หลังฉินเหยาลากหมีดำกลับมาถึงที่ถ้ำท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
หมีดำตัวนี้น่าจะหนักประมาณเจ็ดร้อยจิน ฉินเหยาไม่สามารถแบกมันได้ นางจึงใช้กิ่งไม้ทำเปลหามแบบง่ายๆ แล้วลากกลับมา
เปลหามนี้ใช้งานได้ดีทีเดียว ฉินเหยาตัดสินใจว่าจะใช้มันขนสัตว์ที่ล่าได้ทั้งหมดในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ลงเขาในเช้าวันรุ่งขึ้น
บาดแผลบนตัวหมีดำกลิ่นคาวเลือดแรงมากอาจดึงดูดสัตว์ป่าที่กำลังออกล่าตัวอื่นเข้ามาได้ง่าย
แม้การต่อสู้กับหมีดำเมื่อครู่นี้ฉินเหยาจะไม่ได้รับบาดเจ็บใด แต่ก็ทำให้นางสูญเสียแรงกายไปไม่น้อย อีกทั้งวันพรุ่งนี้ยังต้องขนสัตว์ที่ล่าได้เหล่านี้ลงเขาอีก นางจึงต้องรักษาพลังกายไว้ให้ได้มากที่สุดในคืนนี้
ทั้งคืน ป่าไม้รอบๆ ถ้ำมีเสียงคำรามของสัตว์ป่าลอยมาเป็นระยะ ฉินเหยาไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย นางก่อกองไฟสองกองหน้าถ้ำและคอยเฝ้าระวังตลอดเวลา
เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้ นางจะยิงธนูเตือนออกไปทันที หากสามารถหลีกเลี่ยงการออกจากถ้ำได้ นางก็จะพยายามไม่ออกไป
ในที่สุด นางก็อดทนจนขอบฟ้าปรากฏแสงสีส้มของอรุณรุ่ง
ไม่รอช้า ฉินเหยากินไก่ป่าย่างสองตัวแบบลวกๆ จากนั้นก็มัดหมีดำและสัตว์ที่ล่าได้อื่นๆ ทั้งหมดไว้กับเปลหามแล้วเริ่มเดินลงเขา
นางไม่ได้เดินกลับทางเดิม แต่เลือกอ้อมเทือกเขานี้และมุ่งหน้าไปทางอำเภอไคหยางแทน
หมีดำตัวนี้ใหญ่เกินไปสำหรับตลาดในเมืองใกล้เคียงและนางเองไม่มีแรงพอที่จะแยกมันขายทีละส่วน สู้ไปขายที่ตัวอำเภอซึ่งมีคนมีเงินมากกว่า น่าจะขายได้รวดเร็วกว่า
ตอนขึ้นเขานางมาแบบตัวเปล่า ทำให้เดินได้เร็วมาก
แต่ตอนนี้ นางต้องแบกสัตว์ที่ล่าได้น้ำหนักรวมเกือบแปดร้อยจินแล้วยังต้องเดินลงเนิน ความเร็วของนางจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้สึกยินดีจากการล่าสำเร็จ ไม่ทันรู้ตัวนางก็เดินออกจากป่ามาจนถึงถนนหลวง
ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้พลบค่ำ
แคว้นเซิ่งไม่มีคำสั่งห้ามออกจากเคหะสถานในยามค่ำคืน แต่จะปิดประตูเมืองเมื่อสิ้นสุดยามโหย่ว (ช่วงเวลา 17.00-19.00 น.) ห้ามเข้าออก
ฉินเหยาลากเปลหามที่เต็มไปด้วยสัตว์ที่ล่าได้น้ำหนักมหาศาล เร่งมือเต็มที่จนในที่สุดก็มาถึงอำเภอไคหยางก่อนประตูเมืองจะปิด
การเข้าประตูเมืองต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละหนึ่งเหวิน
ฉินเหยาไม่มีเงินแม้แต่ครึ่งเหวิน นางจึงขายไก่ป่าหนักกว่าสี่จินที่หน้าประตูเมือง ได้เงินมาแปดสิบเหวิน ใช้หนึ่งเหวินจ่ายค่าธรรมเนียมถึงเข้าประตูเมืองได้
ทหารยามที่ประตูเมืองเห็นหมีดำบนเปลหามของนาง สีหน้าแปรเปลี่ยนจากความไม่อยากเชื่อเป็นอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ข่าวว่ามีคนล่าหมีดำได้และเตรียมนำมาขายในเมืองก็แพร่สะพัดไปถึงผู้ดูแลร้านอาหารสองแห่งในเมือง
“เป็นเรื่องจริงหรือ” เถ้าแก่ฟ่านถามด้วยความประหลาดใจ
เสี่ยวเอ้อร์ที่ไปสืบข่าวมารีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “จริงแท้แน่นอนขอรับ ผู้ดูแล ทั้งชีวิตข้าไม่เคยเห็นหมีดำตัวไหนใหญ่ถึงเพียงนี้มาก่อน หัวของมันใหญ่กว่าหัวข้าสองหัวรวมกันเสียอีก ท่านรีบไปเถอะขอรับ ช้ากว่านี้เกรงว่าร้านคู่แข่งจะซื้อไปก่อน!”
