ฉินเหยามองคนที่ยืนล้อมรอบอยู่ ก่อนจะหลับตาถอนหายใจยาวแล้วโบกมือเรียกหลินเอ้อร์เป่า หลิวเหล่าฮั่น และนางจาง “พวกเรามาคุยกันหน่อยเถอะ”
หลิวเหล่าฮั่นและนางจางสบตากันแล้วพยักหน้าตอบรับ สองผู้อาวุโสมองออกแล้วว่าสะใภ้คนนี้ของเจ้าสามนั้นร้ายกาจนัก กระทั่งหลินเอ้อร์เป่ายังไม่กลัว บางทีนางอาจจะมีวิธีก็เป็นได้
หลินเอ้อร์เป่าตกใจจะตายแล้ว แต่ต่อหน้าลูกน้องไม่อาจเสียมาดพี่ใหญ่จึงพยักเพยิดส่งสัญญาณให้ฉินเหยาและเดินตามนางไปคุยกันด้านข้าง
ทั้งสี่คนเดินมายังด้านหลังบ้าน ห่างจากสายตาสอดรู้ของชาวบ้าน ฉินเหยาเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าเรียกท่านทั้งสองมาเพื่ออยากให้พวกท่านเป็นพยานให้”
หลิวเหล่าฮั่นถามด้วยความสงสัย “เป็นพยานอะไรหรือ”
ฉินเหยามองเขาด้วยสายตาสื่อนัยว่า ‘อีกเดี๋ยวท่านก็จะรู้เอง’ จากนั้นก็หันไปมองหลินเอ้อร์เป่า “เงินก้อนนี้ ข้าจะขายหนี้น้ำใจให้เจ้า เจ้าบอกตัวเลขมาว่าจะให้ข้าจ่ายเท่าไหร่”
“ส่วนห้าสิบตำลึงนั้น ข้าพูดชัดเจนเลยว่า ไม่มีทาง!”
ฉินเหยาหลุบตามองมีดในมือแวบหนึ่งทั้งยังมองจอบที่หลินเอ้อร์เป่าจับไว้แน่น
นางรู้ดีว่าหลินเอ้อร์เป่ายังมีบุคคลที่ใหญ่กว่าคอยคุมอยู่ เงินก้อนนี้ถึงจะยืมในนามหลินเอ้อร์เป่า แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ของเขา
หากเป็นเมื่อครู่ที่ผ่านมา ฉินเหยาพูดว่าจะขายน้ำใจให้เขา หลินเอ้อร์เป่าคงหัวเราะเยาะออกมาแล้ว
แต่ตอนนี้ เขากลับรู้สึกว่าควรพิจารณาดูอีกที
คนเราเมื่อใช้ชีวิตในยุทธภพย่อมหลีกเลี่ยงการถูกแทงไม่ได้ ใครเล่าจะรู้ว่าวันใดวันหนึ่งเขาอาจจะต้องพึ่งพาหนี้น้ำใจนี้ของฉินเหยาก็เป็นได้
วรยุทธ์ล้ำลึกเช่นนี้อาจเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงในวันข้างหน้า
หลินเอ้อร์เป่ากำลังชั่งน้ำหนัก ฉินเหยาเองก็ไม่ได้เร่งรัด ปล่อยให้เขาคิดอย่างอดทน
หลิวเหล่าฮั่นและนางจางยืนพิงกำแพงอยู่ใกล้ๆ ใจเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาเพราะความตึงเครียด
เวลารอคอยมักทรมานเสมอ สองผู้อาวุโสรู้สึกเหมือนหนึ่งวินาทียาวนานราวกับหนึ่งปี แต่จริงๆ แล้วผ่านไปเพียงสิบกว่าวินาทีเท่านั้น
หลินเอ้อร์เป่าถอนหายใจยาว ก่อนมองฉินเหยาด้วยความจนใจแล้วถามว่า “ฉินเหนียงจื่อ หากวันหลังหาเจ้าไม่เจอ ข้าจะทำอย่างไร”
ฉินเหยายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนหัวเราะเสียงเย็นไม่ตอบคำ
หลินเอ้อร์เป่ารู้ทันทีว่าเขาไม่มีทางเลือก
มิฉะนั้น เขาคงไม่ได้คืนแม้แต่เหรียญเดียวและชีวิตนี้ก็อาจต้องจบลงที่นี่ด้วย
ความรู้สึกของหลินเอ้อร์เป่านั้นไม่ผิดเลย ฉินเหยาไม่สนใจหลิวจี้เลยแม้แต่น้อย จะเป็นหรือตาย นางก็ไม่แยแส
สิ่งเดียวที่นางใส่ใจคือการได้อยู่ในหมู่บ้านตระกูลหลิวต่อไป มีฐานะเหมาะสม ไม่ต้องระหกระเหิน
ดังนั้นนางจึงยอมเสียเวลาพูดคุยกับเขามากมายถึงเพียงนี้
แน่นอนว่าเงินห้าสิบตำลึงยังไม่ถึงขั้นทำให้นางยอมละทิ้งฐานะและที่พักพิงในตอนนี้
หากพูดคุยตกลงกันได้ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
หลินเอ้อร์เป่าสูดหายใจเข้าลึกหลายครั้ง คิดจนหัวแทบหมุนพร้อมคำนวณตัวเลขอย่างรวดเร็วในใจแล้วเอ่ยจำนวนออกมาว่า
“สามสิบแปดตำลึง นี่คือขั้นต่ำสุดแล้ว หากเท่านี้ยังคืนไม่ได้ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก”
หลินเอ้อร์เป่าเองก็ฮึดขึ้นมาแล้วเช่นกัน ตัวเลขนี้คือขีดจำกัดต่ำสุดที่เขาสามารถให้ได้
ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่สามารถชี้แจงกับเบื้องบนได้และจบลงด้วยความตายเช่นกัน
พอคิดถึงตรงนี้ หลินเอ้อร์เป่าก็อยากจะร้องไห้ สายอาชีพของเขาไม่เคยเจอคนเคี้ยวยากอย่างฉินเหยามาก่อน นี่มันดวงซวยของแท้!
