เมื่อหลิวจี้ลิ้มรสความอร่อยบนแดนมนุษย์จบแล้ว เขาก็ลืมตาขึ้นมาก็เห็นเด็กทั้งสี่คนถือชามข้าวต้ม มองมาที่เขาตาปริบๆ พลางกลืนน้ำลาย
อ้อ เขาเกือบลืมไปเลย พวกเด็กๆ โดนแม่เลี้ยงลงโทษว่าคืนนี้ห้ามกินเนื้อ ตะเกียบที่ยื่นออกไปเมื่อครู่ถูกฉินเหยาตีกลับมาทั้งหมด กินได้แต่ผักล้วนๆ
หลิวจี้จุปากด้วยความเห็นอกเห็นใจแล้วกินมื้อเย็นของตัวเองต่อไปอย่างมีความสุข
เนื้อนกกระจอกหนึ่งจานเล็กๆ เขาเคยคิดว่าหากต้องแบ่งกินกับคนหลายคนคงไม่ทันได้รสชาติ แต่ใครจะคิดว่าจะแบ่งเพียงเขากับสตรีอำมหิตผู้นี้สองคนเท่านั้น
คนละครึ่งชามเล็กๆ ก็พอแล้ว เขาไม่โลภมากหรอก หลิวจี้คิดอย่างมีความสุข
ฉินเหยาเองก็รู้สึกว่ากับข้าววันนี้อร่อยเป็นพิเศษ นางตักกินคำแล้วคำเล่า รสชาติสดใหม่และหอมหวานทำให้นางรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปช่วงก่อนวันสิ้นโลก ตอนที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยแล้วได้กลับบ้านช่วงปิดเทอมฤดูหนาว
ตอนนั้นพ่อแม่ทำอาหารจนเต็มโต๊ะล้วนแต่เป็นอาหารที่นางชอบ สีสัน กลิ่น และรสชาติครบครัน
แต่หลังจากนั้น การจะได้กินอาหารจานผัดอีกครั้งกลับกลายเป็นสิ่งที่ยากเกินเอื้อม
ต้าหลางและพี่น้องอีกสามคน ดื่มข้าวต้มข้นๆ พลางเคี้ยวผักกรอบๆ เดิมทีนี่ถือเป็นอาหารที่ดีมากแล้ว แต่พวกเขากลับกินอย่างไร้รสชาติ
เอ้อร์หลางคิดในใจว่า เป็นเพราะแม่เลี้ยงให้พวกเขากินดีเกินไป พวกเขาจึงรู้สึกว่าข้าวต้มกับผักช่างไร้รสชาติราวกับเป็นคุณชายในบ้านเศรษฐีที่กินเนื้อมังกรแล้วยังไม่พอใจ!
เมื่อมองตาสี่คู่ที่ส่องประกายเหมือนโคมไฟ เต็มไปด้วยความปรารถนา หลิวจี้ที่เดิมไม่มีจิตสำนึกก็เกิดความคิดอยากจะแบ่งให้พวกเขาลองชิมกันคนละชิ้นขึ้นมา
อีกอย่าง เขาทำอาหารออกมาได้ดีขนาดนี้ แต่กลับไม่มีใครรู้ไม่ใช่ว่าน่าเสียดายมากหรือ
คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะคีบเนื้อออกมาชิ้นหนึ่ง สายตาเย็นชาของฉินเหยาก็ตวัดมองมา
“เจ้าไม่อยากกินแล้วใช่ไหม”
นางยื่นชามมาตรงหน้าเขา “หากไม่อยากกินแล้วก็ส่งมาให้ข้า”
พูดจบ นางก็ใช้ตะเกียบคีบเนื้อนกกระจอกห้าชิ้นสุดท้ายในชามของหลิวจี้มาใส่ในชามตัวเองแล้วกินคำละชิ้นอย่างเอร็ดอร่อย
หลิวจี้เหลือบมองเด็กทั้งสี่คนอย่างขุ่นเคือง ดูสิ แม้แต่พ่อก็ไม่ได้กินแล้ว
พี่น้องทั้งสี่คนกัดตะเกียบ ประกายความหวังในดวงตามอดดับลงในทันที
ซานหลางกับซื่อเหนียงอยากกินมากจนร้องไห้ออกมา เด็กน้อยทั้งสองเช็ดน้ำตาน้ำมูกไปพลาง ฮึดฮัดดื่มข้าวต้มและผักใบเขียว รู้ว่าตนถูกลงโทษเพราะทำผิดจึงไม่กล้าปริปากโวยวาย
แม้แต่หลิวจี้ที่ใจแข็งเป็นหินยังอดสงสารไม่ได้เมื่อเห็นเช่นนั้น
เขาเงยหน้ามองฉินเหยา นางกินอย่างอร่อยจนกระดูกกองเป็นกองเล็กๆ ตรงหน้า ดื่มข้าวต้มไปสามชามใหญ่ แล้ววางชามกับตะเกียบลงด้วยความพึงพอใจ
เอ้อร์หลางที่กลั้นใจไว้ไม่ไหว พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ท่านน้า ข้าขอดูดกระดูกที่เหลือได้ไหม”
ฉินเหยาถลึงตาใส่สื่อความว่า หลิวเอ้อร์หลาง เจ้าอย่าได้เกินไปนัก!
