ทุกปีในช่วงเก็บเกี่ยวและส่งมอบเสบียง หลี่เจิ้งจะคัดเลือกชายฉกรรจ์จากแต่ละหมู่บ้านมาสองสามคน เพื่อช่วยขนส่งเสบียงทั้งหมดของหมู่บ้านไปยังตัวอำเภอ
ปีนี้ หลิวไป่ได้เป็นหัวหน้ากลุ่มขนเสบียงของหมู่บ้านตระกูลหลิว เมื่อไปถึงเมืองอำเภอไคหยาง เขายังซื้อถังหูลู่กลับมาให้จินเป่าและหลานสาวจินฮวาคนละไม้
พี่น้องทั้งสองอวดของกินในหมู่บ้านเสียใหญ่โต
ยามนั้นครอบครัวของพวกต้าหลางพี่น้องยังยากจนข้นแค้น มารดาตายส่วนบิดาก็ไม่สนใจดูแล พวกเขามักจะใฝ่ฝันถึงถังหูลู่อยู่เสมอ
ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่พี่น้องต้าหลางทั้งสี่จะได้กินถังหูลู่ แต่ท่านพ่อกับแม่เลี้ยงยังจะพาพวกเขาไปเที่ยวในเมืองด้วย
พี่น้องทั้งสี่ตื่นขึ้นหลังจากนอนเต็มอิ่ม รีบเอ่ยทักทายฉินเหยาที่กำลังออกกำลังกายอยู่ในลานบ้านแล้วพากันวิ่งกรูลงเนินไปยังบ่อน้ำในหมู่บ้าน
หลิวจินเป่าและหลิวจินฮวากำลังเล่นอยู่ที่นั่น เมื่อพี่น้องทั้งสี่เดินเข้าไปก็บอกว่าอีกไม่กี่วันพวกเขาจะได้เข้าเมืองแล้ว
หลิวจินเป่าและหลิวจินฮวาไม่เชื่อ พูดว่าพวกเขาโกหก
ต้าหลางบอกว่า “พ่อข้าไปขอยืมเกวียนวัวจากผู้ใหญ่บ้านแล้ว เป็นเรื่องจริง”
น้ำเสียงของเขาแฝงความโอ้อวดเล็กน้อย
ซื่อเหนียงยังเสริมว่า “พวกเราจะไปซื้อถังหูลู่กินกันในเมือง”
เด็กๆ ที่อยู่รอบๆ ได้ยินเข้าก็อิจฉาเป็นอย่างมาก
บางคนถามซื่อเหนียงว่าสามารถแบ่งถังหูลู่ให้พวกเขาชิมบ้างได้ไหม
อีกหลายคนขอร้องต้าหลางกับเอ้อร์หลางว่า หากไปเจออะไรอร่อยหรือสนุกในเมือง ขอให้กลับมาเล่าให้ฟัง
พี่น้องทั้งสี่ไม่เคยถูกล้อมรอบด้วยเด็กวัยเดียวกันมากขนาดนี้มาก่อน เพราะปกติไม่มีใครเล่นกับพวกเขา
ยกเว้นหลิวจินเป่าและหลิวจินฮวาที่เป็นญาติกันจึงพูดคุยกับพวกเขาเป็นครั้งคราว
แท้จริงแล้วเด็กๆ นั้นแบ่งแยกชนชั้นกันมากที่สุด พวกเขาไม่เข้าใจการปิดบังหรือความเสแสร้งของผู้ใหญ่ มีอะไรก็พูดตรงๆ ความร้ายกาจในคำพูดล้วนเปิดเผยออกมาจนหมด
ตอนนี้ เมื่อเห็นพี่น้องตระกูลหลิวทั้งสี่ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านมุงกระเบื้องหลังใหม่ พ่อแม่ยังพาเข้าเมือง เด็กคนอื่นๆ ก็เริ่มมารายล้อมพวกเขา
แต่เด็กๆ ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยถึงเพียงนั้น หากพวกเขาดีกับเจ้านั่นก็หมายความว่าพวกเขาจริงใจจริงๆ
ไม่นาน ซื่อเหนียงก็เริ่มเล่นพ่อแม่ลูกกับจินฮวาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องและเด็กสาวคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน
ส่วนพี่ชายสามคนก็ไปที่ริมแม่น้ำพร้อมกับหลิวจินเป่าและเด็กชายคนอื่นๆ แต่ละคนตัดกิ่งไม้มาเป็นง่ามแหลมแล้วประกาศว่าจะจับปลา
น้ำในแม่น้ำตอนนี้เย็นกว่าหนึ่งเดือนก่อนมาก พวกเขาจึงไม่กล้าลงน้ำเพียงยืนอยู่บนก้อนหินเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ต้าหลางจับปลาไม่ได้เลย แต่คราวนี้กลับจับได้สำเร็จแล้ว
“ท่านพ่อ! ท่านน้า!”
