หลิวฮูหยินรีบตอบว่ามีแล้วให้บุตรสาวคนเล็กไปหยิบกระดาษกับพู่กันมาจากห้องหนังสือของพี่ชายคนรอง
หลิวลี่น้องชายคนรองของหลิวกงเพิ่งแต่งงานเมื่อต้นเดือนแรกของปี เขาคือคนที่นางจางเคยพูดถึงว่าถูกบิดามารดาส่งไปเรียนในตัวอำเภอได้เพียงครึ่งเดือน แต่ก็ต้องลาออกเพราะเสียดายค่าพาหนะเดินทาง
แต่เรื่องราวหลังจากนั้นนางจางไม่ได้เล่า เพราะต่อมาหลิวลี่ได้ไปอยู่กับท่านอาของเขาในตัวอำเภอและเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาในอำเภอนั้น
เดิมทีฤดูใบไม้ผลิปีนี้เขาตั้งใจจะไปสอบในตัวอำเภอ หากสอบผ่านก็จะได้รับสิทธิ์เข้าสอบในระดับจังหวัดและหากสอบผ่านระดับจังหวัดก็จะได้เป็นซิ่วไฉ[1]แล้ว
แต่เหตุการณ์โจรปล้นในครั้งนั้นทำให้เขาต้องเสียเวลาไปหนึ่งปีเต็ม
โชคดีที่ฝ่ายหญิงซึ่งหมั้นหมายไว้ไม่ได้ถอนหมั้นเพราะเรื่องขาของเขา ทั้งสองครอบครัวยังคงจัดพิธีแต่งงานตามกำหนด
หลิวลี่มองฉินเหยาที่หยิบพู่กันกับกระดาษขึ้นมาวาดแบบ รู้สึกว่านางเป็นคนที่ไม่ธรรมดา ถึงแม้ว่าท่าทางจับพู่กันของนางจะแปลกตา แต่เส้นที่นางลากออกมานั้นทั้งตรงทั้งมั่นคงไม่ต้องใช้ไม้บรรทัด ดูแล้วเหมือนเป็นคนที่วาดภาพมานาน
ชาวบ้านในหมู่บ้านล้วนรู้ว่าฉินเหยาลี้ภัยมาจากนอกพื้นที่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าก่อนนางจะลี้ภัย นางมีภูมิหลังเป็นเช่นไร
ตอนนี้หลิวลี่คาดเดาว่า ครอบครัวของฉินเหยาคงเคยเป็นตระกูลร่ำรวยมาก่อน
ไม่อย่างนั้น สตรีคนหนึ่งที่เขียนหนังสือและวาดภาพได้ ยังอาจพูดได้ว่าเกิดจากการได้รับการเอาใจใส่ในครอบครัว แต่การมีฝีมือด้านการต่อสู้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีโอกาสได้เรียนรู้
ฉินเหยารู้ดีว่าสายตาของหลิวลี่ที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ด้วยความที่ไม่มีหลักฐานอะไร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำพูดของนางเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่มีใครสามารถจับผิดได้
ดังนั้น นางจึงสงบใจและตอบทุกคำถามอย่างสบายๆ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่
ครั้งนี้นางก็บอกว่า ครอบครัวนางมีท่านลุงที่ชอบงานไม้และนางก็ได้เรียนมาบ้างแบบผิวเผิน
ที่จริงแล้ว ในชาติก่อน นางเคยทำงานจิปาถะหลายอย่างเพื่อความอยู่รอดในฐาน และเคยผ่านการอบรมในโรงงานผลิตอุปกรณ์การแพทย์
เมื่อวาดแบบเสร็จแล้ว แผ่นหนึ่งเป็นภาพแบบไม้เท้าคู่ สำหรับหลิวลี่และน้องชายคนที่สามที่ขาหักเพียงข้างเดียว ใช้สิ่งนี้จะเหมาะสมกว่า