“ไม่ได้!” ฉินเหยากวาดกระดูกทั้งหมดลงในชามแล้วยื่นให้หลิวจี้นำไปที่ครัวเพื่อใช้เป็นเชื้อไฟ
เอ้อร์หลางมองกระดูกทั้งหมดถูกโยนเข้าเตาไฟก่อนจะตอบรับเสียงหนึ่ง ล้มเลิกความคิดนั้นลง
อย่างน้อยข้อดีหนึ่งก็คือ เนื้อทั้งหมดโดนกินจนหมดแล้ว เมื่อมองไม่เห็นก็ไม่ทรมานถึงเพียงนั้นแล้ว
พี่น้องทั้งสี่คนค่อยๆ กินข้าวเย็นจนหมดแล้วกลับมาคึกคักอีกครั้ง พวกเขาวิ่งเล่นพลางพูดคุยกันเสียงเจื้อยแจ้วในห้องโถง
ฉินเหยารอจนหลิวจี้ล้างชามและเก็บกวาดครัวเสร็จ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“วันนี้ระหว่างทางกลับข้าได้ยินมาว่า วันที่สิบห้าที่ทางการที่ตัวอำเภอจะขายวัว ข้าคิดจะซื้อเอ็นวัวมาสักหน่อยแล้วถือโอกาสจัดหาเสบียงสำหรับตรุษจีนและถ่านมาให้ครบ เราสองคนเข้าเมืองด้วยกัน วันนั้นเจ้าต้องตื่นแต่เช้า”
“เข้าเมืองหรือ” หลิวจี้ดีใจจนออกนอกหน้า รีบตอบว่า “ได้ๆๆ”
เขาชอบเข้าเมืองที่สุด!
เด็กทั้งสี่คนที่เล่นกันเสียงดังอยู่ข้างๆ เงียบลงในทันที
ต้าหลางถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านพ่อ อำเภอไกลไหม”
เอ้อร์หลางก็ถามว่า “ท่านพ่อ ที่อำเภอสนุกไหม”
หลิวจี้ตอบว่า “แน่นอนว่าไกล จากหมู่บ้านเราเดินไปที่ตัวอำเภอต้องใช้เวลาสองชั่วยามกว่าๆ ต้องออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง”
“แต่ในเมืองมีของสนุกๆ เยอะมาก เช่น โรงสุรา บ่อนพนัน และหอโคมเขียว…”
เอ้อร์หลางถามอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านพ่อ หอโคมเขียวคืออะไร? ขายพวกเครื่องประทินโฉมหรือเปล่า ท่านเคยไปไหม”
หลิวจี้ได้ยินคำถามของบุตรชายก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าเด็กโง่ หอโคมเขียวเขาไม่ได้ขายเครื่องประทินโฉมหรอก ที่นั่นขายเนื้อ…”
คำพูดชะงักลงในทันที หลิวจี้ตระหนักได้ว่าตนเกือบหลุดพูดเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับเด็กเข้าแล้วจึงรีบกระแอมสองครั้งแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที
“ไม่มีอะไรๆ ตัวอำเภอก็ไม่มีอะไรสนุกหรอก”
แต่ฟังดูน่าสนุกชัดๆ ต้าหลางคิดด้วยความสงสัย
เอ้อร์หลางที่ยังไม่ได้คำตอบ ถามซ้ำอีกครั้งว่า “ท่านพ่อ ท่านเคยไปซื้อเนื้อที่หอโคมเขียวไหม”
หลิวจี้เหลือบมองฉินเหยาอย่างลนลาน ก่อนจะโบกมือส่งสัญญาณให้บุตรชายหยุดถามแล้วรีบหันไปบอกว่าจะไปต้มน้ำในครัว
ไม่คิดว่าฉินเหยาเองก็ถามอย่างสนใจว่า “ตกลงเจ้าเคยไปหรือไม่เคยไปกันแน่”
“แน่นอนว่า… ไม่เคยไปอยู่แล้ว” หลิวจี้ก้มศีรษะลงสะบัดแขนเสื้อที่ว่างเปล่า สภาพเขาเช่นนี้เพียงไปยืนหน้าประตูคงถูกแม่เล้าไล่ออกมาแล้ว
พี่น้องต้าหลางทั้งสี่ยังคงจินตนาการถึงหอโคมเขียวอย่างสวยงาม คิดว่าหากโตขึ้นได้เข้าเมือง คงต้องไปดูให้เห็นกับตา
แม้ในใจอยากจะเข้าเมืองไปด้วยมากแค่ไหน แต่พวกเขารู้ว่าขาสั้นๆ ของตนเองอาจทำให้เดินช้าจนเป็นภาระ เด็กๆ ที่รู้ประสาดีจึงไม่ได้เอ่ยปาก เพียงเดินตามหลิวจี้อยู่ด้านหลังพลางถามว่าในเมืองมีอะไรบ้าง
ฉินเหยาคิดอย่างจริงจังว่า หรือจะพาครอบครัวทั้งหมดเข้าเมืองสักครั้งดี?