พี่น้องสามคนวิ่งกลับบ้านมาอย่างตื่นเต้นพร้อมกับถือปลาที่ถูกแทงจนตายกลับมาด้วย
ต้าหลางพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้าจับปลาได้แล้ว!”
หลิวจี้เดินเข้ามาดูปลาสามตัวที่กว้างเพียงสามนิ้วด้วยความประหลาดใจแล้วพูดว่า “ทอดให้กรอบก่อนค่อยเติมน้ำ ใส่ผักนิดหน่อย ตุ๋นทำเป็นน้ำแกงปลาผักเขียว คืนนี้พวกเราได้กินของอร่อยอีกแล้ว”
พูดจบ เขาก็อยากกินจนกลืนน้ำลาย
โชคดีที่ใบหน้าของเขานั้นดูดี หากเป็นคนอื่นคงดูน่ารังเกียจ
ฉินเหยาไม่แปลกใจ ต้าหลางมีความอดทนพอ แม้ตอนแรกจับปลาไม่ได้ แต่ก็ไม่ล้มเลิก หลังจากพยายามซ้ำๆ หลายครั้ง การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณก็ส่งผลให้เกิดคุณภาพในที่สุด
แต่เมื่อเด็กๆ มีความสุขก็ต้องชมพวกเขาบ้าง
ฉินเหยายิ้มให้ต้าหลางพลางพูดว่า “ต่อไปนี้บ้านเราจะได้กินเนื้อทุกมื้อหรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วนะ”
เด็กหนุ่มเกาศีรษะด้วยความเขิน ก่อนจะพยักหน้าหนักแน่น “อืม!” เขาจะพยายามให้เต็มที่
วันต่อมา ฉินเหยาตื่นเช้าเพื่อออกกำลังกายเหมือนทุกวัน และยังเรียกต้าหลางกับเอ้อร์หลางไปด้วย
พวกเขาวิ่งรอบหมู่บ้านสองรอบแล้วกลับมา
ตัวนางยังไม่หน้าแดงหรือหอบเหนื่อย แต่เด็กทั้งสองกลับเหนื่อยจนหายใจหอบ วิ่งตามนางไม่ทันอยู่ระยะหนึ่ง
ฉินเหยากลับถึงหน้าบ้านและนั่งกินหมั่นโถวแล้ว ส่วนเด็กทั้งสองเพิ่งมาถึงสะพาน
หลังจากวิ่งเสร็จในตอนเช้า กินข้าวเช้าและพักผ่อนสักครู่ พี่น้องทั้งสี่คนก็นั่งเรียงกันในห้องโถง ฉินเหยาหยิบแผ่นกระดานออกมาและดึงไม้ฟืนที่เผาแล้วจากเตาไฟ นางเริ่มสอนพวกเขาอ่าน ‘สามอักษร’ ทีละคำ วันละหนึ่งประโยคสามตัวอักษร
หลิวจี้เลิกคิ้วเล็กน้อย เขารู้ว่าฉินเหยารู้หนังสือ แต่ไม่คิดว่านางจะตั้งใจสอนเด็กๆ ให้อ่านออกเขียนได้
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าการอ่านออกเขียนได้เป็นสิ่งดี แต่เขาเข้าใจหลักการหนึ่ง
หากเจ้าไม่สามารถให้เขาได้ทั้งหมดก็อย่าให้เขารับรู้เรื่องเหล่านี้ตั้งแต่แรกจะดีกว่า
หากยังคงไม่รู้เรื่องก็คงไม่ต้องเจ็บปวดเพราะไม่ได้สิ่งที่มากกว่านี้ในภายหลัง
“บ้านเราน่ะ จะรู้หนังสือไปทำไม ไม่ได้ใช้เสียหน่อย” หลิวจี้ถือชามน้ำข้าวแล้วบ่นเบาๆ ขณะพิงประตูครัว
