หลังจากวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง หลิวจ้ง หลิวไป่ และหลิวเฝยก็ช่วยกันหามหลิวจี้เข้าไปในบ้าน
ต่อหน้าผู้คนมากมาย ฉินเหยาเองก็ไม่สะดวกที่จะปล่อยให้หลิวจี้นอนบนพื้นจึงยอมฝืนใจให้เขานอนบนเตียงเดี่ยวของตนเอง
อย่างไรวันนี้นางมีเสื่อต้นจงและผ้านวมแล้ว นางไม่สนใจเตียงที่ปูด้วยฟางข้าวนั่นอยู่แล้ว
หลิวเหล่าฮั่นส่งหลานชายหลิวจินเป่าไปตามหมอเท้าเปล่า[1]ของหมู่บ้านให้มาดูอาการของหลิวจี้
พวกหลิวต้าหลางพี่น้องเห็นว่าเสียงที่หน้าบ้านเงียบไปแล้วจึงเปิดประตูออกมาดูแล้วมองฉินเหยาก่อน
“ไม่มีอะไรแล้ว หนี้จ่ายคืนไปหมดแล้ว พวกเจ้าไปดูพ่อของเจ้าเถอะ ข้าจะไปขนของ” หลังสั่งเสร็จ ฉินเหยาก็เดินไปทางรถเทียมวัวที่ยังจอดอยู่บนสะพาน
สารถีที่ได้ดูละครเรื่องการทวงหนี้และจ่ายหนี้แบบเปล่าๆ เมื่อมองฉินเหยาอีกครั้งก็อดรู้สึกหวั่นๆ ไม่ได้
แต่เพราะเขาเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว เมื่อฉินเหยาบอกให้เขาขับรถเทียมวัวเข้ามา เขาก็ทำตามอย่างว่าง่าย
ของเต็มคันรถชวนให้ผู้คนมองด้วยสายตาเป็นประกาย
นางเหอและนางชิวหันมามองบ่อยครั้ง นางจางจึงแค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “มองอะไรนักหนา ไม่เห็นหรือว่าฟ้ามืดแล้ว รีบกลับบ้านไปทำอาหารเสีย!”
“จริงด้วย ทำอาหารในส่วนของบ้านเจ้าสามด้วยล่ะ” นางจางเอ่ยเสริมขึ้น
นางชิวสะใภ้รองไม่ได้เอ่ยอะไรเพียงตอบรับเสียงเบา
นางเหอสะใภ้ใหญ่กลับถามขึ้นด้วยความแปลกใจว่า “บ้านเจ้าสามไม่ได้แยกบ้านไปแล้วหรือ ยังจะกินข้าวด้วยกันอีก? อาหารของพวกเราก็ไม่ได้ลอยมาตามลมเสียหน่อย…”
คำบ่นที่เหลือถูกสายตาดุดันของนางจางจ้องมองจนต้องกลืนกลับลงไป
นางชิวไม่ได้สนใจพี่สะใภ้ใหญ่ เพียงเดินกลับไปยังเรือนเก่า นางเหอเห็นดังนั้นจึงรีบเดินตามไป
ภายในบ้านใหญ่มีคนอยู่เต็มไปหมด ฉินเหยาจัดการเก็บกวาดห้องข้างที่พวกหลิวต้าหลางพี่น้องเคยนอนแล้วให้สารถีขนของไปวางในห้องนี้ก่อน
พวกธัญพืชถูกยกลงมาก่อน จากนั้นก็เป็นผ้านวมหนาสามผืน ผ้านวมบางสามผืน เสื่อต้นจงสามผืน ผ้าฝ้ายสองพับครึ่งและเสื้อผ้ามือสองกับรองเท้ามือสองอีกจำนวนหนึ่ง
ยังมีหม้อดินเผาใบใหญ่พร้อมฝาปิดอีกหลายใบ ด้านในใส่น้ำมัน เกลือ น้ำปรุงรส น้ำส้มสายชูไว้จนเต็ม รวมถึงถังไม้สองใบ อ่างไม้ใบใหญ่สองใบและของใช้จิปาถะ เช่น เข็มด้าย หม้อและชาม
ท้ายสุดคือเนื้อหมูหนักสิบจินสองชิ้นใหญ่
ทันทีที่เห็นเนื้อ ทุกสายตาก็มองอย่างไม่วางตา
ตอนที่ฉินเหยาจ่ายเงินให้สารถีแล้วหันกลับมาอีกทีก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายดังมาจากด้านหลัง
“ต้าหลาง!” ฉินเหยาตะโกนเรียกไปทางห้องหลัก
ต้าหลางที่กำลังนั่งมองหลิวจี้ด้วยความเป็นห่วงรีบวิ่งออกมาทันทีเมื่อได้ยิน “ท่านน้า?”