อำเภอไคหยางนั้นไม่ได้ใหญ่นัก มีประชากรที่พักอาศัยอยู่ประจำเพียงสองถึงสามพันคน แต่หากเทียบกับจำนวนประชากรทั้งสิ้นหกสิบล้านคนของแคว้นเซิ่งในปัจจุบันก็ถือว่าเป็นสถานที่ใหญ่โตแล้ว
ก่อนหน้าที่แคว้นเซิ่งจะก่อตั้ง ยุคโกลาหลดำเนินต่อเนื่องมาหลายสิบปี การศึกต่อเนื่องทำให้จำนวนประชากรลดลงเป็นอย่างมาก เพิ่งจะมีช่วงฟื้นตัวในเวลานี้เอง ยามเดินทางไปตามถนนจึงแทบไม่พบเจอผู้คน
ในวันที่ฉินเหยาไปถึงอำเภอไคหยาง คนที่นางเห็นในเมืองถือว่ามากที่สุดตั้งแต่นางข้ามมายังโลกนี้
ในหมู่บ้าน มีคนมากมายที่ไม่เคยออกจากหมู่บ้านเลยทั้งชีวิต สำหรับพวกเขาแล้ว สถานที่ไกลที่สุดก็คือเมืองหลวงของอำเภอ
นี่ก็เป็นเพราะต้องการหลบหนีภัยสงครามเอาชีวิตรอดถึงอพยพกันมาไกลถึงเพียงนี้
เมื่อคิดเช่นนี้ สำหรับเด็กทั้งสี่คนที่ไม่เคยออกจากหมู่บ้านเล็กๆ บนเขาเลย การได้เข้าไปยังตัวอำเภออาจเป็นความหมายที่แตกต่างสำหรับพวกเขา
เดินไม่ไหวก็ยังสามารถนั่งเกวียนวัวไปได้
ให้เด็กๆ ได้เปิดหูเปิดตาบ้างก็ไม่เลว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลังจากหลิวจี้กับบุตรชายทั้งสี่คนกลับมาจากห้องอาบน้ำ ฉินเหยาก็พูดขึ้นว่า
“หลิวจี้ เจ้าไปขอยืมเกวียนวัวจากผู้ใหญ่บ้าน วันที่สิบห้าพวกเราจะเข้าเมืองกันทั้งครอบครัว พาต้าหลางกับคนอื่นๆ ไปดูในเมืองหน่อย”
พี่น้องทั้งสี่คนได้ยินคำนี้ต่างก็ตกตะลึงอยู่กับที่ด้วยความดีใจอย่างที่สุด
หลิวจี้เองก็นิ่งไปสองวินาทีก่อนจะตั้งสติได้ เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ฉินเหยาตัดสินใจเช่นนี้
คนที่ปกติไม่จริงจังอะไรกลับดูสุขุมขึ้นมาชั่วขณะ เขามองฉินเหยาอย่างลึกล้ำแวบหนึ่งก่อนจะตอบรับ
เด็กๆ ดีใจกันจนไม่ยอมนอนตลอดทั้งคืน พวกเขาเบียดกันอยู่บนเตียงเดียว พลางพูดคุยเบาๆ เกี่ยวกับความฝันถึงตัวเมือง
สุดท้าย พี่น้องทั้งสี่ก็ตกลงกันว่า เมื่อไปถึงเมือง จะใช้เหรียญทองแดงที่รีดมาจากบิดาแท้ๆ ไปซื้อถังหูลู่มากินด้วยกัน
อยากรู้ว่าถังหูลู่นั้นจะอร่อยเหมือนที่หลิวจินเป่าเคยเล่าหรือเปล่า
ซื่อเหนียงกำชับเป็นพิเศษว่า “ต้องเก็บไว้ลูกหนึ่งให้ท่านแม่ เพราะท่านแม่เป็นคนพาพวกเราเข้าเมือง”
คำพูดนี้หมายถึงว่าห้ามลืมขอบคุณผู้มีพระคุณ
ต้าหลางและอีกสามคนเห็นด้วยอย่างเต็มที่ หลังจากความตื่นเต้นเริ่มจางหายและพี่น้องทั้งสี่คนตกลงร่วมกันได้จึงหลับไปเมื่อถึงย่ำรุ่ง
MANGA DISCUSSION