อีกแบบเป็นภาพวาดของรถเข็นไม้ซึ่งวิธีทำจริงๆ นั้นง่ายมาก ล้อไม้ขนาดใหญ่นั้นดูหรูหราเกินไปและทำยาก สำหรับการใช้งานระยะสั้น เพียงแค่ใส่ล้อไม้ขนาดเล็กสี่ล้อเข้าไปใต้เก้าอี้ก็พอ
ส่วนที่นั่งตรงกลางสามารถถอดออกได้เพื่อสะดวกต่อการเข้าห้องน้ำ และรถเข็นยังเพิ่มที่จับ เพื่อให้ภรรยาของหลิวกงช่วยเข็นได้ เรียกได้ว่าเป็นการออกแบบที่คำนึงถึงความสะดวกและครบถ้วนอย่างมาก
หลังจากส่งแบบให้หลิวฮูหยินแล้ว ฉินเหยาก็หันหลังกลับทันที
หลิวฮูหยินยังไม่มีโอกาสได้แสดงความขอบคุณ และรู้สึกประหลาดใจในความใจกว้างของฉินเหยา แบบร่างที่ละเอียดประณีตขนาดนี้ นางยกให้โดยไม่ลังเล แถมไม่มีท่าทีปิดบังเลย
แต่มีสัญลักษณ์แปลกๆ บางอย่างบนแบบร่างที่พวกเขาไม่เข้าใจ
แต่ฉินเหนียงจื่อบอกว่าช่างไม้หลิวจะเข้าใจ ดังนั้นพวกเขาจึงนำไปให้ช่างไม้หลิวดู
“อ้อ อันนี้หรือ? นี่คือเลขอาหรับ ทางตะวันตกใช้เลขนี้แทนตัวเลขของเรา ในตัวอำเภอหรือเมืองหลวงก็ใช้กันหมดแล้ว” ช่างไม้หลิวอธิบาย
หลิวฮูหยินพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
“ฉินเหนียงจื่อรู้เยอะจัง” หลิวเยว่เหนียง น้องสาวของบ้านหลิวพูดด้วยความชื่นชม
ช่างไม้หลิวพยักหน้ารับ “แน่นอนอยู่แล้ว ฉินเหนียงจื่อเคยไปตัวอำเภอมาก่อน”
ที่ถูกต้องก็คือ เหยาเหนียงต่างหากที่เคยไปตัวอำเภอ
ฉินเหยาเองก็รู้สึกประหลาดใจ ในความทรงจำของร่างเดิมกลับมีการใช้เลขอาหรับอยู่ด้วย
นางไม่แน่ใจว่ามันมาจากภายนอกจริงๆ หรือว่าเคยมีคนที่หลุดมาจากต่างโลกมาอยู่ที่นี่ก่อนกันแน่
ยิ่งกว่านั้น ในแคว้นเซิ่งสตรีทุกคนล้วนไม่มีรอบเดือน แต่เป็น ‘รอบเดือนแฝง’ ทั้งไม่มีปัญหาเรื่องประจำเดือนและไม่กระทบต่อการมีลูก เป็นข่าวดีสำหรับสตรีที่หลุดเข้ามาในโลกนี้!
ในภาพรวม ฉินเหยาพอใจกับโลกนี้มาก ยกเว้นเพียงเรื่องที่ต้องทำไร่
“เมียจ๋า เอาที่สิบหมู่นี้แหละ มันทอดต่อกันเป็นผืนเดียวและอยู่ใกล้แม่น้ำ รดน้ำสะดวกด้วย”
หลิวจี้ยืนอยู่บนคันนา ชี้ไปที่ที่ดินสิบหมู่ตรงหน้าพลางพูดด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ฉินเหยาพยักหน้าอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าที่ดินแถวนี้ล้วนดีเยี่ยม ยามบ่ายจึงไปยังบ้านหลิวต้าฝูเพื่อจัดการเรื่องการเช่าที่กับหลิวกงให้เรียบร้อย
บ้านอื่นๆ เริ่มลงมือไถนากันแล้ว หากไม่มีสัตว์ลากไถก็ใช้สองคนทำงานเป็นคู่ คนหนึ่งลากอยู่ข้างหน้า อีกคนหนึ่งประคองอยู่ด้านหลัง ทำให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ส่วนบางคนที่ไม่มีคู่ ต้องประคองไถคนเดียว ทำให้ไถได้ช้าลงมาก
ไถนั้นยังแบ่งตามวัสดุที่ใช้ทำซึ่งส่งผลต่อความเร็วในการใช้งาน
