ในหมู่บ้านตระกูลหลิวมีโรงโม่ข้าว ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวบ้านร่วมกันสร้างขึ้น ตั้งอยู่บนลานเรียบข้างศาลบรรพชนของหมู่บ้าน
พอถึงฤดูเก็บเกี่ยว สถานที่แห่งนี้ก็คึกคักที่สุด
ลานว่างเต็มไปด้วยพืชผลที่กำลังตากอยู่ โรงโม่เล็กๆ นั้นมีคนอยู่ทั้งด้านในและด้านนอก
แต่ละครอบครัวที่มาใช้โรงโม่ต้องต่อคิว โดยยึดตามหลักว่าใครมาก่อนก็ได้ใช้ก่อน ใครมาช้าก็ต้องต่อท้าย
ในโรงโม่มีหินโม่สามชุด ใช้งานตลอดปี ไม่เคยหยุดพักเลย ทุกวันล้วนมีคนมาใช้งานตลอด
เนื่องจากการโม่เป็นงานที่เหนื่อยมาก หากไม่รีบขายข้าว ส่วนใหญ่จะเลือกโม่ทีละนิดๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือรอให้ข้าวในโอ่งหมดแล้วค่อยมาโม่ให้พอกินอีกหนึ่งถึงสองเดือน
ที่ฉินเหยาเร่งรีบมาโม่ในครั้งนี้ เพราะข้าวในบ้านใกล้จะหมดแล้ว
ครั้งล่าสุดที่นางซื้อข้าวคือปลายเดือนสิบปีที่แล้ว หลังจากฤดูหนาวผ่านไป โอ่งข้าวก็แทบจะว่างเปล่า
การโม่ข้าวสาลีด้วยหินโม่ จริงๆ แล้วเป็นแค่การบดเปลือกด้านนอกให้แตก หลังจากนั้นต้องใช้เครื่องร่อนลมพิเศษเพื่อแยกเปลือกออกจากเมล็ดข้าวสาลีให้สะอาด ก่อนนำไปบริโภคได้
งานโม่ข้าวสาลีนี้ ฉินเหยาไม่คาดหวังพึ่งหลิวจี้คนไร้ประโยชน์ นางจึงปล่อยให้เขาอยู่บ้านทำอาหารแทนแล้วตัวเองหาบข้าวสาลีที่เพิ่งเก็บเกี่ยวไปยังโรงโม่
สิ่งที่เกษตรกรกังวลที่สุดคือผลผลิต ในโรงโม่แต่ละครอบครัวมักถามกันว่า “บ้านเจ้าปีนี้เก็บข้าวสาลีได้เท่าไหร่”
ทุกคนตอบว่ายังพอได้ เพราะสภาพอากาศไม่มีอะไรผิดปกติ เฉลี่ยหนึ่งหมู่จะเก็บเกี่ยวได้ประมาณสองร้อยจิน
ผลผลิตต่อหมู่นี้ไม่อาจเปรียบเทียบกับยุคหลังที่มีผลผลิตต่อหมู่ถึงหลักพันจินได้ แต่สำหรับพื้นที่อำเภอไคหยาง การเพาะปลูกแบบหยาบๆ แล้วยังได้ผลผลิตเท่านี้ นับว่าไม่เลวเลย
ในตอนนี้เอง ฉินเหยาก้มลงมองข้าวสาลีหนึ่งร้อยหกสิบจินของบ้านตนเอง ขนาดปลูกแบบตามมีตามเกิดก็ยังได้ผลผลิตเฉลี่ยแปดสิบจินต่อหมู่ นับว่าใช้ได้ทีเดียว
“ฉินเหนียง! ข้าเสร็จแล้ว เจ้าเข้ามาได้เลย”
ในโรงโม่ มีคนหนึ่งโม่เสร็จแล้วจึงตะโกนบอกฉินเหยาที่กำลังรอคิวอยู่ นางจึงรีบหาบข้าวสาลีเข้าไป
ในที่สุดก็มาถึงคิวของนาง
ครอบครัวก่อนหน้าทำความสะอาดเปลือกข้าวสาลีบนหินโม่จนเกลี้ยงก่อนจากไป ฉินเหยาที่แอบดูวิธีการโม่อยู่หน้าประตูมาก่อนแล้วจึงลองลงมือทำทันที รู้สึกว่านางน่าจะพอทำได้
แต่ถึงอย่างนั้น ประสิทธิภาพของการโม่ก็ยังเชื่องช้าเสียจนทำให้นางที่แม้มีแรงมากยังรู้สึกหงุดหงิด
ฉินเหยาใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มในการโม่ข้าวสาลีทั้งหมดหนึ่งร้อยหกสิบจิน
ด้วยความเร็วระดับนี้ คนรอบข้างล้วนมองด้วยความตกตะลึง หากเป็นคนธรรมดา คงพอจินตนาการได้ว่างานนี้จะเหนื่อยแค่ไหน
เมื่อนึกถึงเครื่องสีข้าวในยุคปัจจุบันที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ฉินเหยาที่กำลังหาบข้าวสาลีที่โม่เสร็จแล้วเดินกลับบ้านก็คิดในใจว่าจะมีวิธีใดบ้างที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของหินโม่ได้
หากเพิ่มประสิทธิภาพไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้ประหยัดแรงได้ก็คงจะดี
ใช้สัตว์ลากโม่ไม่ต้องพูดถึง ในหมู่บ้านวัวกับล่อถูกเลี้ยงดูเหมือนเป็นเทพเจ้า ไม่มีใครยอมให้มันมาลากโม่
ยิ่งไปกว่านั้น วัวม้าต้องกินอาหารทุกครั้งที่ขยับ ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายอีก
ขณะที่เดินข้ามสะพาน ฉินเหยาจู่ๆ ก็หยุดชะงัก มองไปที่น้ำในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว นางเกิดไอเดียขึ้นในทันที
แม่น้ำสายนี้ในหมู่บ้าน มีน้ำมากถึงสามในสี่ของปี นี่มันแหล่งพลังงานตามธรรมชาติชัดๆ!
