โรงเรือนสร้างเสร็จแล้ว โรงโม่สามารถเปิดใช้งานได้อย่างเป็นทางการ
จริงๆ แล้วเรียกว่าศาลาน่าจะเหมาะกว่า เพราะที่แห่งนี้มีแค่หลังคา ด้านข้างทั้งสี่ทำจากไม้ไผ่ที่ค้ำไว้เป็นเสา สามด้านมีไม้ไผ่พาดเป็นรั้ว ส่วนอีกด้านปล่อยโล่งไว้เป็นประตู
ในระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้ แถมไม่ได้ใช้เงินสักแดงก็ได้โรงโม่เช่นนี้มา ฉินเหยาก็พอใจมากแล้ว
โรงโม่ตั้งอยู่ตรงเชิงเขาหน้าบ้านนาง ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนขโมย หากมีอะไรผิดปกติ นางสามารถได้ยินจากในบ้านทันที
เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ฉินเหยาอาศัยช่วงเวลาที่ชาวบ้านมารวมตัวพักผ่อนที่บ่อน้ำของหมู่บ้านไปบอกกฎการเก็บค่าบริการให้ทุกคนฟัง
หนึ่งชั่วยามคิดค่าบริการห้าเหวิน ขอแค่เอาข้าวหรือธัญพืชที่ต้องการโม่มาฝากไว้ นางจะจัดการโม่ให้เรียบร้อยและส่งกลับไปที่บ้าน
บริการเช่นนี้ ฉินเหยาเองยังรู้สึกว่าคุ้มค่ามาก เพราะชาวบ้านจ่ายเงินเพียงเล็กน้อย เอาของมาฝากไว้แล้วไปทำธุระของตนเองได้
หากเป็นตัวนางเอง นางก็ยินดีที่จะจ่ายค่าบริการเช่นนี้อย่างแน่นอน
หลิวจี้รู้สึกว่าคุ้มสุดๆ ทั้งช่วยเฝ้าและยังส่งถึงบ้าน ใครไม่มาก็โง่แล้ว
ดังนั้น สองสามีภรรยาจึงนำเก้าอี้คนละตัวมานั่งรอลูกค้าในโรงโม่
หลิวจี้ยังไปหยิบโต๊ะเล็กตัวหนึ่งมาจากบ้าน วางกาน้ำต้มสุกกับถ้วยสองใบไว้ คิดว่าเวลาว่างจะได้ดื่มน้ำริมแม่น้ำแบบคนในเมืองที่ชอบปล่อยอารมณ์ชมธรรมชาติ
เมื่อวานล่านกมาได้เยอะ ขนนกทั้งหมดฉินเหยาถอนออกมาตากแดด ตั้งใจจะเก็บไว้ทำถุงมือหรือผ้าพันคอในภายหลัง
ขนนกก็คือขน คงไม่ใช่ว่าใช้ทำเสื้อขนเป็ดไม่ได้เลยกระมัง
ตอนนี้ สองสามีภรรยานั่งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจิบน้ำต้มสุก อีกคนแยกขนนกไปพลางๆ รอลูกค้าคนแรกเข้ามาใช้บริการ
น้ำต้มสุกก็ดื่มไปสามแก้วแล้ว ขนกับปุยนกก็แยกเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมยังไม่มีใครมาเสียที
ฉินเหยาหันไปมองหลิวจี้ “ยุ่งจนไม่มีเวลาหรือ”
หลิวจี้เองก็ดูงงๆ “ต่อให้ยุ่งแค่ไหน ตอนเที่ยงเช่นนี้ก็น่าจะว่างบ้างกระมัง”
เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดว่าค่าบริการของพวกเขาแพงเกินไป!
ฉินเหยาว่า “รออีกหน่อยไหม”
หลิวจี้ดื่มน้ำต้มสุกแก้วที่สี่ตอบ “อืม”
ไม่ได้การ อั้นไม่ไหวแล้ว “เมียจ๋า เดี๋ยวข้ากลับมา!”
