ฉินเหยากลับมาถึงบ้านในช่วงเที่ยง
นางไปที่หมู่บ้านเซี่ยเหอเพื่อนำธนูและลูกธนูไปคืนตระกูลหยาง
คันธนูยังอยู่ในสภาพดี แต่ลูกศรเสียหายไปสิบดอก ฉินเหยาจึงให้เงินค่ายืมแปดตำลึงห้าเฉียนตามที่ตกลงกันไว้ คิดเป็นหนึ่งในสิบของรายได้
พี่น้องหยางต้าตกตะลึงไป คิดไม่ถึงว่านางจะให้เงินตนแปดตำลึงกว่าในคราวเดียว
พวกเขาถามด้วยความสงสัยทันทีว่า “แม่นางฉิน เจ้าล่าได้สัตว์ใหญ่มาใช่ไหม”
ฉินเหยาไม่ปิดบัง ตอบตรงๆ ว่า “ใช่ ข้าล่าหมีดำมาได้ตัวหนึ่ง”
“เจ้าคนเดียวน่ะรึ” พี่น้องทั้งสองถามขึ้นพร้อมกัน
ฉินเหยาพยักหน้า “ใช่”
หยางต้าและหยางเอ้อร์ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าสถานการณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไร
ปีนั้นตอนที่พวกเขาสองคนล่าเสือได้ตัวหนึ่ง นั่นเกิดจากโชคช่วยล้วนๆ ตอนนั้นพวกเขาบังเอิญเจอเสือและเสือดาวกำลังสู้กัน ตอนที่เสือดาวโดนเสือตัวนั้นไล่จนหนีไป ถือโอกาสตอนที่เสือตัวนั้นยังอ่อนแรงอยู่ พวกเขาต้องสู้สุดชีวิตถึงจะฆ่าเสือตัวนั้นได้
หลังจากนั้น พวกเขาก็ไม่เคยโชคดีแบบนั้นอีกเลย
หยางเอ้อร์ยังมีปมฝังใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างมาก ตอนนี้หากพวกเขาสองคนต้องเข้าป่าคนเดียวก็มักจะหลีกเลี่ยงสัตว์ใหญ่เพื่อรักษาชีวิตไว้
ฉินเหยาถามพวกเขาว่าสามารถช่วยทำคันธนูให้ตนได้หรือไม่
หยางต้าเก็บความตกตะลึงไว้แล้วตอบตกลงอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ว่าฉินเหยาแรงเยอะจึงถามนางว่าอยากได้ธนูแบบไหน
ฉินเหยาไม่ได้เรียกร้องมากนัก “ขอเพียงใช้ดีเหมือนธนูของท่านก็พอ แต่เพิ่มแรงดึงเป็นสองเท่า น่าจะได้ใช่ไหม”
แรงดึงของธนูนั้นขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ทำคันธนู หากอ่อนเกินไปก็ไร้พลังทำลายล้าง หากแข็งเกินไปก็อาจหักได้ แม้ว่าคำขอของฉินเหยาจะดูไม่มาก แต่จริงๆ แล้วก็ถือว่าเงื่อนไขค่อนข้างสูงเลยทีเดียว
หยางต้าคิดถึงวัสดุที่สามารถหาได้ในบริเวณนี้ แต่ก็ยังไม่กล้ารับประกันเต็มปาก “ข้าจะลองดูนะ”
ฉินเหยาพยักหน้า นางไม่ได้เร่งรัดเพราะเข้าใจว่าศักยภาพการผลิตในที่นี้นั้นมีจำกัด การจะได้คันธนูที่ทรงพลังมาคงไม่ใช่เรื่องง่าย
นางให้เหรียญทองแดงสามร้อยเหรียญแก่หยางต้าเพื่อเป็นเงินมัดจำ ให้เขาลองทำไปก่อน หากทำเสร็จแล้วให้ฝากคนมาบอกที่หมู่บ้านตระกูลหลิวแล้วนางจะมารับ
หลังจากออกจากบ้านตระกูลหยาง ฉินเหยาก็ไปยังบ้านของช่างตีเหล็กเพื่อลับมีดสั้นและสั่งทำดาบยาวหนึ่งเล่มกับกริชสั้นอีกหนึ่งเล่ม
โลหะผสมนั้นหายาก ประกอบกับทักษะของนายช่างนั้นไม่สอนให้แก่คนนอก ช่างตีเหล็กในหมู่บ้านเซี่ยเหอบอกว่าเขาคิดค้นเหล็กกล้าได้เองและสามารถทำมีดเหล็กกล้าให้ฉินเหยาได้ แต่ฉินเหยาเองก็ไม่กล้าคาดหวังในตัวนายช่างที่ปกติตีแต่มีดทำครัวมากนัก
อย่างไรก็ตาม นางต้องมีอาวุธไว้ใช้ เพราะหากไม่มี นางก็คงนอนไม่หลับ
