ฉินเหยาถอนหายใจ
ช่วงนี้นางพยายามคิดวิธีหาเงินมาตลอด แต่คิดไปคิดมากลับทำได้เพียงนำเอ็นวัวสองเส้นมาทำหนังยาง นอกจากนั้นก็ยังทำอะไรไม่ได้เลย
“อย่างนั้นก็ลองดู?” ฉินเหยาเอ่ยอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนัก
หลิวเหล่าฮั่นตบต้นขาดังฉาด “งั้นตกลงตามนี้ เจ้ากับเจ้าสามคุยกันเอาเองนะ ข้าขอกลับบ้านก่อน”
ข้าวสาลีที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมายังต้องตากแดดให้แห้ง หลังจากนั้นยังต้องเอาไปโม่อีก
เท่านั้นยังไม่พอ ต้องรีบไปหาผู้ใหญ่บ้านเพื่อขอยืมวัวมาไถนา นี่ถึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้
หากไม่มีวัว อาศัยแรงคนล้วนๆ มาไถนา ที่ดินกว่าร้อยหมู่คงไถจนคนหมดแรงตายเสียก่อน
หลิวจี้มองส่งบิดาจนลับสายตา จากนั้นจึงเดินกลับเข้าลานบ้าน
สองสามีภรรยาสบตากัน เหมือนหลิวจี้จะพอเดาออกว่าฉินเหยาจะพูดอะไร เขาจึงรีบพูดขึ้นก่อนว่า “เมียจ๋า ข้าวสาลีสองหมู่นั่นของเรา เอาไปขายดีไหม”
ฉินเหยานึกในใจ ฉลาดนักนะเจ้า
“เจ้าก็ไม่ดูเลยว่าที่ดินของเรานั่นหญ้าเยอะยิ่งกว่าข้าวสาลีเสียอีก จะมีใครอยากได้กัน” หลายเดือนแล้วที่ไม่ได้ไปดูที่นาเลย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหญ้าคงมีมากกว่าข้าวแน่นอน
ฉินเหยากำชับว่า “พรุ่งนี้เช้าไปดูที่นากัน”
“ไปด้วยกันหรือ” ไม่ใช่ให้เขาไปคนเดียวหรือ
หลิวจี้หัวเราะฮี่ๆ “อย่างนั้นก็ได้”
ไม่ได้ก็ต้องได้แล้ว ฉินเหยามองท้องฟ้าพลางคิดว่าทิวทัศน์ในชนบทนี่ช่างงดงามเสียจริง ท้องฟ้าสีฟ้าสดใสไร้สิ่งปนเปื้อน ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ทุ่งดอกไม้หลากสีบานสะพรั่งไปทั่วภูเขา สายลมอ่อนพัดผ่านโชยมา เมื่อลองสูดลมหายใจลึกๆ ความสดชื่นก็อบอวลไปถึงหัวใจ
สองสามีภรรยาเดินเข้าไปในครัว คนหนึ่งทำอาหาร ส่วนอีกคนเข้าไปในห้องเก็บของเพื่อหาเครื่องมือการเกษตร
ฉินเหยาค้นดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบเคียวขึ้นสนิมแล้วมาสองเล่ม ไม้หาบอีกสองอัน จอบอีกหนึ่งเล่ม ทั้งหมดนี้คือเครื่องมือการเกษตรที่มีแล้ว
ฉินเหยาเคยไปเรือนเก่าตระกูลหลิวหลายครั้ง นางจำได้ว่าโรงเก็บเครื่องมือการเกษตรที่นั่นมีเครื่องมือหลากหลายแบบ เช่น คราด จอบใบกว้าง และอื่นๆ ที่นางไม่รู้จักชื่อ
อย่างไรก็ตาม ลำพังแค่จอบก็มีหลายแบบแล้ว ทั้งสำหรับถางหญ้า ขุดร่องน้ำ หรือถางที่รกร้าง
ฉินเหยาหยิบหินลับมีดออกมา เติมน้ำใส่กะละมัง วางเก้าอี้ตัวเล็กลงแล้วนั่งอยู่ข้างรางน้ำหน้าครัว เริ่มลับเคียวที่ขึ้นสนิม
เสียงลับเคียวดังเสียดหูเสียจนหลิวจี้ขนลุกไปทั้งตัว ฟังราวกับเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวคล้ายกำลังเตรียมตัวไปสังหารใครสักคนอย่างนั้น
