ย่ำรุ่ง บ้านฉินเหยาก็เริ่มมีเสียงเคลื่อนไหวแล้ว
หลิวจี้หาวหวอด สะลึมสะลือเดินคลำทางในความมืดไปจนถึงครัว คลำหาหินจุดไฟ จุดตะเกียงน้ำมันและไฟในเตา จากนั้นก็อุ่นหมั่นโถวธัญพืชสิบลูกที่ทำเตรียมไว้เมื่อคืนสำหรับเป็นมื้อเช้าวันนี้
ฉินเหยาเตรียมข้าวของเสร็จก็เดินออกจากห้องไปเคาะประตูห้องข้างๆ
“ต้าหลาง เอ้อร์หลาง! บอกน้องๆ ให้ใส่เสื้อผ้าได้แล้ว ตอนเช้าอากาศเย็น สวมเสื้อผ้าให้ครบทุกชิ้นนะ”
เสื้อผ้าที่ใส่คือเสื้อผ้าฝ้ายตัวในใหม่เอี่ยม ตามด้วยเสื้อบุฝ้ายตัวหนาที่เพิ่งตัดเย็บเสร็จและด้านนอกสวมชุดเก่ามือสอง เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นก็ค่อยถอดชุดเก่าด้านนอกสุดออกก็พอแล้ว
นี่ยังช่วยป้องกันไม่ให้เสื้อใหม่เปื้อน เพราะในหน้าหนาวเช่นนี้ไม่มีเสื้อหนาวสำรองให้ซักเปลี่ยน
เสื้อผ้าป่านขาดรุ่งริ่งก่อนหน้านี้ หลิวจี้เคยนำไปซักที่แม่น้ำครั้งหนึ่ง แต่มันก็เปื่อยยุ่ยจนกลายเป็นเศษผ้าไปแล้ว
แต่ตราบใดที่มันยังใช้งานได้ ครอบครัวชาวบ้านยากจนก็ยังไม่ทิ้ง ตอนนี้มันกลายเป็นผ้าเช็ดโต๊ะ ผ้าเช็ดเท้า และอื่นๆ ในบ้าน
พี่น้องต้าหลางทั้งสี่ลุกขึ้นมาอย่างตื่นเต้น หลังจากล้างหน้าล้างตาเสียงดังโครมคราม หมั่นโถวก็อุ่นร้อนพร้อมกิน
ครอบครัวทั้งหกคนกินมื้อเช้าเสร็จ ลงกลอนประตูบ้านแล้วจุดคบไฟเดินไปยังบ้านผู้ใหญ่บ้าน
หลิวจี้พูดคุยเกี่ยวกับการยืมเกวียนวัวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว บุตรชายคนเล็กของผู้ใหญ่บ้านตื่นแต่เช้ามาจัดเตรียมเกวียนวัวไว้ก่อนจะส่งมอบให้หลิวจี้พร้อมกำชับอย่างละเอียด
การยืมเกวียนวัวครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งหมดล้วนอาศัยหน้าตาของฉินเหยา หากหลิวจี้เป็นคนขอยืมเอง ประตูบ้านคงไม่เปิดให้และคงถูกไล่ตะเพิดออกไปแทน
วัวถูกบุตรชายคนเล็กของผู้ใหญ่บ้านเลี้ยงจนอิ่มหนำ ความเร็วของเกวียนวัวอาจจะไม่เร็วมาก แต่ก็เร็วกว่าการเดินเท้าหลายเท่า ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วยามก็เดินทางมาถึงอำเภอไคหยางได้
พี่น้องทั้งสี่จับราวเกวียนทั้งสามด้านไว้แน่น จากตอนแรกที่ขึ้นเกวียนด้วยความตื่นเต้นกลับกลายเป็นหมดแรงเพราะถูกกระแทกโยกเยกไปมา
ฝีมือการขับเกวียนของหลิวจี้เองก็ไม่ค่อยดีนัก วัวเดินเร็วบ้าง ช้าบ้างและบางครั้งยังหยุดกินหญ้าข้างทางอีก แต่ในที่สุด ครอบครัวทั้งหกก็ลากกันจนมาถึงประตูเมืองอำเภอไคหยางจนได้
วันนี้ฟ้ามืดครึ้ม แม้จะสว่างแล้ว แต่ยังคงมีหมอกบางๆ ปกคลุม
แต่อากาศเช่นนี้ก็ไม่ได้ลดความคึกคักของผู้คน เพราะวันนี้เป็นวันตลาดใหญ่ ใกล้เทศกาลตรุษจีน ผู้คนต่างมาเลือกซื้อของใช้สำหรับเทศกาลกันเป็นจำนวนมาก
ยิ่งมีการขายวัวของทางการเพิ่มเข้ามา ทำให้ผู้คนจากทุกสารทิศหลั่งไหลมาที่นี่จนทางเข้าเมืองต่อคิวกันยาวเหยียด
หลิวจี้คิดว่าครอบครัวของเขามาเช้าพอสมควรแล้ว แต่กลับมีคนที่มาก่อนเขาอีกจึงต้องยืนต่อแถวอย่างว่าง่ายอยู่ท้ายแถวอันยาวเหยียดนี้
ค่าธรรมเนียมเข้าเมืองยังคงคิดคนละหนึ่งเหวิน เด็กทารกที่ยังเดินไม่ได้จะได้รับการยกเว้น แต่หากเดินได้เองแล้วก็ต้องจ่าย
ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครพาเด็กเล็กมาด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นสามีภรรยา พ่อกับลูกชาย หรือพี่ชายน้องชาย และผู้ใหญ่ในหมู่บ้านที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน
พี่น้องทั้งสี่ที่นั่งอยู่บนเกวียน เพียงแค่เห็นประตูเมืองก็รู้สึกตื่นเต้นแปลกใหม่เหลือประมาณ
เมื่อมองไปรอบๆ เห็นผู้คนจำนวนมากพูดคุยด้วยภาษาถิ่นที่หลากหลาย บรรยากาศครึกครื้นจนพวกเขามองแทบไม่ทัน
หลังจากต่อแถวประมาณสิบนาที ในที่สุดก็มาถึงครอบครัวของฉินเหยา
สิ่งที่ฉินเหยาไม่คาดคิดก็คือ เจ้าหน้าที่สองคนที่ประตูเมืองกลับจำหลิวจี้ได้ ทั้งยังเรียกชื่อเขาอีกด้วย
หลิวจี้เองก็เหมือนจะสนิทสนมกับพวกเขา กล่าวทักทายสองสามคำก่อนจ่ายค่าธรรมเนียมหกเหวินแล้วจูงวัวเข้าเมือง
อ้อ เพราะจูงวัวมาด้วยจึงต้องจ่ายเพิ่มอีกสองเหวินเป็นค่าดูแลรถม้า
แต่เงินนี้ก็ไม่ได้เสียเปล่า เมื่อจ่ายแล้วสามารถนำเกวียนวัวไปจอดไว้ในคอกสัตว์ที่ประตูเมืองซึ่งมีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่ได้
แน่นอนว่ายังต้องจ่ายค่าจอดแยกต่างหากอีก โดยปกติไม่คิดตามเวลาที่จอด แต่คิดค่าจอดคงที่ห้าเหวิน
ยังไม่ทันได้เข้าเมืองจริงๆ แต่ค่าใช้จ่ายรอบนี้ก็ปาไปสิบสามเหวินแล้ว
ข้อดีก็คือไม่ต้องกลัวทรัพย์สินสำคัญอย่างเกวียนวัวจะถูกพวกโจรจ้องขโมย ลดความเสี่ยงที่จะสูญหายได้บางส่วน
เมื่อจอดเกวียนวัวเรียบร้อย ฉินเหยาก็เรียกพี่น้องทั้งสี่คนให้ลงจากเกวียน
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางโตพอที่จะเดินตามผู้ใหญ่ไปได้ ส่วนซานหลางกับซื่อเหนียงยังเล็ก หลิวจี้และฉินเหยาจึงอุ้มคนละคนแล้วพาพวกเขาฝ่าฝูงชน
พี่น้องต้าหลางทั้งสี่เมื่อเข้ามาในเมืองต่างมองสิ่งรอบตัวด้วยความตื่นเต้น แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเกร็งเล็กน้อย
พวกเขาสังเกตว่า คนในเมืองแต่งตัวดีมาก เสื้อผ้าล้วนมีสีสันสดใสและคอเสื้อยังปักลวดลายอย่างประณีต
นายท่านทั้งหลายมีบ่าวรับใช้คอยติดตาม ส่วนบรรดาฮูหยินและคุณหนูสวมหมวกผ้าโปร่งประดับลวดลาย เสื้อผ้าทำจากผ้าต่วนอันงดงาม มีแม่เฒ่ารูปร่างกำยำเดินข้างๆ เพื่อกันไม่ให้คนในตลาดชนเข้ากับเจ้านายของพวกเขา
ตั้งแต่ที่ประตูเมืองหลิวจี้ก็นิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ
ฉินเหยาแววตามืดครึ้ม กวาดตามองเตือนอย่างเย็นชา หลิวจี้จึงค่อยพึมพำออกมาว่า “ข้าเคยช่วยพวกเขาอยู่สองสามครั้งก็เลยรู้จักกันน่ะ”
ส่วนเรื่องว่าช่วยอะไรนั้น ฉินเหยาก็เดาได้ไม่ยาก ด้วยนิสัยของหลิวจี้ก็คงเป็นการรับจ้างเป็นนักเลงหรือลูกมือให้ใครสักคนทำเรื่องชั่วร้ายอยู่แล้ว
“นี่มันสายตาแบบไหนของเจ้ากัน” หลิวจี้ถามกลับอย่างระแวงเมื่อรู้สึกว่าสายตาที่ฉินเหยามองเขาดูแปลกๆ
ฉินเหยาส่ายศีรษะเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร
หลิวจี้มองนางอย่างสงสัยแวบหนึ่ง หรือพอนางรู้ว่าเขารู้จักกับพวกเจ้าหน้าที่เลยเกิดกลัวเขาขึ้นมา?