แต่พอเขากลับมาจากห้องส้วม โรงโม่ก็ยังไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว
สิ่งนี้ทำให้สองสามีภรรยาที่เคยมั่นใจสุดๆ เริ่มไม่แน่ใจ ฉินเหยาไม่ใช่คนที่จะนั่งรอความตายเฉยๆ จึงรีบไปดูที่บ่อน้ำของหมู่บ้านที่ผู้คนมักมารวมตัวกันว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่มีเพียงคนสองสามคนอยู่ที่นั่น ล้วนเป็นเด็กๆ
ฉินเหยาคว้าตัวจินฮวาไว้ ถามว่า “พวกผู้ใหญ่ไปไหนกันหมด” จินฮวาเรียกนางอย่างสนิทสนมว่า “อาสะใภ้” ก่อนชี้นิ้วเล็กๆ ไปทางศาลบรรพชน
ฉินเหยารีบเดินเร็วๆ ไปทางศาลบรรพชน แต่ยังไม่ทันถึงก็เห็นคานหาบใส่ธัญพืชเรียงกันเต็มหน้าโรงโม่ไปหมด
ทุกคนไม่อาจแน่ใจได้ว่าคนที่ใช้โรงโม่จะใช้เวลานานแค่ไหน และในบ้านหรือในไร่ก็มีงานต้องทำกันทั้งนั้นจึงเกิดวิธีใช้คานหาบใส่ธัญพืชมาวางจองคิวแทนเจ้าตัว
ยิ่งคานหาบธัญพืชที่เรียงกันยาวเท่าไรก็ยิ่งแสดงว่ามีคนต้องการใช้โรงโม่มากขึ้นเท่านั้น พอเห็นแถวคานหาบยาวเป็นทาง ฉินเหยาก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่
โรงโม่หินคนแน่นเพียงนี้ เหตุใดไม่มีใครยอมไปใช้โรงโม่น้ำของนางเลย
เกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่
ปัญหาน่ะมีจริงๆ ทั้งยังเป็นปัญหาใหญ่อีกด้วย
นางจางไปถางหญ้าในสวนผัก พอกลับบ้านผ่านริมแม่น้ำ นางก็มองเข้าไปที่โรงโม่น้ำโดยไม่รู้ตัว เดิมคิดว่าน่าจะคนเยอะมาก แต่กลับพบว่าโม่ไม่ได้หมุนและไม่มีคนเลย
นางรู้สึกแปลกใจ เพราะโรงโม่น้ำใช้ง่ายกว่าโรงโม่หินมาก นางเคยลองด้วยตัวเองเมื่อวาน แค่ยืนใส่ธัญพืชลงไปในโม่เท่านั้น ไม่เหนื่อยเลยสักนิด
ช่วงนี้น้ำในแม่น้ำมีมาก แรงดันน้ำทำให้โม่หมุนได้รวดเร็ว เมื่อวานนางหาบธัญพืชมาหนึ่งคาน ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วยามก็เสร็จแล้วซึ่งเร็วกว่าการโม่แบบเดิมเกือบเท่าตัว
“เหตุใดถึงไม่มีใครเลยเล่า” นางจางบ่นเบาๆ พลางเดินกลับบ้านด้วยสีหน้าสงสัย
พอก้าวเข้าบ้านก็ได้ยินนางเหอกับนางชิวที่กำลังทอผ้าบ่นกันว่า “ป้าโจวมาหาข้าแล้วบอกว่าโรงโม่น้ำของบ้านเจ้าสามคิดราคาสูงเกินไป คนในหมู่บ้านก็ล้วนเป็นญาติกันแท้ๆ จะมาหากำไรจากญาติด้วยหรืออย่างไร”
“เช้านี้นางยังตั้งใจจะไปโม่แป้งที่โรงโม่น้ำอยู่เลย พอได้ยินว่าหนึ่งชั่วยามต้องจ่ายห้าเหวิน นางก็เดินคอตกกลับไปที่โรงโม่หินแทน”
“อย่างไรอยู่บ้านว่างๆ ก็เสียเปล่า โรงโม่หินไม่ต้องเสียเงิน นางยอมเหนื่อยหน่อยก็ไม่เห็นเป็นอะไร”
เมื่อฟังนางเหอเล่าอย่างมีสีสัน นางชิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกไม่พอใจแทนครอบครัวตนเอง
“โรงโม่น้ำของบ้านเจ้าสามไม่ใช่ลมหอบเอามานะ พวกเขายังใช้เงินลงทุนไปเป็นตำลึง นางจะไม่จ่ายแล้วยังอยากใช้งานเปล่าๆ หรือ มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ที่ไหนกัน”
นางเหอแค่นเสียง “เจ้าก็รู้นี่ว่าคนผู้นั้นขี้เหนียวเพียงใด นางก็เป็นเช่นนี้แหละ”
“เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางเหนื่อยไปเถอะ” นางชิวหัวเราะ
“แต่ว่า…” พอนึกถึงราคาหนึ่งชั่วยามห้าเหวิน นางชิวก็รู้สึกอึดอัดในใจ “สำหรับครอบครัวชาวบ้านอย่างเรา ห้าเหวินก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ นะ”
นางเหอคิดในใจก็เพราะโรงโม่ของบ้านเจ้าสามให้พวกนางใช้เปล่าได้ พวกนางถึงได้มองว่ามันดี
แต่หากต้องจ่ายเงินเพื่อเช่าโรงโม่น้ำ คิดไปคิดมาก็ยังยอมเหนื่อยหน่อย ค่อยๆ ใช้โรงโม่หินโม่เองดีกว่า
แน่นอนว่าในโอกาสพิเศษ เช่น งานแต่งหรืองานศพที่ต้องใช้ธัญพืชจำนวนมากก็สามารถยอมจ่ายเงินเล็กน้อยเพื่อเช่าโรงโม่น้ำได้
แต่ก็เป็นแค่ครั้งคราวเท่านั้น
ไม่อยากจ่ายเงินยังเป็นแค่เหตุผลหนึ่งเท่านั้น
ยังมีเหตุผลที่สองอีก
อย่าว่าห้าเหวินจะแลกกับข้าวกล้องหนึ่งจินเลย แต่คนในหมู่บ้านที่เคยชินกับความลำบาก พอจู่ๆ ต้องเอาข้าวเยอะขนาดนี้ไปแลกกับความสะดวกสบายกลับรู้สึกเหมือนกำลังทำเรื่องผิดศีลธรรม
หากสะใภ้บ้านไหนกลัวเหนื่อยหรือกลัวลำบากแล้วเอาห้าเหวินไปเช่าโรงโม่น้ำใช้ กลัวว่าบุรุษในบ้านหรือแม่สามีคงจะชี้หน้าด่ากันจนไม่มีที่ยืน!
