ฉินเหยาได้รับข้าวฟ่างคุณภาพดีสีเหลืองทองมาหนึ่งกระสอบ หนักห้าสิบจิน หากคำนวณเป็นเงิน เท่ากับครึ่งตำลึงเงินทีเดียว
หลิวจี้และบุตรชายทั้งสี่ตาเป็นประกาย เมื่อฉินเหยาส่งข้าวฟ่างมา หลิวจี้ก็รีบยื่นมือออกไปรับไว้พร้อมเอ่ยชมว่า “เมียจ๋า บ้านนี้หากไม่มีสตรีงดงามและจิตใจดีเช่นเจ้าจะอยู่กันได้อย่างไรนะ”
ฉินเหยากระทั่งกลอกตาใส่เขายังขี้เกียจจะทำ เพียงส่งสัญญาณให้เด็กทั้งสี่คนตามนางจากไป
หลิวไป่และหลิวเฝยได้ข้าวเปลือกหนักห้าสิบจินมาคนละกระสอบ รวมแล้วเป็นหนึ่งร้อยจิน แม้จะสีเอาเปลือกออกก็ยังเหลือมากเสียจนทำให้คนอื่นอิจฉาตาร้อนตายได้
สองพี่น้องเร่งตามมา แต่เพราะแบกข้าวหนักๆ จึงเดินได้ไม่เร็วนัก ได้แต่ตะโกนว่า “น้องสะใภ้ เจ้ารอก่อน!”
บ้านของทั้งสองครอบครัวไปทางเดียวกัน เดินไปด้วยกันจะได้มีเพื่อน
ฉินเหยาหยุดเดิน หลิวจี้เองก็หยุดตาม เมื่อได้ข่าวว่าพี่ใหญ่และหลิวเฝยผู้เป็นน้องชายก็ถืออาวุธเข้าร่วมต่อสู้ขับไล่พวกโจรไปได้ เขาก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ มองประเมินทั้งสองด้วยความประหลาดใจก่อนจะเอ่ยเหน็บว่า
“ไม่คิดเลยว่าจะมีช่วงเวลาที่พี่ใหญ่เป็นวีรบุรุษเช่นนี้ด้วย ก่อนหน้านี้ข้าดูแล้วเหมือนพี่รองจะเลือดร้อนกว่ากลับกลายเป็นว่าวันนี้เขาจะขี้ขลาดเสียอย่างนั้น”
หลิวไป่รู้นิสัยของเขาดีจึงไม่ได้ถือสา
แต่หลิวเฝยกลับไม่ยอมปล่อยผ่าน เอ่ยเสียดสีกลับว่า “หากไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้สามของข้า ท่านคงกลัวจนฉี่ราดกางเกงแล้วกระมัง ยังมีหน้ามาว่าพี่รองของข้าอีก ไม่อายบ้างหรือไร…”
“พี่รองของเจ้าก็เป็นพี่รองของข้าเหมือนกันมิใช่รึ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าเด็กนี่ยังมีหน้ามาพูดเหมือนเป็นสองบ้านเสียอีก” หลิวจี้หันไปยิ้มให้ฉินเหยา แสดงท่าทางไม่อยากถือสาเด็กน้อย
พูดพลางเข้าไปใกล้หลิวเฝย เอื้อมมือไปลูบกระสอบข้าวบนไหล่ของเขา พอรู้ว่าเป็นข้าวเปลือกก็ยิ่งได้ใจ
เขาตบกระสอบข้าวฟ่างบนไหล่ตนเองพลางเอ่ยว่า “ข้าวฟ่างสีเหลืองทอง ร่อนเปลือกแล้ว”
หลิวเฝยทนการยั่วยุของเขาไม่ไหวจึงหันไปมองพี่ใหญ่ด้วยความโมโห “พี่ใหญ่ ท่านไม่ปรามเขาหน่อยหรือ!”
“พอแล้ว!” หลิวไป่เองก็เริ่มรำคาญ “หุบปากกันทั้งหมดนั่นแหละ!”