ฉินเหยาเคยเข้าร่วมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำของฐานทัพ การออกแบบกังหันน้ำที่เหมาะกับแม่น้ำในหมู่บ้านตระกูลหลิวไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนาง
ยิ่งไปกว่านั้น นางเคยคิดหาวิธีหาเงินอยู่แล้ว หากสามารถสร้างหินโม่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังน้ำขึ้นมาได้ ในชนบทแบบนี้ย่อมเป็นที่ต้องการ
พอคิดได้ดังนี้ ฉินเหยาก็ตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
เนื่องจากชาวบ้านไม่มีเงินสดมากนัก นางจึงสามารถเก็บค่าบริการเป็นข้าวในสัดส่วนที่เหมาะสมได้ หากทำระยะยาว แค่หมู่บ้านตระกูลหลิวเพียงแห่งเดียวก็น่าจะได้ข้าวจำนวนไม่น้อย
เมื่อคนในบ้านมีไม่มาก หากนางออกล่าสัตว์เพิ่มเติมอีกนิด ก็น่าจะไม่ต้องลำบากทำไร่ทำนาอีกต่อไป
พอคิดว่าจะไม่ต้องทำไร่ ฉินเหยาก็ไม่อยากเสียเวลาอีกแม้แต่วินาทีเดียว นางหาบข้าวสาลีหนึ่งร้อยหกสิบจินวิ่งกลับบ้านทันที
หลิวจี้ยืมเครื่องร่อนลมมาจากเรือนเก่าเรียบร้อยแล้ว รอเพียงฉินเหยานำข้าวสาลีที่โม่เสร็จกลับมาเพื่อเริ่มร่อน
“กลับมาแล้วหรือ!”
หลิวจี้ยกน้ำร้อนมารับนางด้วยความยินดี วันนี้เมียของเขาไม่ให้เขาไปโม่ข้าวเอง นางช่างดีจริงๆ
ฉินเหยาวางคานไม้ลง ดื่มน้ำร้อนอึกใหญ่ก่อนคืนชามให้หลิวจี้
“ข้าวสาลีโม่เสร็จแล้ว เจ้าร่อนออกนะ ส่วนข้าจะไปบ้านช่างไม้หลิวหน่อย ตอนเที่ยงเก็บข้าวไว้ให้ข้าด้วย อาจจะกลับช้าหน่อย”
นางสั่งงานเสร็จก็หันหลังออกจากบ้านทันที มุ่งหน้าไปยังบ้านช่างไม้หลิว
บ้านของช่างไม้หลิวตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้าน ใกล้กับบ้านของหลิวต้าฝูมาก ครั้งก่อนที่โจรภูเขาเผาหลังบ้านหลิวต้าฝูก็เกือบลามไปถึงไม้ของช่างไม้หลิว
โชคดีที่ทุกคนช่วยกันดับไฟได้ทันเวลา ทำให้ไม้ของเขาไม่ได้รับความเสียหาย
ตอนนี้ฉินเหยาต้องการสร้างกังหันน้ำ วัสดุที่ต้องใช้ก็มีพร้อมอยู่แล้ว
เมื่อฉินเหยามาถึง ครอบครัวช่างไม้หลิวเพิ่งทานอาหารเช้าเสร็จไม่นาน คนในบ้านนอกจากช่างไม้หลิวที่ยังขัดไม้ คนอื่นๆ ก็กำลังยุ่งอยู่กับการตากข้าวสาลีและร่อนข้าว
ครั้งก่อนฉินเหยาเคยให้แบบร่างเตียงสองชั้นแก่ช่างไม้หลิว ซึ่งทำให้เขาดีใจมาก คราวนี้พอเห็นฉินเหยา เขาก็เดาว่านางคงมีความคิดใหม่ๆ อีกจึงรีบพานางเข้าไปในบ้านอย่างกระตือรือร้น พร้อมถามว่านางอยากให้ทำเครื่องเรือนอะไร
ฉินเหยาเดินผ่านเศษขี้เลื่อยไม้ที่กระจายอยู่เต็มพื้นจนมาถึงโต๊ะใหญ่ของช่างไม้หลิว นางหยิบพู่กันและหมึกขึ้นมาอย่างชำนาญแล้วร่างภาพแบบคร่าวๆ ของกังหันน้ำลงบนแผ่นไม้เก่าชิ้นหนึ่ง