“ตกลง เอาใบหนี้มา กระดาษกับพู่กันมีไหม เขียนสัญญาใหม่ยืนยันว่าหลิวจี้ชำระเงินให้เจ้าหมดแล้ว”
หลินเอ้อร์เป่าถอนหายใจโล่งอกทันที กระดาษกับพู่กันนั้นเขามี แต่เขาเขียนหนังสือไม่เป็น
สายตาเหยียดหยันของฉินเหยาจ้องมองมาทันที หลินเอ้อร์เป่าอับอายจนพาลโกรธ เรียกพรรคพวกให้นำพู่กัน หมึก แท่นฝนหมึก กระดาษ และชาดแดงมาแล้วโยนทุกอย่างใส่ฉินเหยา
พร้อมแสดงท่าทีท้าทายว่า ‘มีปัญญาเจ้าก็เขียนเองสิ’
ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉินเหยาจะเขียนได้จริงๆ
ตรงนั้นมีตอไม้สำหรับผ่าฟืนอยู่พอดี ฉินเหยาจึงใช้เป็นฐานรอง แม้ว่าลายมือจะไม่ได้สวยไปกว่าลายเท้าสุนัขของหลิวจี้มากนัก แต่ก็ยังอ่านออก
ฉินเหยาเขียนเอกสารยืนยันการชำระหนี้เสร็จอย่างรวดเร็วสองฉบับ โดยระบุชื่อผู้ลงนามเป็นหลินเอ้อร์เป่าและหลิวจี้ในท้ายเอกสาร เพราะนางและหลิวจี้เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย นางจึงมีสิทธิ์ลงนามแทนได้
แต่หลังจากลงนามชื่อหลินเอ้อร์เป่าเสร็จ ฉินเหยากลับยังไม่ลงนามของตัวเอง
เมื่อครู่ หลิวเหล่าฮั่นและนางจางยังดีใจและประทับใจในความมีน้ำใจและความใจกว้างของฉินเหยาแทบคลั่ง คิดว่าหลิวจี้รอดพ้นแล้ว
แต่ไม่คิดว่าในวินาทีถัดมา ฉินเหยากลับพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ มีเรื่องหนึ่งที่ท่านทั้งสองต้องให้คำมั่นกับข้าก่อน ข้าจึงจะลงนามชื่อและประทับตราในเอกสารนี้ได้”
หลิวเหล่าฮั่นพยักหน้ารับซ้ำๆ คิดว่าในตอนนี้ไม่ว่าฉินเหยาจะขออะไรก็ตาม ต่อให้มากเกินไปก็ไม่ผิดจึงตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าพูดมาเถิด”
ฉินเหยาพูดว่า “เงินก้อนนี้ข้าช่วยหลิวจี้จ่ายคืนได้ แต่ต่อจากนี้ไป ชีวิตของเขาเป็นของข้า บ้านหลังนี้ของข้ากับหลิวจี้ ข้าต้องเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง พวกท่านทั้งสองต้องอยู่ข้างข้า ห้ามขัดขวางการตัดสินใจใดๆ ของข้า ไม่เช่นนั้น ข้าจะไม่ลงนามในเอกสารนี้ ให้เจ้าสารเลวหลิวจี้นี่ตายอยู่ข้างนอกนั่นเถอะ!”
สองผู้อาวุโสสีหน้าเปลี่ยนอย่างพร้อมเพรียง หากไม่ตกลงก็ไม่ได้สิ!