เห็นได้ชัดว่านางต่อต้านการลงไปทำงานในไร่นา แต่เขาเองก็ไม่ต่างกัน
หลังคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลิวจี้ก็รวบรวมความกล้าพูดขึ้นอีกครั้ง “ไม่เช่นนั้นเราขายที่สองหมู่นั่นเถอะ หากราคาแพงไปไม่มีคนซื้อ เราก็ขายถูกหน่อยก็ได้”
“อย่างไรเมียจ๋าก็ล่าสัตว์เป็น ถึงฤดูใบไม้ร่วงก็เข้าป่าไปล่าหมีมาสักตัว แค่นั้นก็พอให้พวกเรากินดีอยู่ดีไปทั้งปีแล้ว จะลำบากเพียงนี้ไปทำไมกัน”
“หลิวจี้” คนที่หน้าประตูหันมามองเขาด้วยสายตาคมกริบ ขณะที่มือยังคงลับเคียวไม่หยุดพลางถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าคิดจะกินข้าวนิ่มไปตลอดเลยสินะ”
ไม่รอให้เขาตอบ นางก็โยนเคียวในมือลงในกะละมังน้ำเสียงดังโครมแล้วกล่าวว่า “พรุ่งนี้เจ้าต้องไปเกี่ยวข้าวสาลีสองหมู่นั่นคนเดียว หากหายไปสักเมล็ด…ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”
พูดจบ นางก็ก้าวยาวๆ ไปที่กลางลาน หยิบไม้กระบองขนาดเท่าช่วงแขนขึ้นมาแล้วเดินไปยังลานฝึกยุทธ์หลังบ้าน ควงกระบองอย่างดุเดือดจนเกิดเสียงลมหวีดหวิว
อยากจะกินข้าวนิ่มรึ ไม่ดูตัวเองเสียบ้างว่าคนไร้ประโยชน์เช่นเจ้านี้มีคุณสมบัตินั้นหรือเปล่า
หลิวจี้กำตะหลิวในมือแน่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฟืนยังไม่แห้งดีหรือเปล่าควันในเตาถึงทำให้ดวงตาของเขาแดงก่ำ
หรือเป็นเพราะความคับแค้นใจที่ไม่อาจระบายทะลักล้นออกมาจากดวงตากันแน่
หลิวจี้โยนตะหลิวลงในกระทะเหล็กร้อนฉ่าอย่างแรง ชีวิตเช่นนี้ข้าไม่อยากอยู่แล้ว!
ทั้งวันเอาแต่จะฆ่าแกงกัน ให้เขาตายไปเสียเลยยังจะดีกว่า!
เสียงตะหลิวเสียดสีกับกระทะดังลั่น ฉินเหยาคิดในใจ คิดต่อต้านสินะ พลางหยิบไม้กระบองอันใหญ่มุ่งหน้าไปที่ประตูครัวทันที
“เมียจ๋า เจ้าหิวแล้วหรือ เดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ เจ้าไปนั่งรอในโถงก่อนเถอะ ข้าจะยกอาหารไปให้เดี๋ยวนี้เลย”
ในห้องครัว อาหารกำลังปรุงอยู่ ชายหนุ่มสวมผ้ากันเปื้อน มือถือตะหลิวผัดอาหารอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันมายิ้มให้นางอย่างอบอุ่น
ตราบใดที่หลิวจี้ไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาด เพียงใบหน้านั้นของเขาก็สามารถชวนให้คนเกิดความรู้สึกดีด้วย ความโกรธสลายหายไปจนสิ้น
ฉินเหยาแค่นเสียง “นับว่าเจ้ายังรู้ตัว”
พูดจบ นางก็ถือไม้กระบองเดินจากไป
ชายหนุ่มในครัวยกชายเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก พลางขยับมือปรุงอาหารอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานผัดผักชามหนึ่งก็เสร็จเรียบร้อย
หลังจากนั้นเขาก็ผัดไข่อีกชามเพื่อให้มีทั้งอาหารคาวและผักครบถ้วน เมียจ๋าของเขาชอบกิน
