ข้างเอว “รอให้ถึงฤดูใบไม้ร่วง แม่เลี้ยงบอกว่าจะพาข้าไปล่าสัตว์ พวกเราก็จะได้กินเนื้อแล้ว”
หลิวจี้แอบอิจฉาในใจเล็กน้อย เขาเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า “หากแม่เลี้ยงบอกให้พวกเจ้าไปกินขี้ พวกเจ้าก็จะไปด้วยหรือไร”
ซื่อเหนียงพยักหน้า “อืมๆ” แล้วตอบว่า “ข้ากิน”
ซานหลางพูดตาม “ข้าก็กินขี้ได้!”
เอ้อร์หลางหัวเราะจนน้ำตาเล็ด “เจ้าพวกเด็กโง่!”
หลิวจี้ถอนหายใจ “โง่กันหมด!”
ต้าหลางมองดูพวกกลุ่มคนไร้สติกลุ่มนี้แล้วถอนหายใจอย่างหนักหน่วง นึกเหนื่อยใจแทนแม่เลี้ยง
วิธีการปลูกข้าวของฉินเหยาได้รับการสนับสนุนจากทุกคนในครอบครัว ทั้งหกคนจึงกลายเป็นตัวประหลาดในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่นาของครอบครัวอื่นต้นกล้าเริ่มเติบโตแล้ว ครอบครัวของพวกเขาเพิ่งจะเริ่มปักดำ
ฉินเหยาและหลิวจี้แบกแผ่นไม้เข้าไปในนา วางแผ่นไม้ลงบนโคลนในนาซึ่งปล่อยน้ำออกจนเหลือเพียงชั้นน้ำตื้นๆ
จากนั้น ฉินเหยาก็หยิบต้นกล้าที่สูงประมาณสิบเซนติเมตรมาแล้วทั้งครอบครัวยืนบนแผ่นไม้ ปักต้นกล้าเรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบในนา
พวกเขาปักดำสองหมู่ ใช้เวลาไปสามวัน
ทันทีที่ปักดำเสร็จ ฝนฤดูใบไม้ผลิก็เริ่มตกลงมา
ล้วนกล่าวว่าฝนฤดูใบไม้ผลิมีค่าดั่งน้ำมัน คำนี้ไม่ผิดจริงๆ ต้นกล้าที่ปักดำไว้ในนาโตขึ้นวันละนิด พอผ่านไปกว่าครึ่งเดือนก็สูงกว่าต้นกล้าในนาของคนอื่นอยู่เล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ต้นกล้าในนาของผู้อื่นล้วนงอกขึ้นมาแบบสะเปะสะปะ แต่ต้นกล้าในที่ดินสองหมู่ของพวกเขากลับเรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ ดูแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
ในตอนแรก ผู้คนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าหลิวจี้และครอบครัวทำอะไรแปลกๆ มีบางคนที่หวังดีถึงกับวิ่งไปหาหลิวเหล่าฮั่นให้เขารีบไปบอกพวกนั้น
แต่ต่อให้หลิวเหล่าฮั่นออกหน้าก็ไม่เป็นผล แถมตัวเขาเองยังเกือบถูกฉินเหยากล่อมจนเชื่อไปด้วย
อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงเลือกใช้วิธีเดิมที่ปลอดภัยกว่า เพราะไม่กล้าเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลง
หลิวต้าฝูเห็นว่าพวกเขาปลูกข้าวเพียงสิบหมู่ คิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร อีกทั้งยังต้องให้เกียรติฉินเหยาที่เป็นผู้มีพระคุณจึงไม่ได้กล่าวอะไร
จนกระทั่งต้นกล้าในที่สองหมู่ที่ปลูกไว้นั้นเติบโตสูงใหญ่และแข็งแรง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เคยมีมาก่อนจึงค่อยๆ ลดลงอย่างไม่รู้ตัว
ในที่สุด เมื่อผู้คนเห็นครอบครัวฉินเหยานำต้นกล้าที่สูงถึงหน้าแข้งไปปักดำในนาที่ใส่ปุ๋ยคอกไว้เรียบร้อย โดยปักอย่างเป็นระเบียบเรียงแถวกันทุกแปลง ต้นกล้าแต่ละต้นสูงใหญ่ แข็งแรง ทนลมไม่ล้ม ทนน้ำฝนไม่โค้งงอ ความสงสัยที่เคยมีอยู่ก็เหลือเพียงคำถามเดียว
ทุ่มเทแรงกายไปมากถึงเพียงนี้ สุดท้ายแล้วผลผลิตจะมากหรือน้อยกันแน่?
MANGA DISCUSSION