เมื่อถึงเวลา เจ้าหน้าที่ในชุดเครื่องแบบทางการสองคนก็เดินออกมาเพื่อดูแลความเรียบร้อย
จากนั้นมีคนเปิดประตูคอกวัวด้านหลังแล้วจูงวัวออกมาทีละตัว
วัวแต่ละตัวถูกนำออกมาให้ดูก่อนรอบหนึ่ง จากนั้นก็ติดป้ายไม้ทำเครื่องหมายพร้อมเขียนราคาไว้ ใครต้องการซื้อก็จ่ายเงินและพาไปได้
แน่นอนว่าทุกคนจะต้องต่อรองราคากันก่อน
ฉินเหยาไม่เห็นมีการเชือดวัวจึงรู้ว่าไม่มีสิ่งที่นางต้องการ นางยกเท้าถีบหลิวจี้ที่กำลังจะเดินเข้าไปดูวัว
“ไปเถอะ ไปโรงฆ่าสัตว์!” ฉินเหยากล่าว
หลิวจี้อดกลั้นความเจ็บที่หน้าแข้ง หันไปมองวัวเหล่านั้นพลางส่ายหัว ทำท่าเหมือนไม่พอใจจากนั้นจึงหันหลังเดินตามฉินเหยาและเด็กทั้งห้าคนไป
ฉินเหยาอุ้มซานหลางกับซื่อเหนียงยัดใส่อ้อมแขนของเขา “คนเยอะ เจ้าดูลูกให้ดี พาพวกเขาไปรอข้าอยู่ริมทาง”
ช่วงเช้าคือเวลาที่โรงฆ่าสัตว์คึกคักที่สุด หมู วัว และแกะในเมืองมักถูกนำมาเชือดในเวลานี้
เนื้อวัวเป็นสิ่งที่หาได้ยากที่สุด เพราะวัวที่ใช้ไถนามีมูลค่าสูง จะถูกนำมาเชือดก็ต่อเมื่อมันป่วยตายหรือทำงานไม่ไหวแล้ว
ฉินเหยาคิดว่าตนเองโชคดีพอสมควร เพราะวันนี้มีการเชือดวัวถึงสองตัว
เนื้อวัวที่เพิ่งเชือดใหม่ๆ ถูกนำมาขายทันที ร้านค้าต่างๆ ตั้งแผงของตนไว้และซื้อขายกันอย่างอิสระ
ฉินเหยาซื้อเอ็นวัวจากวัวทั้งสองตัวเป็นที่เรียบร้อย โดยใช้เงินไปทั้งหมดห้าสิบเหวิน
เมื่อจัดการเรื่องสำคัญที่สุดของการเข้าเมืองเสร็จสิ้น ฉินเหยาก็อารมณ์ดีกลับไปหาหลิวจี้และเด็กๆ ทั้งห้าคนที่รออยู่ริมถนนพร้อมพาพวกเขาไปซื้อถ่านและพาเด็กๆ เดินเที่ยว
ซื่อเหนียงที่ถูกท่านพ่ออุ้มอยู่มองเห็นได้ไกล นางเป็นคนแรกที่เห็นร้านขายถังหูลู่จึงรีบดึงปกเสื้อของบิดาพร้อมร้องว่า “ท่านพ่อ ซื้อถังหูลู่!”
หลิวจี้นึกว่านางบอกให้เขาซื้อให้ เขาเหลือบมองฉินเหยาก่อน เมื่อเห็นนางพยักหน้า เขาจึงเรียกคนขายถังหูลู่ให้หยุด วางซานหลางกับซื่อเหนียงลงแล้วควักเงินซื้อถังหูลู่ให้เด็กทั้งสี่คนคนละไม้
หลังจากซื้อเสร็จ หลิวจี้ยังไม่ลืมกำชับฉินเหยาว่า “แปดเหวินนะ อย่าลืมคืนข้าด้วย เงินนี้เป็นค่าซื้อกับข้าวของบ้านเรา”
ฉินเหยาหงุดหงิดที่สุดที่เห็นเขาทำตัวตระหนี่แบบนี้จึงพยักหน้าด้วยความรำคาญ
พี่น้องทั้งสี่ดีใจกันยกใหญ่ ไม่คิดว่าท่านพ่อจะยอมควักเงินซื้อให้ เพราะแต่เดิมพวกเขาตั้งใจจะใช้เงินสองเหวินที่ได้มาจากการสอนท่านพ่อทำอาหารมาซื้อกินเอง
แต่ดีเหลือเกิน ตอนนี้ทุกคนได้กันคนละหนึ่งไม้ ความสุขที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้พวกเขายิ้มกว้างจนหน้าบาน
“ท่านแม่ ท่านกินก่อน” ซื่อเหนียงเขย่งเท้ายื่นถังหูลู่ให้สูงขึ้นพลางมองฉินเหยาด้วยความคาดหวัง
ลูกซานจาสีแดงสดที่เคลือบด้วยน้ำตาลเป็นมันแวววาว ดูดึงดูดมากเป็นพิเศษ
ในเมื่อเป็นน้ำใจจากบุตรสาว ฉินเหยาจึงไม่ปฏิเสธ
กัดไปคำแรก น้ำตาลเคลือบกรอบจนส่งเสียงดังกร๊อบ ประกอบกับความเปรี้ยวกรอบของลูกซานจา รสชาติถือว่าใช้ได้ทีเดียว