ผู้ที่มีฐานะดีจะใช้ไถเหล็ก ส่วนผู้ที่ฐานะไม่ดีจะใช้ไถหินหรือไถไม้แทน
ที่บ้านหลิวมีคันไถสองคัน หนึ่งคันทำจากเหล็ก อีกคันทำจากหิน โชคดีที่พวกเขายืมวัวจากบ้านผู้ใหญ่บ้านมาได้ ไม่เช่นนั้นหากต้องไถร้อยหมู่ด้วยแรงคน ร่างกายคงพังแน่
เนื่องจากที่ดินมีจำนวนมากและกระจัดกระจาย การไถทีละแปลงได้เพียงครั้งเดียวก็ใช้แรงมากแล้ว สำหรับที่ดินดีติดน้ำจึงมีการไถละเอียดถึงสองรอบ
ฉินเหยาและหลิวจี้ตั้งใจไปยังเรือนเก่าตระกูลหลิวเพื่อสังเกตดูวิธีใช้วัวลากไถตลอดทั้งวัน ในที่สุดหลิวจี้ก็ถูกฉินเหยาบังคับให้พับขากางเกงแล้วลงนา ลองไถเองอยู่หลายครั้ง เมื่อได้ประสบการณ์มากพอ ทั้งสองจึงเริ่มลงมือไถนาของตนเองในวันถัดมา
ทั้งสองแบ่งกันคนละหนึ่งหมู่ หลิวจี้ใช้ไถเหล็กที่ยืมมาจากบ้านหลิวต้าฝูพร้อมวัวลากไถ ส่วนฉินเหยาใช้ไถเหล็กอีกคันที่ยืมมา แต่ต้องใช้แรงคนประคองไถเอง
ทั้งสองคิดว่าแผนนี้น่าจะดี คนหนึ่งมีแรงมาก อีกคนมีวัวช่วย คาดว่าวันหนึ่งน่าจะไถได้คนละสองหมู่แบบสบายๆ
แต่พอเริ่มทำจริงถึงได้รู้ว่ามันยากขนาดไหน
เหตุที่ที่นาติดน้ำถือว่าดีเยี่ยม เพราะสะดวกในการกักเก็บน้ำ ไม่ต้องคอยดูแลลำคลองเพื่อปล่อยน้ำเข้ามา หรือเฝ้าเวลากลางวันกลางคืนเพื่อป้องกันไม่ให้บ้านอื่นกันน้ำไว้ใช้แต่ในนาของตัวเอง
ชาวบ้านมักทะเลาะกันเรื่องน้ำในนาบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นญาติกันหรือไม่ หากกล้ากันน้ำไม่ให้เข้านาข้า ข้าก็พร้อมเอาเรื่องเจ้าให้ถึงที่สุด!
ดังนั้น ที่ดินที่ฉินเหยาเช่ามาจึงมีน้ำขังเต็ม ต้องปล่อยน้ำออกขณะไถไปด้วย แต่ละก้าวเหยียบลงในบ่อโคลนลึกจนขาติดในโคลน จะยกขาขึ้นยังลำบาก
แต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ มีความสามารถในการปรับตัวสูงมาก
สองวันผ่านไป ฉินเหยาและหลิวจี้กลับปรับตัวเข้ากับงานหนักเช่นนี้ได้อย่างน่าประหลาดใจ ถึงแม้ว่าจะต้องออกจากบ้านแต่เช้ากลับดึกทุกวัน แต่ร่างกายก็ไม่ได้เหนื่อยล้าเหมือนช่วงแรก
แน่นอนว่า ความเหนื่อยใจเองก็เป็นปัจจัยสำคัญของความเหนื่อยล้า
แต่ตอนนี้ ความเหนื่อยใจของพวกเขากลับกลายเป็นความด้านชาไปแล้วทำให้สภาพจิตใจดูดีขึ้นมาก
ต้าหลางและเอ้อร์หลางอาสาดูแลงานบ้านและทำอาหาร ตอนเที่ยงยังต้องนำข้าวกลางวันไปส่งให้พ่อแม่ในนา เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการทำไร่แม้แต่น้อย
การไถนาทั้งหมดเสร็จสิ้นในเวลาสามวันครึ่ง
ชาวบ้านคนอื่นที่ไม่มีทั้งวัวและไถเหล็กกลับไถนาได้เร็วกว่า คู่สามีภรรยาทั้งสองในนากลายเป็นหัวข้อขำขันของคนในหมู่บ้านไม่น้อย