หลิวจี้จึงรีบก้าวเท้าห่างออกจากหลิวเฝยไกลหน่อย
ฉินเหยาถามว่า “ธัญพืชที่ถูกปล้นไปจากบ้านได้กลับคืนมาหมดแล้วหรือยัง”
หลิวไป่ตอบรับ “ได้กลับมาหมดแล้ว เพียงแต่แม่ไก่สี่ตัวหายไปหนึ่งตัว ไม่รู้ว่าพวกโจรเอาไปหรือมีคนจับไปเชือดกินแล้ว”
“ท่านแม่บอกว่าแม่ไก่ที่เหลืออยู่อีกสามตัวตกใจกลัวจนไม่แน่ใจว่าจะออกไข่ได้อีกหรือเปล่า”
“อ้อ จริงด้วย ท่านพ่อกับท่านแม่ฝากมาบอกเจ้าว่าพรุ่งนี้เช้าให้มากินข้าวที่บ้าน ท่านแม่จะฆ่าไก่ตัวหนึ่งทำกับข้าว”
ได้ยินว่าทำเพื่อขู่ไก่ที่เหลืออีกสองตัวให้ตกใจ เผื่อมันจะกลับมาออกไข่ได้เหมือนเดิม
ฉินเหยารับคำ
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเรือนเก่า ครอบครัวฉินเหยาก็ไม่ได้เข้าไป แต่ตรงกลับบ้านตนเองทันที
โคมแดงที่ควรจะแขวนอย่างมีความสุขอยู่ใต้ชายคา ตอนนี้กลับถูกฉินเหยาถือไว้ในมือเพื่อส่องแสง
เมื่อมองจากระยะไกล ในความมืดดำมีเพียงแสงสีแดงที่ลอยอยู่ ดูแล้วชวนขนลุกเล็กน้อย
เด็กทั้งสี่จับมือกันเดินอยู่ระหว่างพ่อแม่ ครอบครัวหกคนย่ำหิมะเปียกชื้นหน้าบ้านก่อนจะกลับถึงบ้านในที่สุด
หลิวจี้ขนข้าวไปเก็บไว้ในห้องเก็บของข้างเตาไฟ ก่อนจะเริ่มทำงานในครัวอย่างจุดไฟต้มน้ำร้อนตามความเคยชิน
ทั้งครอบครัวล้อมรอบเตาไฟ ดื่มน้ำร้อนให้ร่างกายอบอุ่น ก่อนจะแยกย้ายกันเข้าห้องพักผ่อน
วันนี้วุ่นวายเสียจนสภาพจิตใจของทุกคนรับไม่ไหวแล้ว เมื่อหัวถึงหมอนก็หลับลึกในทันที
รุ่งสาง ยังไม่ทันฟ้าสว่าง ขบวนทหารในเครื่องแบบราชการกลุ่มหนึ่งก็ขี่ม้า ถือคบเพลิง เดินทางเข้าสู่หุบเขา แสงจากคบไฟเรียงรายกันบนเส้นทางสายเล็กต่อเนื่องกันเป็นมังกรไฟตัวยาวตัวหนึ่ง
ฉินเหยาตื่นขึ้นเพราะเสียงกีบเท้าม้า ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงแว่วมาจากฝั่งศาลบรรพชนจึงคิดว่าทหารคงมาถึงแล้ว นางจึงพลิกตัวเพื่อนอนต่อ
รอจนนางตื่น ทหารส่วนใหญ่ก็จากไปแล้วเหลือเพียงเจ้าหน้าที่สองคนยังอยู่ที่ศาลเพื่อสอบถามเหตุการณ์กับพวกชาวบ้าน
หลิวจี้เรียกเด็กทั้งสี่ให้ตื่น สวมเสื้อผ้าหนาๆ ให้ความอบอุ่น ล้างหน้าล้างตาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เร่งให้ฉินเหยาออกจากบ้าน
เขาจะรีบไปดูความครึกครื้นเสียหน่อย เสร็จแล้วจะได้รีบไปดื่มน้ำแกงไก่ที่เรือนเก่าด้วย
พ่อลูกห้าคนวิ่งเหยาะๆ ไปบนถนนที่หิมะเริ่มละลายจับตัวกันเป็นน้ำแข็ง ฉินเหยามองดูพวกเขาพากันลื่นล้มด้วยท่วงท่าน่าขัน ในใจรู้สึกปลอดโปร่งถึงขั้นอยากจะหัวเราะออกมา
เอ้อร์หลางโทษซานหลาง ส่วนซานหลางก็พึมพำว่าเป็นเพราะพี่ใหญ่ถึงล้ม ขณะที่ต้าหลางถลึงตาใส่บิดาด้วยความขุ่นเคือง ท่านพ่อต่างหากที่เป็นตัวต้นเหตุ
ซื่อเหนียงตะโกนลั่น “ข้าไม่เล่นกับพวกท่านแล้ว!”