ฉินเหยาที่มีประสาทการได้ยินดีเยี่ยม ได้ยินชัดทุกคำ นางเตือนต้าหลางและเอ้อร์หลางให้ตั้งใจเรียน พลางเงยหน้าขึ้นมองหลิวจี้ด้วยสายตาอันตราย
“ความรู้นั้นใช้ได้ในทุกด้าน เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่มีประโยชน์หรือ”
หลิวจี้ก้มหน้าดื่มน้ำข้าว ไม่พูดอะไรอีก
เรียนหนังสือก็ไม่จำเป็นต้องเรียนเพื่อให้ได้มีตำแหน่งหรือชื่อเสียงหรอก จริงไหม
ทันใดนั้น เขาก็เริ่มล้อเลียนลายมือของฉินเหยา ฟังจากน้ำเสียงเหมือนจะบอกว่าลายมือของเขาดีกว่านาง
คนผู้นี้ไม่โดนอัดสักสองสามวันก็เริ่มได้ใจอีกแล้ว
ฉินเหยายกไม้ฟืนในมือขึ้นแล้วขว้างออกไป โดนตรงหัวเข่าของหลิวจี้อย่างแม่นยำจนเขาแทบจะทรุดลงตรงนั้น
คราวนี้เขาสงบเสงี่ยมในทันที
ในบ้านไม่มีทั้งกระดาษและพู่กัน พี่น้องต้าหลางทั้งสี่จึงต้องใช้ไม้ฟืนคนละท่อนฝึกเขียนบนแผ่นไม้
สมองสดใหม่นั้นมีประสิทธิภาพดีจริงๆ พี่น้องทั้งสี่คนเรียนรู้ได้เร็วทีเดียว
แต่พวกเขาก็ลืมได้รวดเร็วเช่นกัน
คืนแรกก่อนเข้านอน ฉินเหยาทดสอบพวกเขา ทุกคนสามารถอ่านและเขียนได้
แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็ลืมหมดแล้ว
การเรียนหนังสือต้องอาศัยการทบทวนซ้ำๆ เพื่อเสริมความจำ ฉินเหยาจึงสอนบทเรียนของวันแรกและวันที่สองใหม่อีกครั้งในวันที่สาม
เอ้อร์หลางเริ่มคร่ำครวญ บอกว่าเขายอมไปวิ่งรอบหมู่บ้านยังดีกว่า
ฉินเหยาไม่ตามใจง่ายๆ “อย่างนั้นเจ้าก็ไปสิ”
เอ้อร์หลาง “……”
“ขะ…ข้า…ข้ายอมเรียนหนังสือต่อก็ได้”
หลิวจี้ที่นั่งขี้เกียจผิงไฟอยู่ในครัวหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
คืนนั้น เมื่อกลับมาที่ห้อง เอ้อร์หลางกับฝาแฝดชายหญิงนอนบนเตียงแล้วบ่นว่าการเรียนหนังสือช่างทรมานเหลือเกิน
ต้าหลางรีบดึงพวกเขาลุกขึ้นมานั่ง พลางพูดอย่างจริงจังว่า
“โอกาสแบบนี้คนอื่นอยากได้แต่ยังไม่ได้ แต่พวกเรากลับมี แม่เลี้ยงสองพวกเราทุกอย่าง นางสอนทั้งวิชาการต่อสู้และอ่านเขียน หากจินเป่ากับจินฮวารู้เข้าไม่รู้ว่าจะอิจฉาพวกเราแค่ไหน แต่พวกเจ้ากลับไม่อยากเรียน”
เอ้อร์หลางกับอีกสองคนฟังแล้วก็คิดว่ามีเหตุผลมาก พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะอดทนเรียนต่อไป เพราะหากสามารถเก่งเหมือนแม่เลี้ยงจนถึงขั้นล่าหมีได้ล่ะก็ คงมีหน้ามีตาน่าดู!
