“พี่ใหญ่ ทำอย่างไรดี” พี่น้องหลายคนถามหลินเอ้อร์เป่าเสียงเบา
หลินเอ้อร์เป่ามองฉินเหยาอย่างลึกล้ำปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “พวกเรา…พวกเราพาตัวเขาไปได้จริงๆ หรือ”
ฉินเหยาพยักหน้า “พาไปเถอะ ข้าไม่มีทางขวางแน่นอน”
หลินเอ้อร์เป่าและพรรคพวก “…”
หลินเอ้อร์เป่านึกถึงตอนที่ฉินเหยาสะบัดเขาออกเมื่อครู่ในใจยังรู้สึกหวาดระแวงอยู่เล็กน้อย และไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนรังแกสตรีและเด็กจึงตัดสินใจทำใจกล้าขึ้น
ได้ เจ้าสองสามีภรรยาแสดงละครต่อไปเถอะ ข้าจะคอยดูว่าใครกันจะร้องไห้ในตอนจบ!
“พาตัวไป!”
หลินเอ้อร์เป่าออกคำสั่ง พี่น้องในกลุ่มรีบจับหลิวจี้ที่ถูกมัดจนเหมือนบ๊ะจ่างบนพื้นขึ้นแล้วแบกไปในทันที
เดินไปหลายก้าว พวกเขาก็หันกลับมามองดูว่าฉินเหยาจะแสดงสีหน้าอย่างไร
แต่กลับพบว่าฉินเหยาไม่แสดงท่าทีใดๆ แม้แต่น้อย
ตั้งแต่เกิดมาหลินเอ้อร์เป่าเองก็เพิ่งเคยพบเจอเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก ล้วนบอกว่าเป็นสามีภรรยาเพียงคืนเดียวก็มีบุญคุณกันร้อยราตรี แต่เหตุใดคนคู่นี้กลับไม่มีแม้แต่ความผูกพันหลงเหลือเลยเล่า
ยังมีเด็กอีกสี่คนของตระกูลหลิวกลับไม่มีใครเข้ามาขัดขวางเลยแม้แต่นิด เจ้าหลิวสามนี่ต้องโดนรังเกียจถึงเพียงไหนกันเนี่ย!
หลิวต้าหลางมองส่งหลินเอ้อร์เป่าและพรรคพวกแบกหลิวจี้ที่ดิ้นอย่างรุนแรงเดินห่างออกไปแล้วมองแม่เลี้ยงตรงหน้า พลางถามหยั่งเชิงด้วยเสียงแผ่วเบา
“ท่านเพียงต้องการขู่พ่อข้า ไม่ได้คิดจะให้หลินเอ้อร์เป่าฆ่าเขาจริงๆ หรอกใช่ไหม”
ฉินเหยา “…” ไม่ใช่ ข้าตั้งใจจริง
เด็กทั้งสี่คน “…”
พวกเขามองดูฉินเหยาไล่ชาวบ้านที่ยืนมุงดูออกไป หยิบจอบและถุงสองใบที่ไม่รู้ว่าด้านในใส่สิ่งใดเอาไว้เดินเข้าไปเข้าบ้าน
พี่น้องตระกูลหลิวทั้งสี่แลกเปลี่ยนสายตากัน หลังจากนั้นพี่ชายน้องชายทั้งสามคนก็ตะโกนเรียก “พ่อ!” ก่อนจะวิ่งตามไปยังทิศทางที่หลินเอ้อร์เป่าและพรรคพวกจากไปอย่างบ้าคลั่ง
แต่น่าเสียดายที่ร่างกายอ่อนแอเกินไป วิ่งไปไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยจนขาอ่อน เวียนหัวตาลาย หยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ตรงสุดหมู่บ้าน
ไม่นานนัก พวกเขาก็กลับมาอย่างหมดอาลัย พอมองดูแผ่นหลังของฉินเหยาที่กำลังยุ่งง่วนอยู่ ทำท่าอึกอักแต่ไม่กล้าพูดอะไร