“ท่านแม่ อร่อยไหม” ซื่อเหนียงถามด้วยความคาดหวัง
เมื่อเห็นฉินเหยากิน นางก็ดีใจยิ่งกว่าตนเองได้กินเสียอีก
ฉินเหยาพยักหน้าตอบ “อร่อย” พร้อมส่งสัญญาณให้เด็กน้อยลองชิมดู
ซื่อเหนียงตัวเล็ก ปากเล็ก กัดไม่เข้า เปลือกน้ำตาลแข็งเสียจนต้องเลียให้ละลายก่อนถึงจะกัดลูกซานจาได้คำเล็กๆ
นี่เป็นรสเปรี้ยวหวานที่นางไม่เคยลิ้มลองมาก่อน ซื่อเหนียงตาเป็นประกายพลางอุทานว่า “ว้าว”
ท่าทางน่ารักเช่นนี้ชวนให้คนเอ็นดู ฉินเหยาจึงอุ้มนางขึ้นมา
ซานหลางถือถังหูลู่เดินตามฉินเหยามาสักพักแล้ว เมื่อเห็นท่านน้าไม่สนใจตัวเอง เด็กน้อยก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา
ทันใดนั้น ฉินเหยาหันกลับมาและอุ้มเขาขึ้นด้วย
ความเศร้าบนใบหน้าของซานหลางเปลี่ยนเป็นความดีใจในทันที เขายื่นถังหูลู่ให้ฉินเหยาราวกับยื่นสมบัติอันล้ำค่าให้
ฉินเหยากินเข้าไปอีกคำหนึ่ง
ไม่ทันไร ต้าหลางและเอ้อร์หลางก็เลียนแบบ ยืนกรานให้ฉินเหยาลองชิมของพวกเขาด้วย
ฉินเหยาหัวเราะ นางเองก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เพราะใครจะปฏิเสธขนมได้เล่า
เมื่อถังหูลู่อีกสองเม็ดลงท้อง ฉินเหยาก็เอ่ยด้วยความพอใจ “ไม่เลวๆ คราวหน้ามาซื้ออีกนะ”
“ซื้ออีกหรือ” หลิวจี้จับถุงเงินที่แบนลงของตนเองไว้แน่น ซื้อไม่ได้แล้วนะ!
ฉินเหยาแค่นเสียงใส่เขา
เด็กทั้งสี่ก็พร้อมใจกันทำหน้าล้อเลียนใส่เขา
หลิวจี้จับหน้าอกตนเองเพราะสะเทือนใจครั้งใหญ่
เงินเขาเป็นคนจ่าย แต่กลับไม่ได้กินถังหูลู่แม้แต่เม็ดเดียว ไม่ยุติธรรมเลย!
“ท่านพ่อ ให้ท่าน” ต้าหลางที่เห็นท่านพ่อดูน่าสงสารนัก และกลัวว่าความขุ่นเคืองนั้นจะทำให้แม่เลี้ยงรังเกียจ จึงยื่นถังหูลู่สองเม็ดสุดท้ายของตนให้บิดาเพื่อปลอบใจ
หลิวจี้ผู้นี้ความจริงก็เป็นคนที่ปลอบง่าย เขารีบเลียนแบบซื่อเหนียง เลียถังหูลู่แล้วเผยรอยยิ้มพอใจออกมา
“ต้าหลาง ไม่เสียแรงที่พ่อเลี้ยงเจ้ามา” หลิวจี้โอบไหล่บุตรชายคนโตพร้อมพูดด้วยความชื่นใจ
ต้าหลางยิ้มเล็กน้อย แต่ยังเอ่ยเตือนบิดาว่า “ท่านพ่อ ท่านไม่เคยเลี้ยงพวกเราสักวัน ตั้งแต่ข้าเกิดมา ท่านไม่เคยดูแลเรื่องในบ้าน เอาแต่วิ่งเข้าเมือง ทุกครั้งที่กลับมาก็ขอเงินจากท่านแม่ ไม่เคยให้เงินที่บ้านเลยสักเหวิน เป็นท่านแม่ที่เลี้ยงดูข้ามาจนโต”
ฉินเหยาเดินนำอยู่ด้านหน้า เมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็หันกลับมาด้วยความแปลกใจ
เห็นเพียงรอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวจี้แข็งค้างไป สายตาของพ่อลูกมองสบกัน ก่อนที่ต้าหลางจะเป็นฝ่ายหลบตาก่อน สองฝ่ายต่างก็นิ่งเงียบไป
ระหว่างซื้อถ่าน พวกเขาก็ได้พบคนรู้จักโดยบังเอิญ
“หลินเอ้อร์เป่า เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
เมื่อหลิวจี้เห็นเขาก็ตกใจเหมือนนกหวาดเกาทัณฑ์ ขนลุกซู่ไปทั้งร่าง
