เมื่อตัดสินใจทำก็ลุยเลย ฉินเหยาไม่รอช้า พูดคุยกับหลิวเหล่าฮั่นเสร็จ ตอนบ่ายก็ตัดเนื้อที่เหลืออยู่ออกมาสองชิ้น ชิ้นละหนึ่งจินเพื่อนำไปให้ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลตอนไปแจ้งข่าว
พื้นที่รกร้างในหมู่บ้านถูกถือว่าเป็นของส่วนรวม ดินก็เช่นกัน การใช้งานเล็กน้อยในชีวิตประจำวันไม่เป็นไร แต่หากต้องใช้จำนวนมาก เช่นสำหรับสร้างบ้าน ทางที่ดีควรแจ้งให้ทางหมู่บ้านทราบก่อน
ในสถานการณ์เช่นนี้ การมีทะเบียนบ้านที่ชัดเจนก็แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ หากเป็นคนนอกหมู่บ้าน การใช้ทรัพยากรป่าไม้และดินน้ำของหมู่บ้านย่อมไม่ได้รับอนุญาต
ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลจริงๆ แล้วก็เป็นญาติในระดับลุงและปู่ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ฉินเหยาซึ่งเป็นคนรุ่นหลังลำบากใจ เพียงแค่แปลกใจเล็กน้อยที่บ้านเจ้าหลิวสามจะก่อสร้างเพิ่มเติม แต่ก็ตอบรับอย่างยินดี
ฉินเหยายังสังเกตเห็นว่าชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลหลิวมีความสามัคคีกันดี แม้จะเกลียดหลิวจี้ที่เป็นตัวปัญหา แต่เมื่อมีคนจากหมู่บ้านอื่นมาหาเรื่องหลิวจี้ พวกเขาก็ยังยืนหยัดปกป้องเขาเพราะเป็นคนในตระกูลเดียวกัน
สองครั้งก่อนที่หลินเอ้อร์เป่ามาที่หมู่บ้าน หากไม่ใช่เพราะชาวบ้านมารวมตัวกัน หลิวจี้คงถูกตีจนตายไปแล้ว
เนื่องจากคนทั้งตระกูลล้วนอยู่ที่นี่ แม้พวกเขาจะมาชมเรื่องสนุก แต่หลินเอ้อร์เป่าและพวกก็ยังเกรงใจอยู่บ้าง หากเกิดเหตุร้ายแรงถึงชีวิต คนในตระกูลหลิวคงไม่ปล่อยพวกเขาไป
แคว้นเซิ่งเป็นสังคมแบบตระกูลภายใต้ระบบศักดินา หมู่บ้านเล็กใหญ่เหล่านี้จริงๆ แล้วก็คือการรวมตัวกันของคนในตระกูล
ในหมู่บ้านตระกูลหลิว ร้อยละเก้าสิบล้วนแซ่หลิว เมื่อฉินเหยาเดินสำรวจรอบหมู่บ้านกับหลิวเหล่าฮั่น นางก็พบว่าตำแหน่งของตนในลำดับญาติก็ค่อนข้างสูง
ส่วนใหญ่เรียกนางว่า ‘ป้าสะใภ้’ บางคนเรียก ‘พี่สะใภ้’ และน้อยคนเรียก ‘สะใภ้สาม’
เมื่อออกจากบ้านผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูล ฉินเหยาจึงตามหลิวเหล่าฮั่นไปที่บ้านของท่านอาและท่านลุงของหลิวเหล่าฮั่น เพื่อบอกเรื่องการสร้างบ้านและขอให้พวกเขามาช่วย
หลิวเหล่าฮั่นบอกว่า คนที่มาช่วยงานจะได้มื้อกลางวันหนึ่งมื้อและจ่ายค่าจ้างเล็กๆ น้อยๆ คนละสองเหวินต่อวัน
ฉินเหยาไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์นี้นัก ยังคิดอยู่ว่าค่าจ้างจะน้อยเกินไปหรือเปล่า
ไม่นึกเลยว่า ทั้งท่านอาและท่านลุงจะตอบรับอย่างยินดี พรุ่งนี้เช้าพวกเขาจะนำเครื่องมือพร้อมแรงงานในบ้านมาช่วยงานที่บ้านของนาง
สำหรับชาวบ้านที่ดิ้นรนอยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความอิ่มท้องกับอดอยาก มื้อกลางวันหนึ่งมื้อเปรียบเสมือนการประหยัดข้าวสารไปได้หนึ่งมื้อ
ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด มื้ออาหารนี้สามารถต้มเป็นข้าวต้มเหลวเลี้ยงคนทั้งครอบครัวให้มีชีวิตรอดไปได้อีกวัน