เห็นได้ชัดว่าเขาคิดมากไปเอง ฉินเหยาเพียงแค่เห็นพื้นที่ขายวัวแล้วจึงสั่งต้าหลางกับเอ้อร์หลางให้ตามติดไป ก่อนจะอุ้มซานหลางกับซื่อเหนียงมุ่งหน้าไปยังจุดนั้น
วัวของทางการที่ถูกนำมาขายเป็นที่หมายปองของทุกคน ผู้คนล้อมรอบพื้นที่ว่างทั้งด้านในและด้านนอก รอให้เจ้าหน้าที่นำวัวออกมาเพื่อเปิดประมูลราคา
บ้านเศรษฐีจำนวนไม่น้อยก็ส่งคนมาเพื่อรอซื้อวัวเช่นกัน
แม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นบ่าวไพร่ แต่ก็แต่งตัวดูดีกว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ในที่นี้ สีหน้าเปล่งปลั่ง รูปร่างก็สูงใหญ่กว่าเล็กน้อย หากไม่รู้ก็อาจคิดว่าเป็นเจ้าของที่ดินร่ำรวยที่ไหนสักแห่ง
หลิวจี้นั้นรูปร่างสูง หน้าตาก็ดี บนร่างสวมเสื้อกันหนาวผ้าฝ้ายสีครามใหม่เอี่ยม เดินหลังตรงอย่างสง่าผ่าเผย พร้อมวางท่าสูงส่งเหมือนพวกบัณฑิตจนมีบางคนเข้าใจผิด คิดว่าเขาเป็นนักเรียนจากสำนักศึกษา ถึงกับหลีกทางให้ครอบครัวฉินเหยาเข้าไปยังพื้นที่ด้านใน
ต้าหลางมองดูด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าบิดาของเขาจะเป็นที่นับหน้าถือตาในเมืองขนาดนี้
ฉินเหยามองท่าทางโอ้อวดของหลิวจี้ก็รู้ทันทีว่าเขาคงใช้รูปลักษณ์โดดเด่นของตนเองทำเรื่องแบบนี้เป็นประจำ
อย่างไรเขาก็ไม่ได้เอ่ยถึงสถานะของตนเอง เป็นคนเหล่านั้นที่เข้าใจผิดกันไปเอง
เหล่าพ่อบ้านที่บ้านเศรษฐีส่งมาบางคนถึงกับเดินเข้ามาถามหลิวจี้อย่างสุภาพว่าเขาก็จะมาซื้อวัวด้วยหรือไม่
น้ำเสียงสุภาพแต่แฝงด้วยการหยั่งเชิงนี้ทำให้หลิวจี้ที่อัดอั้นอยู่บ้านมานานรู้สึกได้รับการปลดปล่อยทันที ไม่สนใจว่าในกระเป๋าเขาไม่มีเงินแม้แต่เหวินเดียวเอ่ยตอบทันทีว่า
“ข้าขอดูก่อน หากแข็งแรงก็ต้องเอากลับไปสักสองสามตัว”
ฉินเหยาเห็นชัดเจนว่าพวกพ่อบ้านที่มาสอบถามเริ่มมองหลิวจี้ด้วยความระมัดระวัง เข้าใจผิดว่าหลิวจี้เป็นคู่แข่งเข้าแล้วจริงๆ
MANGA DISCUSSION