จากนั้นไม่นาน หลิวเหล่าฮั่นพ่อลูกสี่คนก็หอบแฮ่กๆ กลับมาจากทุ่งนาอย่างรีบร้อน
…
ใต้หล้าเพิ่งกลับสู่ความสงบหลังจากผ่านยุคแห่งความวุ่นวายไปไม่นาน
ในปัจจุบัน ประชากรในแคว้นเซิ่งมีจำนวนน้อย ดังนั้นชาวบ้านจึงได้รับการแบ่งสรรที่ดินกันค่อนข้างมาก โดยชายวัยผู้ใหญ่หนึ่งคนได้รับที่ดินห้าสิบหมู่ ส่วนสตรีวัยผู้ใหญ่หนึ่งคนได้รับยี่สิบหมู่
แน่นอนว่าภาษีก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลหลิวปลูกข้าวฟ่างในฤดูใบไม้ผลิและปลูกข้าวสาลีในฤดูใบไม้ร่วง ตลอดปีล้วนวุ่นอยู่กับการทำไร่ แต่ผลผลิตกลับไม่มากนัก ลำบากเช่นนี้กลับทำได้เพียงฝืนเลี้ยงดูครอบครัวใหญ่ได้อย่างกระเบียดกระเสียร
เมื่อเห็นว่าอากาศเริ่มเย็นลง หลิวเหล่าฮั่นก็ไม่กล้าอยู่ว่าง ก่อนฟ้าสางก็พาลูกชายทั้งสามคนออกไปทำงานในนาแล้ว
ฝ่ายสตรีในบ้านก็ไม่ได้อยู่ว่างเหมือนกัน นางจางภรรยาใหม่ของหลิวเหล่าฮั่นพาลูกสะใภ้คนโตและคนรองจัดการงานบ้านเสร็จแล้วจึงไปที่แปลงผัก
แม่สามีและลูกสะใภ้ทั้งสามตั้งใจรีบเก็บเกี่ยวผักใบเขียวอีกครั้งก่อนฤดูหนาวมาถึง จะได้เก็บไว้กินในช่วงฤดูหนาว
ขณะที่ทางฝั่งหลิวจี้กำลังวุ่นวาย ในเรือนเก่าของตระกูลหลิวมีเพียงเด็กวัยแปดขวบคนหนึ่งอยู่เฝ้าบ้าน
ชาวบ้านที่มาส่งข่าวเห็นดังนั้นก็รีบสั่งให้เด็กไปตามพวกลุงๆ ของเขากลับมาทันที บอกว่าอาสามของเขากำลังจะถูกพวกทวงหนี้ตีตายแล้ว
ปกติเด็กคนนี้เคยได้ยินปู่ย่าพ่อแม่พูดถึงวีรกรรมของอาสามอยู่เสมอ เขาจึงไม่ชอบอาสามนัก แต่เมื่อรู้ว่าอาสามกำลังจะถูกตีตายก็ไม่สนใจเรื่องชอบไม่ชอบอีก รีบลงกลอนประตูบ้านแล้วออกไปตามผู้ใหญ่ที่นา
เส้นทางบนภูเขาไกลมาก กว่าเด็กจะส่งข่าวไปถึงและหลิวเหล่าฮั่นจะพาลูกชายทั้งสามเดินทางมาถึง คนตรงหน้าบ้านหลิวจี้ก็ถูกฉินเหยาไล่ไปจนหมดแล้ว
พวกเขาไม่พบหลิวจี้ เห็นเพียงพวกต้าหลางกับพี่น้องสี่คนยืนตัวสั่นอยู่ในลานบ้าน หลิวเหล่าฮั่นพลันรู้สึกใจหาย…เขารู้สึกได้ถึงลางร้ายบางอย่าง
“ต้าหลาง พ่อเจ้าเล่า”
หลิวไป่พี่ชายคนโตของหลิวจี้เห็นว่าท่านพ่อถามอยู่นานก็ไม่ได้คำตอบเสียทีจึงอดรนทนไม่ไหว รีบแย่งถามขึ้น
ต้าหลางมองดูท่านปู่และพวกท่านลุงที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วหันไปมองฉินเหยาที่อยู่ในบ้าน ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไร
หรือจะให้บอกว่าแม่เลี้ยงสั่งให้พวกทวงหนี้แบกท่านพ่อไปฆ่าชดใช้หนี้แล้ว
เมื่อเห็นพี่น้องทั้งสี่ไม่พูดอะไร เอาแต่มองเข้าไปในบ้าน หลิวเหล่าฮั่นก็โบกมือ ทั้งหมดเดินไปที่หน้าประตูบ้าน
บ้านของหลิวจี้เป็นกระท่อมมุงจากหญ้าคาที่ไม่มีแม้แต่กำแพงดิน ใช้เพียงโคลนแม่น้ำมาโบกเป็นกำแพง
บ้านแบบนี้มีเพียงสองห้องเล็กๆ ห้องครัวเป็นแบบกลางแจ้ง มีเพียงเตาที่ก่อด้วยหิน หม้อหนึ่งใบตั้งอยู่บนเตา ถังน้ำที่ว่างเปล่าอีกใบข้างเตา ไม่มีแม้แต่รั้วล้อมรอบสามารถมองเห็นได้ในทันที
หลิวเหล่าฮั่นและบุตรชายทั้งสี่คนเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงตรงหน้าฉินเหยา
สะใภ้คนใหม่ที่เจ้าสามพากลับมา หลิวเหล่าฮั่นเคยเห็นหน้าอยู่ครั้งหนึ่ง
เมื่อสามวันก่อน หลิวจี้เจ้าคนไร้ยางอายผู้นี้ขอพักที่เรือนเก่า บอกว่าจะเข้าไปในอำเภอเพื่อรับสะใภ้ เขา ‘ยืม’ เงินสิบเหวิน แล้วใช้เงินนั้นเช่าวัวเทียมเกวียนจากบ้านหวังไปที่อำเภอเพื่อรับคนกลับมา
หลิวจี้กลับยังไม่ลืมว่าที่บ้านยังมีพ่อเช่นเขาที่เป็นผู้อาวุโสอยู่จึงพาสะใภ้ใหม่มาที่เรือนเก่าแล้วคุกเข่าโขกศีรษะให้หลิวเหล่าฮั่นอย่างจริงจัง
เหยาเหนียงที่ลี้ภัยมา ไม่มีเงินติดตัว สวมเพียงเสื้อผ้าชุดเก่าที่คนอื่นให้มา ผอมจนแทบจะเหลือแต่กระดูก
ตอนนั้นนางจางผู้เป็นมารดาเลี้ยงมองดูแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว ร่างกายเล็กๆ ผอมแห้งเช่นนี้ช่างขาดทุนอย่างร้ายกาจ แต่งกับหลิวจี้เจ้าคนไม่เอาไหนนั่นก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดได้หรือไม่
แต่ใบหน้าของนางดูแล้วไม่เลวเลยจริงๆ ไม่แปลกใจที่หลิวจี้ยืนกรานเช่าวัวเทียมเกวียนเพื่อไปรับตัวนางกลับมา
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง น้องเล็ก” ฉินเหยาเรียกพวกเขาทีละคน
พี่น้องตระกูลหลิวทั้งสามพยักหน้ารับ นับว่ายังสุภาพ
พ่อเฒ่าหลิวที่กลั้นลมหายใจเอาไว้พลันถอนหายใจออกมาอย่างแรง ถามด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “เจ้าสารเลวสามนั่นเล่า”
ฉินเหยาวางจอบในมือไว้ที่หลังประตู เพราะนี่คือของที่มีค่าที่สุดในบ้านหลังนี้ตอนนี้
จากนั้นตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไปใช้หนี้แล้ว”
หลิวจ้ง พี่รองของหลิวจี้ไล่บี้ต่อว่า “คนที่มีเงินเพียงเหวินเดียวก็เอาไปซื้อถั่วลิสงครึ่งจานอย่างเขา จะเอาอะไรไปใช้หนี้ได้”