ฉินเหยาหยิบเนื้อหมูหนักสิบจินออกมาชิ้นหนึ่ง “เอาไปให้ป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้า บอกว่านี่เป็นค่าฟางและค่าที่นางคอยดูแลเรื่องอาหารการกินของพวกเจ้าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา”
ฝั่งเรือนเก่านั้นยังไม่ได้แยกบ้าน ไม่ว่าเนื้อหมูจะให้ใครก็ถือว่าเป็นของพวกหลิวไป่สามพี่น้องอยู่ดี
แต่การให้หน้าผู้เป็นพี่สะใภ้ใหญ่นี้น่าจะทำให้นางดีใจมากกว่า
ส่วนเนื้อหมูนี้จะถูกจัดการอย่างไรต่อ ฉินเหยาไม่ได้สนใจ
ต้าหลางกลืนน้ำลายลงคอครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าเนื้อหมูชิ้นนี้ใหญ่เกินไป แต่ก็เข้าใจว่าแม่เลี้ยงของเขาย่อมคิดคำนวณเอาไว้แล้วจึงถามด้วยความกังวลพร้อมมองไปทางห้องหลัก “แล้วพ่อของข้าล่ะ”
“ข้าบอกว่าเขาไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็นอะไร ส่งเนื้อหมูไปก่อน ทางนี้มีหมอคอยดูแลอยู่แล้ว”
ขณะที่พูด หลิวจินเป่าก็รีบร้อนพาหมอมาถึงที่
เมื่อมาถึงเห็นเนื้อหมูที่ต้าหลางถืออยู่ ทั้งร่างก็พลันสั่นสะท้าน ดวงตาจับจ้องที่เนื้อจนแทบไม่อาจละสายตา เกือบสะดุดล้มลงกับพื้นแล้ว
โชคดีที่ฉินเหยาตาไวเลยคว้าตัวเขาไว้ได้ทันจึงไม่ล้มลง
“ไปเถอะ” ฉินเหยาส่งสายตาให้ต้าหลาง ต้าหลางเห็นว่าหมอมาถึงแล้วก็เบาใจลง ก่อนจะยกเนื้อหมูมุ่งหน้าไปยังเรือนเก่า
“ข้าก็จะไปด้วย!” หลิวจินเป่ายิ้มหน้าระรื่นให้ฉินเหยาเพื่อขอบคุณที่ช่วยพยุงเขา ก่อนจะรีบวิ่งตามต้าหลางไปพลางตะโกนว่า
“ต้าหลาง เจ้ารอข้าด้วย ข้าจะไปกับเจ้าด้วย!”
“เจ้าตามมาทำไม ข้าไม่ต้องให้เจ้ามาด้วยเสียหน่อย”
“อย่าเลย ข้าไปด้วยดีกว่า เนื้อนี่หนักมาก ข้าจะช่วยเจ้าถือเอง”
“ข้าไม่ต้องให้เจ้าช่วย!”