นางจางฟังการสนทนาของสะใภ้ทั้งสองจึงเข้าใจว่าเหตุใดโรงโม่น้ำถึงไม่มีคน
นางเดาว่าพวกเจ้าสามคงยังไม่รู้เหตุผล
นางเรียกหลานชายคนโตที่กำลังจับตั๊กแตนให้ไก่อยู่ที่ริมคันนาให้มาหาแล้วส่งเขาไปบอกข่าว
จินเป่าหัวเราะร่า รีบไปอย่างดีใจ เพราะตั้งใจจะชวนต้าหลางกับพวกไปจับตั๊กแตนด้วยกัน คนเยอะจะได้สนุกกว่า
พอรู้ความจริง หลิวจี้ถึงกับกระโดดด้วยความโมโห “แค่นี้ยังไม่กล้าจ่ายก็สมควรเหนื่อยแล้ว!”
ฉินเหยาดูใจเย็นกว่า แต่ก็ไม่มากนัก
“ลดราคาลง เหลือสามเหวินต่อหนึ่งชั่วยาม อย่างน้อยก็น่าจะมีคนมาแล้ว…ใช่ไหม” ฉินเหยาพูดอย่างไม่มั่นใจนัก
นางให้หลิวจี้ไปประกาศในหมู่บ้านแล้วเช้าวันรุ่งขึ้นก็กลับมานั่งรออีกครั้ง
ตั้งแต่เช้าจรดเย็น มีเพียงอวิ๋นเหนียงบ้านพ่อค้าหาบเร่หลิวที่นำข้าวสาลีที่ร่อนเปลือกแล้วหนึ่งถังมาโม่เป็นแป้ง
โรงโม่น้ำมีประสิทธิภาพสูง ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ช่วยนางโม่แป้งเสร็จได้ค่าตอบแทนเป็นฟักเขียวเล็กสองลูก
เนื่องจากครึ่งชั่วโมงยังไม่ถึงค่าใช้จ่ายหนึ่งเหวิน อวิ๋นเหนียงจึงบอกให้หลิวจี้ไปเก็บฟักเล็กที่สวนผักของนางเมื่อไรก็ได้
ตกค่ำ ครอบครัวหกคนดื่มโจ๊กข้าวขาว กินคู่กับฟักต้มใสจานหนึ่ง ทั้งหมดกินอาหารกันอย่างไร้รสชาติ
“ลดอีก!” ฉินเหยายังไม่เชื่อว่าจะไม่มีใครอยากจ่ายเงินเพื่อประหยัดแรงและเวลา
หลิวจี้ถามด้วยเสียงสั่นๆ “จะลดเหลือเท่าไหร่
ฉินเหยากัดฟันตอบ “หนึ่งชั่วยามสองเหวิน!”
หลิวจี้จึงไปประกาศในหมู่บ้านอีกรอบ
ขอบคุณสวรรค์ หลิวต้าฝูมาแล้ว! เขานำธัญพืชหนักๆ ห้าสิบคานมุ่งหน้าไปยังโรงโม่น้ำ!
เขาต้องการร่อนเปลือกธัญพืชทั้งหมด
ฉินเหยาและหลิวจี้ต้อนรับหลิวต้าฝูด้วยความกระตือรือร้น หลังจากส่งเขากลับไปแล้ว หลิวจี้รับหน้าที่โม่ ส่วนฉินเหยารับหน้าที่แบก ทั้งสองร่วมมือกันอย่างลงตัวเป็นครั้งแรก ใช้เวลาเพียงสามวันครึ่งก็โม่ธัญพืชห้าสิบคานเสร็จและส่งถึงบ้านหลิวต้าฝู
สามวันครึ่ง ใช้เวลาไปทั้งหมดยี่สิบห้าชั่วยาม
เมื่อเห็นหลิวต้าฝูยิ้มร่าและยื่นเงินห้าสิบเหวินมาให้ ฉินเหยากลับยิ้มไม่ออกเลยสักนิด
คนตัวเล็กในใจนางตะโกนว่า ทำลายให้หมดเลยเถอะ!
MANGA DISCUSSION