ฉินเหยาช้อนตาขึ้นมองชายทั้งสี่ตรงหน้าก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่มีเงินจึงใช้ชีวิตชดใช้”
พ่อลูกทั้งสี่ตกใจมาก นี่หมายความว่าอย่างไรกัน
ฉินเหยาไม่มีทีท่าจะอธิบาย เพียงกล่าวต่อว่า “หากพวกท่านอยากไถ่ตัวเขาก็ได้ เอาเงินไปไถ่กันเอง อย่างไรข้าก็ไม่มีสักเหวินอยู่ดี”
สภาพของครอบครัวนี้เป็นอย่างไร มองแวบเดียวก็รู้ชัด คำพูดของนางทำให้หลิวเหล่าฮั่นและบุตรชายทั้งสามแย้งไม่ออก ทำได้เพียงนิ่งงันไป
“ท่านพ่อ กลับบ้านไปกินข้าวก่อนเถอะ ตอนเที่ยงพักสักหน่อย บ่ายยังต้องไปที่นากันอีก หรือว่าพวกเราต้องเอาเงินไปไถ่ตัวเจ้าสารเลวนั่นกลับมาจริงๆ บ้านเราก็ไม่มีเงินนะ ท่านพ่อท่านตั้งสติหน่อยเถอะ”
เจ้าสี่ หลิวเฝย บุตรคนเล็กของตระกูลหลิวที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
ปีนี้เขาเพิ่งอายุครบสิบสี่ปี เป็นลูกคนสุดท้องของหลิวเหล่าฮั่นและนางจาง พวกพี่ชายอายุมากกว่าเขาหลายปีจึงยอมให้เขาตลอดทำให้เขาเป็นคนที่มีนิสัยเอาแต่ใจมากที่สุด
เขาไม่เชื่อหรอกว่าฉินเหยา สะใภ้ใหม่ผู้นี้จะไม่สนใจความเป็นความตายของสามีของตน ดังนั้นเมื่อนางที่เป็นภรรยาไม่ร้อนใจแล้วพวกเขาจะร้อนใจทำไม ที่บ้านก็ช่วยไปมากพอแล้ว
ลูกชายในตระกูลหลิวตั้งชื่อเรียงตามลำดับ ไป่ จ้ง ซู จี้ หลิวจี้เป็นคนที่สาม ตามหลักแล้วควรจะได้ชื่อว่าหลิวซูจึงจะถูก แต่หลังจากมีบุตรชายสามคนติดต่อกัน หลิวเหล่าฮั่นก็ไม่อยากมีลูกชายอีกจึงตั้งชื่อให้ว่า หลิวจี้ เพื่อแสดงว่านี่เป็นคนสุดท้ายแล้ว
แต่ใครจะคาดคิดว่า หลังจากมารดาแท้ๆ ของหลิวจี้เสียชีวิตไป หลิวเหล่าฮั่นก็แต่งกับนางจางแล้วทั้งสองกลับมีลูกชายออกมาอีกคน
หลิวเหล่าฮั่นมองดูบ้านที่เต็มไปด้วยเด็กผู้ชายอย่างจนใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อเกิดมาแล้วจะจับไปกดน้ำให้ตายก็คงไม่ได้
บุตรชายทั้งสี่คน คนโตและคนรองเป็นคนกตัญญูและขยันขันแข็ง แม้แต่เจ้าสี่บุตรคนเล็กที่ชอบแย่งชิงผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่แปดขวบก็ลงนากับพ่อและพวกพี่ๆ แล้ว
มีเพียงเจ้าสามบุตรทรพีผู้นี้ ตั้งแต่เล็กก็ไม่เชื่อฟัง เจ้าบอกให้เขาไปทางตะวันออกเขาก็จะไปทางตะวันตก เจ้าบอกให้เขายืนอยู่เฉยๆ อย่าขยับ เขาก็จะปีนต้นไม้ให้ได้
MANGA DISCUSSION