“งั้นก็ได้ หากหนักเมื่อไรเจ้าบอกข้าแล้วกัน”
ต้าหลางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
หลิวจินเป่าเองก็เพิ่มความเร็วตามไป
ฉินเหยายืนอยู่บนเนิน มองดูเหตุการณ์ด้วยความขบขัน
จากนั้นนางก็หันหลังเก็บสีหน้าแล้วเดินเข้าห้องหลักไป
บ้านหลังนี้เดิมทีก็ไม่ได้ใหญ่มาก เมื่อมีท่านหมอมาร่วมด้วยทำให้ในห้องมีคนถึงสิบคนแล้ว แค่ขยับตัวก็ยังรู้สึกลำบาก
หลิวเหล่าฮั่นไล่เอ้อร์หลางกับคู่แฝดออกไป บอกให้พวกเขาไปที่เรือนเก่า ที่นี่ไม่ต้องให้เด็กๆ มาห่วง
เอ้อร์หลางจูงมือฝาแฝดออกไปทันที เขาเพิ่งเห็นพี่ใหญ่ถือเนื้อชิ้นใหญ่มากไป คิดว่าคืนนี้ต้องมีเนื้อกินแน่
สำหรับพ่อคนเลวที่นอนอยู่บนเตียงนั้น เอ้อร์หลางคิดว่าเขายังดีสู้หมูเนื้อแดงไม่ได้เลย
“ท่านหมอ เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
ทันทีที่ฉินเหยาเข้ามาในห้อง คนอื่นๆ ก็หลีกทางให้นางทันที
ชายที่เดิมทีนอนนิ่งอยู่บนเตียง เมื่อสัมผัสได้ว่านางเข้ามาใกล้ร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน
ฉินเหยารับรู้ได้จึงเหลือบมองแวบหนึ่งก่อนหัวเราะแฝงนัยเบาๆ หลิวจี้ที่นอนแกล้งตายอยู่บนเตียงไม่อาจควบคุมความกลัวในใจไว้ได้ ลืมตาขึ้นในที่สุด
ท่านหมอกำลังจะเปิดเปลือกตาของหลิวจี้ดู จู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้นทำเอาท่านหมอสะดุ้งตกใจ
หลังตั้งสติได้ ท่านหมอก็ลูบอกถอนหายใจยาว “ฟื้นก็ดีแล้ว ดูแล้วเป็นเพียงบาดแผลภายนอก ไม่เป็นอะไรมาก ทายาลดบวมแล้วพักฟื้นสักสองสามวันก็หาย”
หลิวเหล่าฮั่นและคนอื่นๆ ถามหลิวจี้ด้วยความเป็นห่วงว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่
หลิวจี้สูดลมหายใจอย่างเจ็บปวด พูดไม่ได้ ใบหน้าของเขามีแต่บาดแผล เพียงขยับเล็กน้อยก็เจ็บปวดจนแทบขาดใจ รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว
ท่านหมอมองสภาพของเขาแล้วก็รู้สึกแปลกใจ ปกติเวลาตีคนไม่น่าจะตีแค่ที่หน้า เจ้าหลิวสามไปทำอะไรมา ถึงได้ถูกคนเขาตีจนหน้าบวมเป็นหัวหมูแบบนี้
แต่ถึงจะสงสัยอย่างไร ท่านหมอก็รู้ดีว่าควรเงียบไว้ เพียงบอกให้ตระกูลหลิวส่งใครสักคนไปเอายากับตน
สมุนไพรลดการอักเสบและบรรเทาปวดที่บ้านของท่านหมอมีอยู่พอดี เป็นสมุนไพรที่เขาเก็บจากภูเขาเป็นประจำ ราคาถูกกว่าร้านขายยาในเมืองเสียอีก
หลิวเหล่าฮั่นส่งหลิวจ้งไปกับท่านหมอเพื่อเอายาแล้วบอกให้นางจางกับหลิวเฝยกลับบ้านไปก่อน จากนั้นก็ขออ่างล้างหน้าและน้ำจากฉินเหยา เพื่อให้หลิวไป่ช่วยเช็ดตัวหลิวจี้
ฉินเหยาถอยออกมานอกบ้านแล้วเงี่ยหูฟังการสนทนาของสามพ่อลูกในห้อง
หลิวจี้สูดลมหายใจด้วยความเจ็บปวด พลางเอ่ยด้วยความยากลำบากว่า “พี่ใหญ่ ใบหน้าหล่อๆ นี้ของข้ายังจะหายดีหรือไม่”
หลิวเหล่าฮั่นกำลังบิดผ้าเช็ดหน้าให้แห้งเพื่อเช็ดตัวให้เขา พอได้ยินคำพูดนี้ก็เกือบอดไม่ไหวตบหน้าหลิวจี้ด้วยความโมโห
“นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้ายังจะมาห่วงใบหน้าของเจ้าอยู่อีก หน้านั่นกินได้หรือดื่มได้รึไร!”