นางลุกขึ้นมาปัดก้นยืนนิ่งด้วยความน้อยใจอยู่ตรงนั้นรอฉินเหยาเดินมาหา นางจะเดินไปกับท่านแม่
ม้าและศพที่พวกโจรทิ้งเอาไว้ถูกเจ้าหน้าที่นำกลับไปหมดแล้ว
เมื่อมาถึงศาลบรรพชน ฉินเหยาและคนอื่นๆ ถึงเพิ่งรู้ว่า ก่อนพวกโจรจะมาที่หมู่บ้านตระกูลหลิวนั้น พวกมันได้ปล้นชิงหมู่บ้านใกล้เคียงที่ชื่อวังเจียอ่าวจนเกลี้ยงไปแล้ว
จำนวนประชากรในหมู่บ้านนั้นมีจำนวนใกล้เคียงกับหมู่บ้านตระกูลหลิว แต่เพราะไม่มีใครเป็นผู้นำเช่นฉินเหยาพวกเขาจึงไม่อาจต่อต้านพวกโจรได้ ธัญพืช สัตว์เลี้ยง เงินทอง สตรีและเด็กล้วนถูกปล้นชิงไปจนหมด
ก่อนพวกโจรจะจากไป พวกมันยังจุดไฟเผาศาลบรรพชนของวังเจียอ่าวจนพังยับเยินอีกด้วย
การกระทำอันเลวร้ายเช่นนี้ ช่างชวนให้ผู้คนขนลุกขนพองเสียจริง
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ โจรที่มายังหมู่บ้านตระกูลหลิวเมื่อวานนี้เป็นเพียงหน่วยย่อยหน่วยหนึ่งเท่านั้น
กลุ่มโจรกลุ่มนี้มีจำนวนกว่าร้อยคน เป็นกลุ่มปล้นสะดมที่มีการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นระบบ
กองกำลังหลักปล้นหมู่บ้านวังเจียอ่าวเสร็จแล้วกลับไปฉลองกันบนค่ายโจร ทิ้งหน่วยย่อยที่มายังหมู่บ้านตระกูลหลิวเมื่อวานนี้ให้ค้นหาสิ่งของในหมู่บ้านรอบๆ
เมื่อได้ยินข้อมูลเหล่านี้ หลิวจี้ถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก
ทุกคนต่างพากันโล่งอกที่เมื่อวานนี้เป็นเพียงหน่วยย่อยที่มา ไม่เช่นนั้นโศกนาฏกรรมเช่นหมู่บ้านวังเจียอ่าวคงเกิดขึ้นในหมู่บ้านตระกูลหลิวแน่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สองคนที่เหลืออยู่ก็บอกว่า นายอำเภอและรองนายอำเภอได้รับแจ้งเหตุเมื่อคืน พวกเขาไม่อยู่ฉลองปีใหม่ด้วยซ้ำก็รีบส่งคนไปยังหมู่บ้านและตำบลข้างเคียงอำเภอไคหยางเพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนระวังตัว
พร้อมกันนั้นก็ส่งเรื่องถึงท่านผู้ว่าการ ขอให้ทหารในค่ายใกล้กับศาลากลางจัดกำลังพลเพื่อมาปราบโจรทันที
ฟังดูแล้วก็ชวนให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้าง อย่างน้อยทางการก็ยังให้ความสนใจและลงมือจัดการ
ไม่จัดการก็ไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่เพียงกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุเดี่ยวๆ แต่เป็นรังโจรที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ความร้ายแรงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แคว้นเซิ่งเพิ่งสถาปนาราชวงศ์ใหม่ ขณะนี้อำนาจรวมศูนย์อยู่ในมือจักรพรรดิ หากราชสำนักรู้ว่าแม้แต่โจรภูเขากลุ่มเดียวแต่ละมณฑลก็ยังไม่สามารถจัดการได้ ความพิโรธขององค์จักรพรรดิย่อมนำมาซึ่งปัญหาใหญ่หลวง
เจ้าหน้าที่สองคนที่เหลืออยู่ในศาล หลังจัดการงานเสร็จก็รับเพียงซาลาเปาแป้งขาวสองลูกจากภรรยาผู้ใหญ่บ้านและปฏิเสธคำเชิญของหลิวต้าฝูที่อยากให้พวกเขาอยู่ทานมื้อเที่ยง
ก่อนจากไป ทั้งสองมองฉินเหยาด้วยสายตาสื่อว่านางเองก็ไม่ได้มีสามเศียรหกกรเสียหน่อย พยักหน้าให้นางเล็กน้อย ก่อนพลิกตัวขึ้นม้าแล้วควบจากไป
“ไม่มีอะไรแล้ว แยกย้ายกันเถอะ หิมะกำลังจะละลายแล้ว ยังมีงานไถพรวนฤดูใบไม้ผลิให้ทำอีก”
ผู้ใหญ่บ้านเดินมาที่ประตูศาลบรรพชน โบกมือให้ทุกคนกลับบ้านตนเองไปเสีย
เมื่อได้ยินคำว่าไถพรวนฤดูใบไม้ผลิ ฉินเหยาถึงกับสะดุ้ง
นางนึกถึงทุ่งข้าวสาลีสองหมู่ที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรขึ้นมา กระทั่งน้ำแกงไก่หอมกรุ่นที่นางจางเคี่ยวมาตลอดทั้งเช้ายังพลอยจืดชืดไปด้วย
เมื่อเห็นนางนิ่งไม่ขยับ หลิวจี้ที่กินน้ำแกงหมดแล้วก็หน้าด้านเข้ามาถามว่าอยากให้เขาช่วยกินหรือไม่ เขาไม่รังเกียจ
ฉินเหยาตะคอกเสียงเย็นทันที “ไสหัวไป!”
หลิวจี้ “ได้จ้า~”
…
ในเดือนถัดมา ทหารเข้ามาที่หมู่บ้านสองสามครั้ง แต่ละครั้งล้วนมาสอบถามเกี่ยวกับจำนวนโจรภูเขา ลักษณะรูปร่าง และเบาะแสของพวกมัน
ผู้ใหญ่บ้านตอบคำถามทุกครั้งอย่างจริงจัง และเพราะเจ้าหน้าที่ทางการแวะมาเป็นระยะๆ ความกังวลของชาวบ้านจึงค่อยๆ ลดลง ทุกคนล้วนมุ่งความสนใจไปที่การเริ่มไถพรวนรอบใหม่
MANGA DISCUSSION