เมื่อคิดได้ดังนั้น เด็กน้อยก็ปรับทัศนคติ ตั้งใจเรียนมากขึ้น ในวันรุ่งขึ้นพวกเขาต่างอยู่ในห้องช่วยกันทบทวนบทเรียนของเมื่อวานเพื่อเสริมความจำ
หลายวันก่อนจะเข้าเมือง พี่น้องทั้งสี่คนก็ได้เรียนรู้สี่ประโยคจากตำราสามอักษรว่า มนุษย์แรกเกิด จิตใจดี ล้วนคล้ายคลึง เรียนรู้จึ่งห่างไกล[1]
แต่ความหมายของสี่ประโยคนี้ดูเข้าใจยากสำหรับพวกเขา
เมื่อเห็นฉินเหยากลุ้มใจเรื่องนี้ หลิวจี้ที่กำลังว่างจัดก็เอ่ยเตือนขึ้นว่า “เหตุใดไม่ลองสอนจากของในบ้านเล่า ทั้งจำง่ายและเข้าใจง่ายกว่า”
ฉินเหยาหันไปมองเขาทันที จริงด้วย “เจ้าก็พูดมีเหตุผล หลิวจี้ ต่อไปเจ้ามาสอน ข้าจะคอยทดสอบผลการเรียนของพวกเขาสัปดาห์ละครั้ง”
คำว่า ‘สัปดาห์’ นี้ก็เพิ่งมารู้จักหลังจากฉินเหยามาอยู่ในบ้าน ทำให้ครอบครัวเข้าใจว่าหนึ่งสัปดาห์มีเจ็ดวัน
แม้จะไม่เข้าใจที่มาที่ไป แต่ด้วยความเชื่อว่าแม่เลี้ยงพูดอะไรต้องไม่ผิด พี่น้องทั้งสี่จึงเริ่มคุ้นเคยกับคำนี้
หลิวจี้เองก็เข้าใจ แต่กลับหงุดหงิดตัวเองที่เผลอพูดมากไปจนต้องตบปากตัวเอง ปากมากนัก
แต่เขาก็ยังตอบรับอย่างสงบเสงี่ยม
แต่พอหันกลับมาก็เผชิญเข้ากับสายตาไม่ไว้วางใจของเด็กทั้งสี่
หลิวจี้แค่นเสียงเย็น จากเดิมที่ตั้งใจจะสอนไปแบบขอไปที แต่เขาเปลี่ยนใจแล้ว จะให้เจ้าลูกอกตัญญูทั้งสี่ได้รู้ถึงความร้ายกาจของบิดาเช่นเขาเสียบ้าง!
[1] หมายถึง มนุษย์แรกเกิดล้วนจิตใจดี นิสัยดีงามเหมือนกัน แต่สภาพแวดล้อมและการสั่งสอนหลังจากนั้นจึงทำให้แตกต่าง
MANGA DISCUSSION