ฉินเหยาเองก็มองภาพหลินเอ้อร์เป่าจูงมือเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งด้วยสายตาประหลาดใจ ดวงตาที่เขามองเด็กหญิงอย่างอ่อนโยนนั้น ไม่เหมือนเจ้าหนี้โหดที่นางพบก่อนหน้านี้เลยแม้แต่นิด
หลินเอ้อร์เป่าเห็นฉินเหยาพาครอบครัวมาด้วยก็ยิ้มถามว่า “ฉินเหนียงจื่อ เข้าเมืองมาซื้อของสำหรับตรุษจีนหรือ”
ฉินเหยาพยักหน้า พลางมองเด็กหญิงตัวเล็กข้างเขาแวบหนึ่ง
เด็กหญิงอายุประมาณเจ็ดแปดขวบ แต่งตัวเรียบร้อย ดูออกว่าได้รับการดูแลอย่างดีจากครอบครัว
“ท่านพ่อ พวกเขาเป็นใครหรือ” เด็กหญิงถามหลินเอ้อร์เป่าด้วยความสงสัย
“เพื่อนของพ่อเอง”
“อ้อ” เด็กหญิงไม่ได้ถามอะไรต่อ
พวกเขาเองก็มาซื้อถ่านและซื้อเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินเอ้อร์เป่ายกตะกร้าหนักอึ้งที่เต็มไปด้วยถ่านขึ้นหลัง เตรียมจะกล่าวลาครอบครัวฉินเหยา
ฉินเหยานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงส่งสัญญาณให้เขาแยกไปพูดคุยส่วนตัวหน่อย นางถามว่าหลิวจี้ยืมเงินเขาไปทำอะไร
เงินยี่สิบตำลึง ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย
คำตอบที่หลินเอ้อร์เป่าให้มานั้นกลับเหนือความคาดหมายของฉินเหยาอยู่บ้าง
ไม่ใช่เล่นพนันหรือไปเที่ยวหอนางโลม แต่กลับเป็นเพราะถูกหลอก
นักต้มตุ๋นหลอกหลิวจี้ว่ารู้จักคนในที่ว่าการ ด้วยความที่หลิวจี้อ่านออกเขียนได้จึงอ้างว่าจะช่วยแนะนำเขาให้ทำงานในที่ว่าการอำเภอ
หลิวจี้ที่อยู่ในภาวะจนตรอกจึงเชื่อคำลวงทันที รีบไปยืมเงินมาให้ ‘พี่ชายแสนดี’ ผู้นั้น ผลคือคนผู้นั้นรับเงินไปแล้วหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
และไม่ใช่หลิวจี้คนเดียวที่ถูกหลอก ยังมีบัณฑิตยากจนในสำนักศึกษาคนอื่นๆ ที่ตกเป็นเหยื่ออีกหลายคน
แต่คนอื่นๆ ไม่ได้ใจกล้าเหมือนหลิวจี้ พวกเขายืมเพียงห้าหรือสิบตำลึงและยังมีที่ดินในครอบครัวเป็นหลักประกันจึงไม่เดือดร้อนนัก
เมื่อมองตามหลังหลินเอ้อร์เป่าและบุตรสาวไปจนลับตา ฉินเหยาจึงหันกลับมามองหลิวจี้ที่เริ่มดูร้อนรนอย่างเห็นได้ชัดแล้วกล่าวทีละคำว่า “บนฟ้าไม่มีทางมีแป้งทอดหล่นลงมา มีแต่จะตกหลุมพรางเท่านั้น!”
เมื่อหลิวจี้ได้ยินก็รู้ทันทีว่านางรู้เรื่องราวทั้งหมดของเขาแล้ว
เขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นปลาที่นอนอยู่บนเขียง โดนเปิดเผยทุกส่วนออกมาต่อหน้านางจนหมดสิ้น ไม่มีความลับหลงเหลืออีก
เขารู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย ยกถ่านที่ซื้อไว้หนึ่งหาบขึ้นบ่า ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร
ใบหน้าบึ้งตึงนั้นทำให้ต้าหลางและพี่น้องทั้งสี่คนที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานเมื่อครู่ เริ่มรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของผู้ใหญ่และสงวนท่าที
“ไปกันเถอะ ข้าจะเลี้ยงของอร่อยพวกเจ้า”
สิ่งที่ฉินเหยาหมายถึงคือร้านเกี๊ยวน้ำข้างประตูเมืองที่นางเคยกินในครั้งก่อน รสชาตินั้นยอดเยี่ยมมากทีเดียว
MANGA DISCUSSION