แม้ที่นี่จะไม่มีซอมบี้หรือพืชสัตว์กลายพันธุ์ ทั้งยังไม่มีคนที่คิดจะกินเนื้อคนด้วยกันก็ตาม
แต่ที่นี่มีโจรภูเขาและพวกทหารทางการก็ไม่สนใจแถบชนบท หากเกิดเรื่องขึ้น ชาวบ้านก็ต้องปกป้องตนเอง
ก่อนจะจากไป ฉินเหยาก็นึกถึงของชิ้นเล็กๆ อย่างหนึ่งขึ้นได้… หนังสติ๊ก
หนังสติ๊กเหมาะสำหรับการพกพา ไม่เป็นที่สังเกต เมื่อใช้ร่วมกับเรี่ยวแรงของนาง บางครั้งอานุภาพการทำลายล้างก็ไม่แพ้กระสุนปืนเลย
ในแคว้นเซิ่งไม่มีหนังสติ๊ก เพราะไม่มีวัสดุอย่างยางธรรมชาติไว้สำหรับทำยางดีด
ฉินเหยาวาดแบบโครงของหนังสติ๊กให้ช่างตีเหล็กทำและให้เขาช่วยทำลูกเหล็กขนาดเท่าลูกแก้วมาอีกห้าสิบลูก
สำหรับหนังยางนั้น นางต้องหาวัสดุมาทดแทนเอง
ก่อนกลับหมู่บ้านตระกูลหลิว ฉินเหยายังแวะไปดูเตาเผากระเบื้องแห่งหนึ่ง ถามราคาอย่างละเอียดก่อนค่อยกลับบ้าน
หลังจากวิ่งวุ่นทั้งเช้า เหลือเงินในกระเป๋าเพียงยี่สิบห้าตำลึงเท่านั้น
เมื่อรวมค่าใช้จ่ายในการสร้างบ้าน ล้อมรั้ว และทำเครื่องเรือนแล้วก็แทบจะเรียกได้ว่ากลับไปเริ่มต้นใหม่หมดเลย
เมื่อฉินเหยากลับถึงบ้าน เด็กทั้งสี่คนก็รีบวางก้อนหินและก้อนดินที่เล่นอยู่ ล้อมวงเข้ามาหานางทันที
“เปลี่ยนยาแล้วหรือยัง” ฉินเหยาถามพลางเดินเข้าไปในห้องหลัก
หลิวจี้ที่กำลังนอนปวดใจกับใบหน้าของตัวเอง พอเห็นฉินเหยา ทั้งร่างก็แข็งทื่อขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ต้าหลางตอบว่า “เปลี่ยนยาเรียบร้อยแล้ว”
ฉินเหยาพยักหน้า ถามหลิวจี้เหมือนเป็นเรื่องปกติว่า “รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยัง วันนี้ถ่ายหนักถ่ายเบาหรือยัง กินอะไรไปบ้าง ดื่มน้ำมากแค่ไหน”
หลิวจี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่คือความห่วงใยใช่ไหม ใช่กระมัง
ต้าหลางเห็นบิดาอ้ำอึ้งอยู่จึงตอบแทนว่า “ดื่มน้ำไปหนึ่งชาม กิยข้าวต้มครึ่งชามแล้วก็ฉี่ไป”
หลิวจี้หน้าแดงเรื่อ รีบเอ่ยตะกุกตะกักขึ้นว่า “ดีขึ้นมากแล้ว”
ฉินเหยายื่นมือออกไปลอกแผ่นยาสมุนไพรออก ปรากฏว่าอาการบวมช้ำลดลงไปมากแล้ว ดูเหมือนยาที่หมอในหมู่บ้านให้มาจะใช้ได้ผลทีเดียว
หากอิงตามนี้ อีกสามสี่วันเขาก็น่าจะลุกขึ้นมาทำงานได้แล้ว
หลังตรวจดูอาการของหลิวจี้เสร็จ ฉินเหยาก็เดินเข้าครัวไปทำอาหารกลางวัน
เดิมนางก็ทำอาหารไม่เก่งและขี้เกียจทำอะไรยุ่งยากจึงทำแค่หุงข้าวหม้อหนึ่ง ปั้นเป็นข้าวปั้นหกลูก เด็กกินลูกเล็ก ผู้ใหญ่กินลูกใหญ่และตัวนางเองกินลูกยักษ์
หลิวจี้มองข้าวปั้นข้าวขาวที่ต้าหลางนำเข้ามาก็รู้สึกตกใจกับความมั่งคั่งของบ้านอีกครั้ง
มีอาหารกลางวันด้วยหรือ
“พวกเจ้ากินกันวันละกี่มื้อหรือ” หลิวจี้ถามด้วยความสงสัย
ต้าหลางกัดข้าวปั้นหอมกรุ่นขนาดใหญ่เท่ากำปั้นในมือตน พลางชูนิ้วสามนิ้วขึ้นมา
หลิวจี้ทั้งตกใจทั้งดีใจ คิดในใจว่าหากทุกวันมีอาหารแบบนี้ให้กิน จะให้เขาเอาใจสตรีใจร้ายผู้นั้นบ้างก็พอไหว
เขากัดข้าวปั้นในมือคำหนึ่ง คิดในใจว่า อืม ข้าวนิ่มๆ แบบนี้ช่างอร่อยเสียจริง!
หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ ฉินเหยาก็ออกไปข้างนอกอีกครั้ง
นางนำเข็มด้าย ผ้าฝ้าย และผ้าสามพับที่ซื้อมาไปยังเรือนเก่าตระกูลหลิว
แม้ว่าข้าวสาลีจะปลูกไปแล้ว แต่ยังมีแปลงผักว่างอยู่อีกสองสามหมู่ ช่วงต้นเดือนสิบเอ็ดเป็นช่วงเหมาะในการปลูกถั่วลันเตาและถั่วปากอ้า นางจางกำลังคัดเมล็ดพันธุ์อยู่ในห้องโถงเพื่อเตรียมปลูกในอีกสองสามวัน
จากในบ้านได้ยินเสียงกี่ทอผ้าดังแว่วมา นางเหอและนางชิวกำลังเร่งทอผ้า
พื้นที่ทำการเกษตรที่ทางการแบ่งให้มีมาก ชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกข้าวครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งปลูกหม่อน ใบหม่อนและไหมล้วนผลิตเอง ด้วยความเร็วของสะใภ้ทั้งสอง อาศัยช่วงว่างทอผ้าไหมได้ปีละสองพับ โดยขายพับละสองตำลึง
เงินสี่ตำลึงนี้ มากกว่าผลผลิตจากการทำงานในนาเป็นปีของบุรุษเสียอีก
ดังนั้น ในครอบครัวแบบดั้งเดิมที่บุรุษไถนาและสตรีทอผ้า ฐานะของสตรีจึงไม่ต่ำต้อยเลย
ในมุมของลานบ้านเลี้ยงแม่ไก่ไว้ห้าตัว นางจางเลี้ยงพวกมันมากว่าสองปีแล้ว ตราบใดที่พวกมันยังไข่ นางก็ตัดใจฆ่าไม่ลง
วันนี้อากาศดีจึงเปิดกรงให้แม่ไก่ออกมาเดินไปมาในลานบ้าน บนพื้นเต็มไปด้วยมูลไก่
ฝ่ายบุรุษก็ไม่ได้นั่งว่าง พ่อลูกสี่คนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กำลังตักมูลจากส้วมหลังบ้าน เพื่อนำไปใส่ปุ๋ยในแปลงข้าวสาลี
ทุกคนคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแบบนี้มานานแล้วจึงทำงานกันต่อไปอย่างปกติ
ส่วนฉินเหยาที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามากลับไม่คุ้นชินกับกลิ่นมูลไก่และมูลสัตว์ที่อบอวล
จินฮวาที่นั่งยองๆ เล่นก้อนหินอยู่หน้าประตูเป็นคนแรกที่เห็นฉินเหยา นางเงยหน้าขึ้นมาเรียก “อาสะใภ้สาม”
ฉินเหยาถือของเต็มมือจึงไม่สามารถลูบหัวนางได้ เพียงยิ้มถามว่า “ป้าใหญ่กับแม่ของเจ้าอยู่บ้านหรือไม่?”
จินฮวาพยักหน้า ไม่รู้ว่ากำลังแกะอะไรอยู่ มือเล็กมอมแมมชี้ไปที่ห้องฝั่งตะวันตก “ท่านแม่กับป้าใหญ่กำลังทอผ้าอยู่เจ้าค่ะ”
นางจางที่อยู่ในห้องโถงได้ยินเสียงคนจากหน้าประตูจึงวางงานในมือแล้วลุกขึ้น เมื่อเห็นฉินเหยาถือฝ้ายและผ้ามาด้วยจึงถามด้วยความสงสัยว่า
“สะใภ้สาม นี่คืออะไรหรือ”
นางจางไม่ได้มั่นใจในตนเองถึงขั้นคิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายนำมานี้คือของที่นำมาแสดงความกตัญญูต่อตน และเพราะเหตุนี้จึงรู้สึกแปลกใจ
ฉินเหยาเอ่ยเรียกนาง ก่อนจะหันไปมองทางห้องฝั่งตะวันตกแล้วกล่าวว่า “ข้ามาขอให้พี่สะใภ้ทั้งสองช่วยทำชุดสักสองสามชุดเจ้าค่ะ ท่านพ่ออยู่ไหนหรือเจ้าคะ ข้าคิดว่าจะใช้ช่วงเวลาที่ว่างจากการทำนา ซ่อมแซมบ้านเสียหน่อย”
MANGA DISCUSSION