หลิวเหล่าฮั่นถอนหายใจยาว ก่อนพูดกับฉินเหยาด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อยว่า
“สะใภ้สาม ข้าเองก็รู้ว่าเจ้าสามมันไม่ได้เรื่อง การที่เจ้าแต่งกับเขานับว่าเจ้าเสียเปรียบมาก วันนี้เจ้าปล่อยวางความหลัง คิดช่วยเขาชำระหนี้ พ่อก็รู้ทันทีว่าเจ้าเป็นคนดี”
“คำขอของเจ้า พ่อกับแม่ย่อมตกลงแน่นอน ต่อไปบ้านหลังนี้เจ้าจะเป็นคนตัดสินใจ หากหลังจากนี้เจ้าสามยังทำเรื่องเหลวไหล ไม่ยอมสำนึกปรับปรุงตัว ถึงเจ้าจะตีเขาให้ตาย พ่อกับแม่ก็จะไม่โทษเจ้าเลย”
ฉินเหยาลอบสงสัยในใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าหลิวเหล่าฮั่นจะเปิดใจกว้างถึงเพียงนี้
“ตกลงเจ้าค่ะ หากมีคำมั่นจากท่านกับท่านแม่ ข้าก็สบายใจแล้ว”
เมื่อพูดจบ นางก็ลงนามชื่อในเอกสารแล้วหยิบเงินแท่งแท่งละยี่สิบตำลึงสองแท่งออกมาจากที่คาดเอว ส่งให้หลินเอ้อร์เป่าก่อนหนึ่งแท่ง อีกแท่งหนึ่งนางออกแรงเล็กน้อย บิที่ขอบเงินแท่งด้วยมือเปล่าแล้วส่งส่วนใหญ่ให้หลินเอ้อร์เป่า
“เจ้าลองกะดูว่าได้สิบแปดตำลึงหรือเปล่า” ฉินเหยาถือเศษเงินชิ้นเล็กในมือถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หลินเอ้อร์เป่ามองเงินแท่งที่มุมหนึ่งหักไปในมือ ดวงตาแทบถลนออกมา ก่อนกลืนน้ำลายแรงๆ แล้วหยิบตาชั่งขนาดเล็กที่พกติดตัวมาชั่ง
“ยังขาดไปนิดหน่อย”
“ขาดเท่าไหร่?”
“สามเฉียน”
ฉินเหยาทำแบบเดิมอีกครั้ง บิเงินออกมาอีกชิ้นหนึ่ง
ยิ่งเงินชิ้นเล็กเท่าไรก็ยิ่งบิยาก เจอฉินเหยาทำแบบนี้เข้าไปทำให้หลินเอ้อร์เป่ายอมจำนนในที่สุด
“ฉินเหนียงจื่อ เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนเถอะ ข้ากับพวกพี่น้องขอไปก่อน วันหลังมีเวลาจะแวะมารบกวนอีก”
หลินเอ้อร์เป่าประสานมือให้ฉินเหยาเล็กน้อย เก็บเงินเรียบร้อย ก่อนเรียกลูกน้องที่กำลังยังมึนงงให้เดินตามไปอย่างรวดเร็ว
ชาวบ้านต่างพากันพูดคุยเสียงดัง หลินเอ้อร์เป่ายอมไปง่ายเช่นนี้เลยหรือ
หลิวไป่และหลิวจ้งหันไปมองบิดาและแม่เลี้ยง “หนี้จ่ายหมดแล้วหรือ”
สองผู้อาวุโสพยักหน้าแล้วมองฉินเหยาอีกครั้ง สองพี่น้องแทบไม่อยากเชื่อว่าฉินเหยาจะมีเงินมากพอสำหรับจ่ายหนี้
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องนี้ เพราะหลิวจี้ยังนอนอยู่บนพื้นอยู่เลย
เมื่อครู่ตอนหลินเอ้อร์เป่าและพรรคพวกยังอยู่ พวกเขาไม่ได้สนใจ ตอนนี้เจ้าหนี้ไปแล้ว ทั้งครอบครัวจึงรีบเข้ามาล้อมดูหลิวจี้
หลิวไป่ตบหน้าหลิวจี้เบาๆ พร้อมเรียก “เจ้าสาม ตื่นสิ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
คนยังไม่ฟื้นแต่เพราะตบโดนแผลบนหน้าจึงส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด
ฉินเหยาเปิดประตูบ้าน พอหันกลับมาก็เห็นคนในตระกูลหลิวล้อมหลิวจี้ไว้ด้วยท่าทางตกใจ นางจึงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า
“แค่บาดแผลภายนอกเท่านั้น หามเข้าบ้านมาก่อนแล้วค่อยตามหมอมาดูทีหลัง”
จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองชาวบ้านที่กำลังมุงดูอยู่พลางกล่าวไล่ด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ในใจนางคิดว่า กำแพงบ้านต้องรีบสร้างให้เร็วที่สุด จะได้ไม่ปล่อยให้ทุกคนมามุงดูเรื่องวุ่นวายของบ้านทุกวันอีก
MANGA DISCUSSION