หลังกินอาหารเย็นเสร็จ ท้องฟ้ายังไม่ทันมืดสนิท ฉินเหยาก็ไล่เด็กๆ ทั้งสี่ลงไปเก็บผักป่าที่ตีนเขากลับมา ถือเป็นการย่อยอาหาร
นางหยิบเมล็ดพันธุ์ผักที่นางจางให้มาเมื่อปีที่แล้วออกมาพร้อมทั้งคว้าจอบหนึ่งเล่ม เดินไปยังแปลงผักสองแปลงที่เตรียมไว้ที่เรือนหน้าพลางคิดวิธีปลูกผัก
วันๆ หนึ่ง ค่าใช้จ่ายในการซื้อผักหมดไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ช่วงนี้ผักของแต่ละบ้านล้วนมีไม่พอ จะซื้อก็ไม่มีขาย ต้องอาศัยน้ำใจจากคนอื่นที่ให้ผักมาบ้างเล็กน้อยถึงจะมีผักเขียวให้เห็นบ้าง
ดังนั้นในชนบท หากไม่ปลูกผักเองก็อยู่ยาก
ฉินเหยาพรวนดินแปลงผักทั้งสองแปลงสองรอบ พรวนจนดินร่วนซุยจนพร้อมสำหรับการขุดหลุมเพื่อลงเมล็ดพันธุ์
แต่พอนางพรวนดินเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดสนิทเสียแล้ว
น้ำมันตะเกียงก็เป็นของสิ้นเปลือง คบเพลิงก็ทำให้บ้านเป็นคราบเขม่าดำๆ บ้านที่เพิ่งซ่อมแซมใหม่จะให้สกปรกได้อย่างไร นางจึงหยุดพัก
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟ้าเพิ่งสาง หลิวจี้ก็ตื่นแล้ว แต่ร่างกายของเขากลับขัดขืนไม่อยากลุกจากผ้าห่มอุ่นๆ จนกระทั่งมีเสียงกระแอมเตือนดังมาจากห้องฉินเหยา เขาจึงต้องลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้
เขาเริ่มจากการนำแป้งที่หมักไว้เมื่อคืนไปนึ่ง ระหว่างรอก็หยิบไม้กวาดมากวาดลานหน้าบ้านและหลังบ้านให้สะอาด รอจนทำความสะอาดในโถงและห้องอาบน้ำเสร็จแป้งก็นึ่งสุกพอดี
คนในบ้านยังไม่ตื่น เขาจึงโชคดีได้กินหมั่นโถวร้อนๆ เป็นคนแรก
เมื่ออิ่มแล้ว เขาจึงหยิบผ้าผืนหนึ่งมาห่อหมั่นโถวสี่ลูก เตรียมน้ำหนึ่งกระบอกไม้ไผ่พร้อมด้วยคานไม้และเคียว เดินออกจากบ้านไปยังไร่ด้วยสีหน้าเหมือนกำลังเดินเข้าสู่สนามรบ
เขาออกไปตั้งแต่เช้าจนเย็น พระอาทิตย์เกือบตกดินแล้วถึงกลับมา
ระหว่างวัน ฉินเหยาเองก็ไม่ได้อยู่ว่าง นอกจากการฝึกประจำวันแล้ว นางยังปลูกผักในแปลงทั้งสองแปลงและรดน้ำจนเสร็จเรียบร้อย
นางถึงขั้นใช้ผ้าปิดจมูก เดินไปที่ส้วมตัก ‘ปุ๋ยทองคำ’ มารดให้ต้นไม้เพิ่ม หวังว่าเมล็ดพันธุ์เหล่านี้จะงอกงามเร็วๆ
พอหลิวจี้กลับมาก็ดึงดูดให้เกิดความฮือฮาในหมู่บ้าน ฉินเหยาไม่ต้องออกจากบ้านก็ได้ยินเสียงโวยวายดังแว่วมา
พวกต้าหลางรีบวิ่งออกไปในทันที ฉินเหยาวางกระบวยที่ถืออยู่ก่อนเดินตามออกไป
ทั้งห้าคนยืนอยู่ที่หน้าบ้าน เห็นหลิวจี้ที่บนศีรษะพันด้วยผ้าเช็ดเหงื่อ แบกฟางข้าวสาลีมาเต็มคานไม้ เดินหอบผ่านไร่เข้ามาอย่างทุลักทุเล
ชาวบ้านในไร่พากันตกตะลึง วิจารณ์ว่านี่ใช่เจ้าหลิวสามที่พวกเขารู้จักหรือไม่
แต่เมื่อมองดีๆ ในฟางสองมัดนั้น ข้าวสาลีกับหญ้าปนกันอย่างละครึ่ง ใช่แล้วล่ะ เป็นเขาแน่ๆ เพราะไม่มีใครในหมู่บ้านที่จะทำผิดพลาดถึงขั้นแยกข้าวสาลีกับหญ้าไม่ออกเช่นนี้
MANGA DISCUSSION