ฉินเหยานิ่งฟังเขาพูดจนจบ ก่อนจะเลิกคิ้วถามว่า “ครานี้เจ้าต้องการเท่าใด ฤดูหนาวจะมาถึงแล้ว ควรเก็บผักไว้บ้าง หากไม่มีผักสด มีแค่ผักดองก็ยังดี”
หลิวจี้ตอบว่า “เรื่องนี้ข้ารู้ดี เมียจ๋าเอาเงินมาเถอะ ข้าจะจัดการเอง”
หลังจากผ่านการใช้ชีวิตด้วยตัวเองมาหนึ่งเดือนกว่าๆ เขาก็มั่นใจมากว่า ไม่มีใครในบ้านนี้เก่งเรื่องครัวเรือนเท่าเขาอีกแล้ว!
เห็นเขามั่นใจเช่นนี้ ฉินเหยาจึงส่งสายตาให้บอกตัวเลขมา
หลิวจี้คิดไว้ก่อนมาแล้ว เขาขอเงินฉินเหยาสี่ร้อยเหวิน นอกจากค่าอาหารสามมื้อในหนึ่งเดือนแล้ว เขายังต้องกักตุนผักที่เก็บได้นาน เช่น หัวไชเท้าและกะหล่ำปลีอีกด้วย
จริงด้วย ภรรยาของพ่อค้าหาบเร่หลิวดองผักเก่งที่สุด หากมีเวลาต้องไปขอซื้อกลับมาไว้บ้าง ตอนหิมะตกออกไปไหนไม่ได้ ข้าวต้มขาวกินคู่กับผักดองก็ถือเป็นมื้อที่ดี
ในเรื่องเงิน ฉินเหยาเป็นคนรู้จักประหยัดในส่วนที่ควรประหยัดและใช้จ่ายในส่วนที่สมควรจ่าย นางจึงส่งเศษเงินตำลึงสี่เฉียนให้หลิวจี้อย่างง่ายดาย
ในชนบทมักใช้เหรียญทองแดงมากกว่า เศษเงินตำลึงเล็กๆ เองก็ใช้กันแต่ไม่มาก หลิวจี้รับมาพลางเบ้ปากแอบบ่นในใจเบาๆ ว่าต้องไปแลกเป็นเหรียญทองแดงอีกแล้ว
บ้านพ่อค้าหาบเร่หลิวมีเศษเงินมาก คราวหน้าเวลาซื้อน้ำมันหรือเกลือ จะไปแลกเงินที่บ้านเขา
หากไปแลกกับคนอื่น มักจะเก็บค่าธรรมเนียมสองถึงสองสามเหวินซึ่งไม่คุ้มค่า
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่รูปแบบการใช้ชีวิตของทั้งคู่กลายมาเป็นฝ่ายหญิงดูแลเรื่องนอกบ้าน ส่วนฝ่ายชายดูแลเรื่องในบ้านเช่นนี้
แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนว่ายังไม่มีความขัดแย้งรุนแรงอะไร โดยรวมแล้วฉินเหยาคิดว่าพอรับได้
นางมีความต้องการในเรื่องกินอยู่ แต่ก็ขี้เกียจทำสิ่งที่วุ่นวายพวกนี้ หลิวจี้คนไร้ประโยชน์นี้ ถึงจะทำสิ่งอื่นไม่ได้ แต่เรื่องงานบ้านกลับทำได้ดี
อย่าดูถูกว่าการเตรียมอาหารสามมื้อเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันเป็นงานที่ต้องทำซ้ำทุกวันซึ่งฉินเหยาไม่ชอบที่สุด
เวลาของนางและเรี่ยวแรงทั้งหมด หากต้องนำมาใช้กับงานบ้าน ถือว่าเสียเปล่าทีเดียว
ไม่สู้เข้าไปในภูเขาเพื่อผ่าฟืนและล่าสัตว์บ้าง ไม่เพียงเพิ่มอาหารได้ ยังฝึกฝนร่างกายได้อีกด้วย
หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ อาหารการกินในบ้านดีขึ้นมาก บิดาและเด็กๆ ทั้งห้าคนเริ่มมีเนื้อหนังเพิ่มขึ้นไม่น้อย
เด็กน้อยอย่างซานหลางและซื่อเหนียงก็เริ่มมีแก้มป่องน่ารัก ฉินเหยาเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะบีบเล่น
เด็กทั้งสองติดนางมาก แม้ถูกบีบแก้มก็ไม่ร้องไห้ ยังยิ้มหวานให้นางอีก แบบนี้ใครเล่าจะอดใจไม่บีบแก้มพวกเขาได้
ฉินเหยาเดินออกจากห้องไปยังลานหลังบ้าน เห็นต้าหลางกับพวกพี่น้องกำลังเล่นต่อสู้กันอยู่ นางจึงหยิบท่อนไม้จากกองฟืนไปร่วมวงด้วย
เด็กทั้งสี่คนมองนางด้วยความตื่นเต้นแล้วพร้อมใจกันฟาดไม้ทั้งหมดมาทางนาง
ในช่วงเดือนกว่าๆ นี้ ฉินเหยาสังเกตว่าเด็กๆ ในหมู่บ้านแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่