นางส่งสัญญาณให้ช่างไม้หลิวเข้ามาใกล้ๆ แล้วชี้ที่แบบร่างอธิบายว่า “ข้าต้องการสร้างกังหันน้ำตั้งตรงแบบนี้เพื่อใช้หมุนหินโม่ ข้าดูความสูงของน้ำที่หน้าบ้านข้าแล้ว ทำขนาดเท่านี้ก็พอแล้ว…”
นางยกมือประมาณขนาดซึ่งสูงพอๆ กับตัวของนาง
ช่างไม้หลิวไม่เคยเห็นสิ่งประดิษฐ์แบบกังหันน้ำมาก่อน เมื่อได้ยินฉินเหยาบอกว่ากังหันน้ำนี้จะใช้ความต่างระดับของน้ำในการสร้างพลังงานเพื่อหมุนหินโม่หนักๆ เขาก็นึกภาพไม่ออกว่าเป็นอย่างไร
โชคดีที่ฉินเหยาอธิบายหลักการทำงานซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างอดทน จากนั้นก็ใช้อุปกรณ์ไม้เก่าในบ้านของช่างไม้หลิวสร้างต้นแบบเล็กๆ เพื่อสาธิตผลลัพธ์ให้ดู เมื่อรวมกับความเข้าใจที่ยอดเยี่ยมของช่างไม้หลิว เขาก็เข้าใจทันทีพร้อมอุทานด้วยความตกใจว่า
“ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสิ่งประดิษฐ์ที่ชาญฉลาดเช่นนี้ ฉินเหนียงจื่อ เจ้าเห็นสิ่งนี้มาจากที่ใดหรือ”
ฉินเหยาตอบว่า “ตอนข้ายังเด็ก ข้าเคยเห็นสิ่งนี้ในหนังสือเกี่ยวกับการชลประทานเล่มหนึ่ง”
ช่างไม้หลิวส่งเสียงรับคำแล้วไม่ถามอะไรต่อ
เพราะความรู้หรือเทคนิคเฉพาะตัวนั้นมักเป็นสิ่งที่แต่ละบ้านหวงแหน การซักไซ้มากเกินไปอาจถือว่าล่วงเกินกฎเกณฑ์ของคนอื่น
สิ่งที่ฉินเหยาชอบที่สุดในตัวช่างไม้หลิวก็คือ เขาไม่ซักถามจนเกินเหตุ ทำให้นางไม่ต้องเสียเวลาอธิบายมาก
หลังจากเข้าใจหลักการแล้ว ครั้งนี้ฉินเหยาใช้งานแบบคร่าวๆ อธิบายอีกครั้ง ช่างไม้หลิวก็เข้าใจทันทีว่านางต้องการอะไร
นอกจากกังหันน้ำแล้ว ยังต้องเลือกไม้ทั้งต้นที่แข็งแรงสำหรับทำเพลาเพื่อรองรับแรงกระแทกจากกระแสน้ำและถ่ายโอนพลังงานไปยังแขนหมุนของหินโม่
ฉินเหยากล่าวว่า “ไม่ต้องทำให้ซับซ้อนมาก ขอแค่ระบบขับเคลื่อนทั้งหมดทำงานได้ก็พอ”
ช่างไม้หลิวมองดูภาพร่างคร่าวๆ บนแผ่นไม้เก่า พร้อมเตือนนางว่า “ถ้าจะทำสิ่งนี้ คงต้องใช้วัสดุคุณภาพดีไม่น้อย ฉินเหนียงจื่อควรเตรียมเงินไว้ด้วย”
ฉินเหยาเดิมทีอยากจะโบกมือแล้วพูดว่าไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน!
แต่น่าเสียดายที่กระเป๋าเงินของนางแบนแฟบจึงต้องถามราคาคร่าวๆ อย่างระมัดระวัง
ช่างไม้หลิวบอกว่า ถือเป็นการตอบแทนที่นางทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตา เขาจะทำให้ก่อนโดยไม่คิดค่าแรง แต่เฉพาะค่าวัสดุก็ต้องใช้อย่างน้อยหนึ่งตำลึงเงิน
ฉินเหยาตัดสินใจแน่วแน่ “ทำเลย!”
MANGA DISCUSSION