ก่อนหน้านี้ฉินเหยาคิดว่าบ้านของหลิวจี้คือบ้านที่จนที่สุดในหมู่บ้านแล้ว แต่พอมาเห็นสตรีและเด็กที่ผ่ายผอมในบ้านของท่านอาก็เพิ่งเข้าใจว่านี่คือสภาพที่เกิดขึ้นทั่วไป
เพราะขาดแคลนเครื่องมือการเกษตรจึงไม่สามารถทำการเพาะปลูกอย่างละเอียดได้ ทำให้ได้ผลผลิตต่ำ บ้านที่มีคนในครอบครัวมาก แค่เลี้ยงดูไม่ให้ตายอดตายก็ลำบากมากแล้ว อย่าว่าแต่จะกินอิ่มเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ที่ดินก็ไม่ได้มีมาตลอด พึ่งจะมีในปีนี้หลังจากราชวงศ์ใหม่ขึ้นครองอำนาจและทำการจัดสรรที่ดินใหม่ให้
หลิวเหล่าฮั่นมองฉินเหยาที่ดูเหมือนไม่รู้อะไรเลยแล้วเดาว่าครอบครัวของนางน่าจะมีฐานะไม่เลวในอดีต ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวว่า
“ก็เพิ่งปีนี้นี่แหละ ที่ฝ่าบาทจัดสรรที่ดินใหม่ให้ทุกคน ชาวบ้านถึงได้ไม่ต้องกังวลว่าจะผ่านฤดูหนาวไปไม่ได้ หากเป็นปีก่อนๆ เวลานี้คงไม่มีอะไรกินแล้ว”
ฉินเหยาประหลาดใจ “เพิ่งจะเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงมาไม่นานเอง ยังจะไม่มีอะไรกินอีกหรือ”
หลิวเหล่าฮั่นทำท่าทางราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกติ เขาส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อว่า “หลังเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงเสร็จ ก็จะมีการเก็บภาษี โดยมีหลี่เจิ้งนำคนมาที่หมู่บ้านเพื่อเก็บภาษีเป็นผลผลิตซึ่งต้องจ่ายเป็นธัญพืชเท่านั้น ห้ามใช้เงินหรือผ้าผ่อนแทน เดิมที่ดินก็มีอยู่ไม่กี่หมู่ ผลผลิตก็ได้เท่านั้นแล้วยังต้องเสียภาษีหนึ่งในแปดของผลผลิต เจ้าว่าจะเหลือเท่าไรเล่า”
ไม่ต้องคำนวณแล้ว เหลือรอดมาได้ก็นับว่าวิเศษมากแล้ว
ทั้งสองไปเยี่ยมบ้านใกล้เรือนเคียงหลายหลัง ทุกคนล้วนเต็มใจมาช่วยงาน ไม่ใช่เพราะค่าจ้างสองเหวิน แต่เพราะมื้อกลางวัน
แบบนี้จำนวนคนงานก็เพียงพอแล้ว หลิวเหล่าฮั่นไปบอกลุงเก้า ส่วนฉินเหยาที่เห็นว่าเย็นมากแล้วก็กลับบ้านไปเตรียมตัวก่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มสาง หลิวจี้ที่กำลังนอนฝันหวานอยู่บนเตียงได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากนอกบ้าน จนสะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้นจากความฝัน
“ต้าหลาง! ต้าหลาง!” หลิวจี้ตะโกนเรียกไปทางประตูด้วยน้ำเสียงลนลาน
อย่าบอกนะว่าสัตว์ป่าลงจากภูเขามาหาอาหาร
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาคิดมากเกินไป ประตูที่ปิดสนิทถูกผลักเปิด ต้าหลางเดินเข้ามาด้วยท่าทางงุนงง เขาแต่งตัวเรียบร้อย ดูเหมือนจะตื่นมานานแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านจะฉี่หรือ” ต้าหลางเดินไปที่เตียงแล้วก้มลงหยิบกระโถน
หลิวจี้มองบุตรชายด้วยความอับจนปัญญา ทุกวันพอเห็นหน้าก็ถามว่าอยากฉี่ไหม เขาจะมีฉี่เยอะแค่ไหนกันเชียว “ไม่ฉี่!”
“ข้างนอกเสียงอะไร? พวกเจ้าทำอะไรกันเสียงดังลั่นเพียงนี้”
ต้าหลางวางกระโถนลงแล้วตอบว่า “ที่บ้านกำลังต่อเติมห้อง ท่านน้ากับคนอื่นๆ กำลังขุดดินใช้หินรองเป็นฐานอยู่”
หลิวจี้งงเล็กน้อย “บ้านเราจะต่อเติมห้องหรือ?”