กลุ่มหนึ่งคือเด็กชายที่อายุเกินเจ็ดปีไปแล้ว จะตามผู้ใหญ่ในบ้านไปทำงานในนา ส่วนเด็กหญิงจะช่วยงานบ้านที่พอทำได้ พร้อมกับเรียนการทอผ้าและเย็บเสื้อจากผู้ใหญ่สตรี
อีกกลุ่มหนึ่งคือเด็กอายุต่ำกว่าเจ็ดปีซึ่งยังไม่มีโรงเรียนให้เรียน และทำงานหนักไม่ได้จึงวิ่งเล่นกันอยู่บริเวณลานว่างใกล้บ่อน้ำทั้งวัน
เป็นอิสระและสนุกสนานมาก แต่ก็เหมือนเป็นอิสระที่ถูกบังคับ เพราะพวกเขาไม่มีสิ่งอื่นให้ทำ
แต่นี่ก็เป็นเรื่องของปีที่สงบสุข เมื่อสองปีก่อนบ้านเมืองวุ่นวาย ทุกครัวเรือนต้องปิดประตูอยู่แต่ในบ้าน เด็กๆ ขดตัวในบ้าน อดอยากจนไม่มีแรงเล่น
ไม่ว่าจะเป็นเด็กโตหรือเด็กเล็ก เส้นทางชีวิตของพวกเขาดูเหมือนจะถูกกำหนดไว้แล้ว
เด็กหญิงเรียนรู้การทำงานบ้าน งานปักผ้า และงานอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการดูแลบ้าน เมื่อถึงวัยก็แต่งงานมีลูก วนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
ส่วนเด็กชายก็ไม่ต่างกัน ใช้ชีวิตวุ่นวายอยู่ในท้องนาไปตลอดจนแก่ชราและลาจากโลกไป
ในยุคที่แบ่งชนชั้นอย่างชัดเจนนี้ ชาวนาเกิดมาเป็นชาวนาตลอดชีวิต ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสก้าวขึ้นไป
ไม่สิ ก็มีอยู่ แต่ยากมาก
สิ่งนั้นคือการเรียนหนังสือ
แต่สำหรับชาวบ้านในหมู่บ้าน การพูดถึงเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัว
ก่อนหน้านี้ ฉินเหยาเคยถามว่าทำไมไม่ส่งจินเป่าและจินฮวาไปเรียนหนังสือ
เมื่อพูดออกมา คนในเรือนเก่าตระกูลหลิวต่างสีหน้าเปลี่ยนไปพร้อมกัน
นางเหอเอ่ยด้วยความลำบากใจว่า “น้องสะใภ้ เจ้าสามารถอ่านเขียนได้ ชีวิตก่อนหน้านี้คงไม่เลวใช่ไหม แต่ลองดูสภาพบ้านเราตอนนี้สิ จะมีปัญญาส่งลูกไปเรียนได้อย่างไร”
หลิวไป่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยขณะเช็ดโคลนที่ติดอยู่บนจอบ “เรียนแค่ปีสองปีจะมีประโยชน์อะไร อย่างไรก็ต้องกลับมาทำนาอยู่ดี เสียเงินไปเปล่าๆ”
นางจางซึ่งอยู่ในห้องคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ผักให้ฉินเหยาถอนหายใจ “สำนักศึกษาอยู่ในตัวอำเภอ ไปกลับวันหนึ่งใช้เวลาสามชั่วยาม ในหมู่บ้านเองก็มีคนอยากให้ลูกๆ ได้เรียนหนังสือเพื่อจะได้หางานทำในอำเภอในอนาคต”
“แต่ปัญหาคือ บ้านเรามีที่นาให้ทำเยอะ เด็กก็ยังเล็กและเส้นทางก็ไม่ค่อยปลอดภัย ทุกวันต้องมีคนไปส่งและไปรับ”
“ไม่มีเวลาไปส่ง ไปกลับหนึ่งวันต้องเสียค่ารถม้าสี่เหวิน ส่งได้ไม่ถึงครึ่งเดือนก็ต้องพากลับบ้าน เงินในมือไม่พอจะผลาญใช้แบบนี้”
“ตอนนี้คนรุ่นเดียวกับเจ้าสี่ที่บ้านเราก็โตเป็นหนุ่มแล้ว ทำงานในไร่ได้ดีไม่แพ้ใคร เพิ่งหมั้นหมายไป ชีวิตก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร”
ความหมายโดยนัยก็คือ แม้แต่ครอบครัวที่มั่งมีในหมู่บ้านยังส่งลูกไปเรียนไม่ได้แล้วนับประสาอะไรกับครอบครัวที่ยังต้องดิ้นรนเรื่องปัญหาปากท้องอย่างพวกเขาเล่า
นางชิวกล่าวว่า “นี่แค่ค่าเดินทางไปเรียนกับค่าเล่าเรียนพื้นฐาน ยังไม่ได้คิดถึงค่าใช้จ่ายแฝงอย่างพวกพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของสิ้นเปลืองที่ต้องจัดหาอย่างต่อเนื่อง”
เรียนหนังสือหรือ ชาวบ้านธรรมดาคงไม่กล้าคิดฝันถึงหรอก!