หลิวจี้รู้ตัวว่าผิด ประกอบกับเมื่อพูดแล้วเจ็บหน้า เขาจึงไม่ได้โต้กลับ
แต่เขาก็ยังดื้อรั้น บอกให้หลิวไป่นำอ่างล้างหน้ามาให้เขาส่องดู
เมื่อเห็นใบหน้าตนเองในอ่างน้ำสะท้อนออกมาเป็นหัวหมู เขาก็อดกลั้นไม่ไหวจนร้องออกมาเสียงดังลั่น “อ๊ากกก!!”
ฉินเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลิวจี้ เจ้าเสียงดังจนข้าปวดหูแล้ว”
ในห้องเงียบกริบลงในทันที
เมื่อครู่หลิวจี้ไม่ได้สลบจริงๆ เขาใช้ชีวิตด้วยเล่ห์เหลี่ยมมาหลายปี การแกล้งสลบเป็นท่าไม้ตายของเขาในการหลีกเลี่ยงการโดนอัด
ดังนั้น ทุกการปะทะกันระหว่างฉินเหยาและหลินเอ้อร์เป่า รวมถึงคำพูดของฉินเหยากับหลิวเหล่าฮั่นและนางจางที่หลังบ้าน เขาล้วนได้ยินทั้งหมด
เมื่อรู้ว่าบิดาขายเขาให้กับฉินเหยาสตรีใจร้ายนางนี้ หลิวจี้ก็รู้สึกเหมือนฟ้าจะถล่มลงมา เกือบจะสลบไปจริงๆ
พอนึกถึงคำพูดอำมหิตไม่สนความเป็นตายของเขาที่ฉินเหยาพูดกับหลินเอ้อร์เป่า หลิวจี้ก็คิดว่าตนเองต้องตายด้วยน้ำมือนางเข้าสักวัน
ดังนั้น ตอนที่หลิวเหล่าฮั่นกำลังจะเดินออกไป หลิวจี้จึงรวบรวมกำลังทั้งหมด คว้ามือบิดาของเขาไว้แน่น พร้อมพูดด้วยน้ำตาคลอคลองว่า
“ท่านพ่อ ข้าต้องการหย่ากับนาง”
หลิวเหล่าฮั่นหันกลับมาด้วยความตกตะลึง ไม่อยากเชื่อเลยว่าหลิวจี้จะมีความคิดเนรคุณเช่นนี้ คนเขาเพิ่งช่วยเจ้าจ่ายหนี้ เจ้ากลับพูดถึงเรื่องหย่าได้หรือ
หลิวเหล่าฮั่นตาแดงก่ำ พูดเสียงกร้าวทีละคำว่า “หลิวจี้ หากข้าได้ยินเจ้าเอ่ยคำว่าหย่าอีกครั้ง ข้าจะตีเจ้าให้ตายด้วยมือข้าก่อน แล้วค่อยฆ่าตัวตายตาม บรรพบุรุษตระกูลหลิวของข้าจะได้ไม่มาตำหนิข้าที่สั่งสอนบุตรชายทรพีเช่นเจ้าออกมา!”
หลิวจี้ยืนอึ้ง เช็ดน้ำลายที่กระเด็นใส่หน้า รู้สึกเจ็บจนเหงื่อเย็นไหลพรั่งพรู
จบกัน ครั้งนี้เขาคงอยู่ไม่ไกลจากความตายแล้วจริงๆ
[1] หมอเท้าเปล่า หมายถึง หมอที่ไม่ได้ผ่านการเรียนแพทย์อย่างเป็นทางการ แต่สามารถรักษาโรคเบื้องต้นได้
MANGA DISCUSSION