ต้าหลางพยักหน้าแล้วเดินออกไปเมื่อเห็นว่าเขาไม่ฉี่ “ท่านพ่อ ถ้าท่านไม่ฉี่ ข้าจะไปแล้วนะ งานเยอะมากเลย”
พูดจบ ต้าหลางก็มองบิดาด้วยสายตาประหลาด ดูแล้วเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องนอนอยู่บนเตียงแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมไม่ลงมาช่วยงานบ้าน
คิดได้ดังนั้น ต้าหลางก็วิ่งออกไปหาฉินเหยาแล้วบอกว่า
“ท่านน้า ข้าว่าท่านพ่อของข้าใกล้หายดีแล้วล่ะ”
ฉินเหยาวางตะกร้าหินหนักอึ้งที่แบกอยู่บนไหล่ลงที่ลานบ้าน ประเดี๋ยวจะมีคนจัดการนำหินเหล่านี้ไปวางเป็นฐานเอง
ฉินเหยาแบกหินกลับมาคนเดียวได้มากกว่าชายฉกรรจ์สามคนรวมกันเสียอีก แม้แต่หลิวเฝยกับเด็กหนุ่มอีกสองสามคนที่เก็บหินอยู่ริมน้ำยังตามนางไม่ทัน
ฉินเหยาคิดว่าพวกเขายังต้องเก็บหินที่ริมน้ำอีกสักพักจึงส่งสัญญาณให้ต้าหลางตามมา นางเดินไปที่โอ่งน้ำข้างเตา ตักน้ำเย็นๆ ขึ้นมาดื่มหมดรวดเดียว ก่อนจะถามว่า “หายแล้วหรือ”
ต้าหลางพยักหน้า “เขาลุกมาเดินเองได้แล้ว เมื่อวานตอนเย็นข้าเห็นเขาอาศัยจังหวะที่ท่านน้าไม่อยู่ คุ้ยของในบ้านเสียจนกระจุยกระจาย”
เขาเดาว่า น่าจะกำลังหาเงิน แต่ก็หาไม่เจอ
เพราะท่านน้าเอาถุงเงินคาดเอวไว้ตลอด ท่านพ่อหาเจอก็คงแปลกแล้ว
ฉินเหยาลูบศีรษะหนุ่มน้อย “ได้ ข้ารู้แล้ว เจ้าไปพักผ่อนกับเอ้อร์หลางในบ้านเถอะ ที่นี่มีคนทำงานเยอะอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าตัวเล็กอย่างเจ้าหรอก”
ต้าหลางพยักหน้ารับอย่างเขินๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน
ในบ้านมีของมากมายและไม่มีที่ใช้เก็บซ่อน เขาจึงคอยช่วยเฝ้าระวังไม่ให้ใครแอบขโมยของไป
ฉินเหยามองต้าหลางเดินเข้าไปในห้องข้างแล้วผลักประตูห้องหลักเข้าไป
หลิวจี้กลับไปนอนหลับอีกรอบ แม้ว่าข้างนอกจะเสียงดังแค่ไหนก็ไม่สามารถปลุกเขาได้
แต่ไม่รู้เหตุใดถึงรู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง ราวกับถูกงูตัวใหญ่จ้องมองอยู่อย่างนั้น
หลิวจี้สะดุ้งตื่นทันที พอเงยหน้าขึ้นก็พบกับสายตาเย็นชาของฉินเหยา
“เมียจ๋า? เจ้าทำข้าตกใจนะ!” หลิวจี้ตบอกตัวเอง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองฉินเหยาด้วยสายตาตำหนิ
ฉินเหยาเห็นเขาท่าทางแข็งแรงดีแล้วก็เอื้อมมือไปดึงยาแผ่นทาลดบวมออกจากใบหน้า แผลของเขาไม่บวมแล้ว มีเพียงรอยฟกช้ำจางๆ เท่านั้น
ดูเหมือนต้าหลางจะพูดถูก เขาสามารถลงไปทำงานได้แล้ว
แม้จะทำงานหนักไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังสามารถก่อไฟ หุงข้าว หรือผัดอาหารพวกนี้ได้
“ลุกขึ้น!”
ฉินเหยาดึงผ้าห่มบนร่างเขาออก
หลิวจี้ตกใจจนหน้าถอดสี หรือสตรีผู้นี้เห็นว่าเขาหล่อเหลาสง่างามจนอดใจไม่ไหว คิดจะทำอะไรเขาใช่หรือไม่?
MANGA DISCUSSION