เมื่อคิดเช่นนี้ ตอนที่หลิวจี้ได้ไปเรียนหนังสือในตัวอำเภอถึงหนึ่งปีครึ่งก็นับว่าเป็นวาสนาอันใหญ่หลวงแล้ว
หากมิใช่ว่าเขานิสัยเลวร้าย และหากมิใช่ว่าบิดาของเขายังไม่หมดหวังในตัวเขาจนหาอาจารย์มาสั่งสอน เขาย่อมไม่มีโอกาสได้ไปเรียนในสำนักศึกษาแน่
เสียงปังดังขึ้น ทำให้ฉินเหยาได้สติจากภวังค์ทันที
ที่แท้เป็นเพราะตอนที่นางกำลังคิดอะไรเพลินๆ ไม่ทันระวัง เลยตีไม้กระบองเล็ก ๆ ของพี่น้องทั้งสี่จนร่วงหมด
เด็กทั้งสี่คนมองนางด้วยสายตาเต็มไปด้วยความน้อยใจและไม่ยินยอม
ฉินเหยายิ้มให้พวกเขาอย่างให้กำลังใจ ก่อนจะส่งสัญญาณให้หยิบไม้ขึ้นมาใหม่ “เอาอีกครั้ง!”
เด็กทั้งสี่มีจิตวิญญาณแห่งการเอาชนะอยู่ไม่น้อย พวกเขาไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาสี่คนจะไม่สามารถตีไม้ของแม่เลี้ยงคนเดียวให้หลุดมือได้
แต่ความจริงนั้นโหดร้าย ฉินเหยาถือไม้ด้วยมือข้างเดียว ขยับตัวว่องไวในวงล้อมของพวกเขาอย่างคล่องแคล่วราวกับปลาไหล พวกเขาตีไม่โดนนางเลย
ไม่นาน ซานหลางและซื่อเหนียงก็หมดแรง หอบหายใจแล้วยอมแพ้ไป
เอ้อร์หลางมองดูพวกพ้องที่หมดกำลังช่วยเหลือก็พลอยหมดกำลังใจตามไปครึ่งหนึ่ง ไม้ในมือถูกไม้ของฉินเหยาปัดกระเด็นดังฟิ้ว ข้ามกำแพงสูงไปตกในพงหญ้านอกลานบ้าน
“โธ่เอ๊ย!” เอ้อร์หลางโกรธจนสะบัดมือทั้งสองไปมา ได้แต่ถอยกลับไปยืนที่มุมกำแพงกับซานหลางและซื่อเหนียง พร้อมส่งเสียงเชียร์ให้พี่ใหญ่ที่เหลืออยู่คนเดียว
ต้าหลางที่ยังสามารถต้านทานได้ถึงตอนนี้ ทำให้ฉินเหยารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย อีกทั้งเด็กชายผู้นี้ยังดูไม่รีบร้อนเหมือนสามคนที่เหลือ
เขาที่พยายามจับปลามาเป็นเดือนก็ยังจับไม่ได้ แต่กลับได้ฝึกฝนความอดทนจนเชี่ยวชาญ
ฉินเหยาเห็นเขาเหงื่อท่วมศีรษะ แต่ยังไม่ยอมแพ้ ไม้หล่นแล้วก็เก็บขึ้นมาใหม่แล้วพุ่งเข้ามาหานาง นางจึงเปลี่ยนจากตั้งรับเป็นรุกกลับทันที
ใช้ความได้เปรียบด้านความสูง เหวี่ยงไม้ตรงไปที่ข้อมือของเด็กชาย
ไม่คาดคิดว่าเขาจะจับทางนางได้ล่วงหน้า รีบหลบไปด้านข้างอย่างลุกลี้ลุกลน
แม้ในท้ายที่สุด ไม้เล็กๆ ในมือเขาจะถูกฉินเหยาปัดหลุดตามที่นางคาดการณ์ไว้ แต่แค่เขาหลบการโจมตีแรกของนางได้ก็ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจแล้ว
เด็กคนนี้ มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้!
MANGA DISCUSSION