โชคดีที่ทั้งสองเป็นคนไม่ใส่ใจกับสายตาหรือคำพูดของคนอื่น โดยเฉพาะหลิวจี้ที่ต่อให้มีคนมาด่าเขาต่อหน้า เขาก็ยังสามารถยิ้มกวนประสาทกลับไปได้หน้าตาเฉย
ช่วงหลายวันนี้ ความลำบากของคู่สามีภรรยาทั้งสอง หลิวเหล่าฮั่นและนางจางล้วนมองเห็นและรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ คำทำนายชะตาว่าไว้ไม่ผิดเลย คนอย่างเจ้าหลิวสามต้องการภรรยาที่เข้มแข็งเท่านั้นถึงจะควบคุมเขาได้
ดูสิ ตอนนี้ทั้งทำงานบ้านและลงนาได้ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยิ่งใหญ่จนแทบไม่กล้าเชื่อ
แต่ความหน้าหนายังคงเหมือนเมื่อก่อนไม่เปลี่ยนแปลง
“ท่านพ่อ ท่านให้เมล็ดพันธุ์ข้าวสำหรับสิบหมู่กับข้าหน่อยเถอะ” หลิวจี้พิงกรอบประตูห้องโถงของเรือนเก่าพลางยื่นมือไปขอเมล็ดพันธุ์ข้าวจากหลิวเหล่าฮั่นด้วยความมั่นใจ
ฉินเหยาให้เงินเขามาเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์ แต่หากเขาจ่ายเงินจริงๆ เช่นนั้นเขาก็ไม่ใช่เจ้าหลิวสามแล้ว
เหนือความคาดหมาย หลิวเหล่าฮั่นกลับไม่พูดอะไรสักคำ เดินเข้าไปในบ้านแล้วหยิบมาให้ทันที
เพราะเขาคาดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าบ้านฉินเหยาไม่น่าจะมีเมล็ดพันธุ์ข้าวเตรียมไว้จึงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว
มีเพียงหลิวเฝยที่อยู่ในลานบ้าน เหลือบมองหลิวจี้ด้วยสายตาไม่สบอารมณ์พลางบ่นว่า “หน้าไม่อายเสียจริง แยกบ้านไปตั้งนานแล้ว ยังจะมาขอของจากท่านพ่อท่านแม่อีก”
หลิวจี้ไม่เคยโกรธกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว เขายิ้มหน้าระรื่นตอบกลับไปว่า “บุตรชายขอของบิดา เป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรมอยู่แล้ว!”
หลิวเฝยไม่เคยพบเจอคนหน้าด้านหน้าทนเช่นนี้มาก่อน เขาโมโหจนคว้าไถขึ้นบ่าแล้วเดินกระแทกเท้าลงนาไปทันที
พอรู้ว่าเขากำลังเปลี่ยนความโกรธเป็นพลัง หลิวจี้ก็โบกมือพลางหัวเราะเอ่ยว่า “ทำดีๆ นะ ไถลึกหน่อย! ตอนเก็บเกี่ยวพี่ชายจะมาขอแบ่งข้าวจากเจ้าอีก!”
ล้วนกล่าวว่าอย่ารังแกคนอื่นจนเกินไป หลิวเฝยหันขวับกลับมาแล้วตะโกนว่า “หลิวจี้ เจ้ารอข้าก่อนเถอะ ข้าจะไปบอกพี่สะใภ้สามเดี๋ยวนี้!”
อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่เจ้าซ่อนเงินส่วนตัวเอาไว้นะ!
บอกหญิงอำมหิตผู้นั้น?
สีหน้าหลิวจี้เปลี่ยนไปในทันที เขารีบก้าวเท้าไวๆ ไล่ตามไปพร้อมพูดว่า “น้องชายรอเดี๋ยว! เจ้าฟังพี่อธิบายก่อน…”
[1] ซิ่วไฉ ผู้สอบผ่านระดับอำเภอ ซึ่งจะมีการจัดสอบปีละครั้ง
MANGA DISCUSSION