เมื่อเถ้าแก่ฟ่านได้ยินว่าร้านคู่แข่งกำลังมุ่งหน้าไปแล้วก็ไม่สนใจความตกตะลึงอีกต่อไป รีบเร่งเดินทางไปยังประตูเมืองทันที
ขณะนั้น ฉินเหยากำลังกินอาหารอยู่ที่แผงขายเกี๊ยวใกล้ประตูเมือง
นางสั่งเกี๊ยวหมูห้าชามรวด ชามละแปดเหวิน วางเงินสี่สิบเหรียญบนโต๊ะของเจ้าของร้านอย่างไม่ลังเลแล้วนั่งลงที่โต๊ะไม้ตัวเดียวในร้าน ยกชามเกี๊ยวขึ้นกินอย่างเพลิดเพลิน
เจ้าของร้านต้มเกี๊ยวไม่ทันความเร็วที่นางกิน นางกินรวดเดียวสามชาม ส่วนชามที่สี่ยังอยู่ในหม้อ เจ้าของร้านปาดเหงื่อบนหน้าผากกล่าวขอโทษว่า “ลูกค้าโปรดรอสักครู่ขอรับ กำลังต้มอยู่ กำลังต้มอยู่”
ขณะที่พูด ดวงตาของเขาก็เหลือบมองสัตว์ที่ถูกล่ามาซึ่งกองอยู่ข้างถนนเป็นระยะ
ไก่ป่าสี่ตัว กระรอกสองตัว กวางป่าหนึ่งตัว และเพียงพอนอีกหนึ่งตัว ทั้งหมดนี้ยังมีชีวิต
ในวันธรรมดา การที่เหยื่อที่ถูกล่ามายังมีชีวิตนั้นถือว่าเป็นเรื่องแปลกและพบได้น้อยมาก หากนายพรานถือเหยื่อที่ยังมีชีวิตกลับมาได้ นั่นหมายความว่านายพรานผู้นั้นต้องมีฝีมือโดดเด่นเหนือคนทั่วไปอย่างแน่นอน
แต่ในวันนี้ เหยื่อเป็นเหล่านี้กลับดูธรรมดาไปเสียได้ เพราะข้างๆ พวกมันมีหมีดำตัวใหญ่นอนอยู่ด้วย
ที่หน้าท้องและลำคอของหมีตัวนั้นมีรอยมีดอยู่ทั้งสองที่ ใครเล่าจะรู้ว่ารอยไหนเป็นรอยที่ส่งมันไปพบพญายม
เจ้าของร้านนำเกี๊ยวสองชามสุดท้ายมาให้ฉินเหยา ก่อนจะเหลือบมองมีดสั้นที่วางอยู่ข้างมือของนาง
มีดเล่มนี้เก่ามาก ด้านหลังของใบมีดเต็มไปด้วยสนิม พื้นผิวขรุขระไม่เรียบ ส่วนด้ามมีดพันด้วยผ้าขี้ริ้วเก่าๆ ที่มีคราบสีคล้ำติดอยู่
เพียงมองปราดเดียว เจ้าของร้านก็มั่นใจเลยว่า นั่นคือคราบเลือด!
พอมองไปยังหญิงสาวที่นั่งกินอาหารอย่างสบายๆ มั่นคงอยู่หน้าโต๊ะ เจ้าของร้านก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่านางเอาชนะหมีดำตัวนั้นได้อย่างไร
ฉินเหยารู้สึกได้ถึงสายตาของเจ้าของร้าน นางช้อนตาขึ้นจากชามเกี๊ยว นัยน์ตาดำขาวตัดกันชัดเจน บริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปนมองตรงมายังเขา
สายตานั้นไม่เหมือนกำลังมองมนุษย์คนหนึ่ง แต่เหมือนกำลังมองสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ หรืออาจจะเป็นวิญญาณ?
กระดูกสันหลังเจ้าของร้านหนาวเยือกขึ้นอย่างไร้ที่มา รีบก้มหน้าลงหลบสายตา หันหลังไปทำท่าเหมือนกำลังยุ่ง
เมื่อเถ้าแก่ฟ่านมาถึง ฉินเหยาก็กินเกี๊ยวชามที่ห้าเสร็จพอดี ท้องอิ่มไปพอประมาณ ใบหน้าดูพึงพอใจมาก
ตั้งแต่มาอยู่ในโลกใบนี้ นี่เป็นอาหารที่เหมือนอาหารจริงๆ ที่สุดมื้อแรกของนาง
ว่าแล้ว โลกกว้างใหญ่ ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการกินข้าวแล้ว
เมื่ออิ่มท้องแล้ว โลกทั้งใบก็ดูสดใสสวยงามขึ้นทันตา
“แม่นาง หมีดำตัวนี้เจ้าล่ามาเองหรือ” เถ้าแก่ฟ่านถามด้วยความตกตะลึง
เมื่อครู่ฟังเสี่ยวเอ้อร์ในร้านบอกว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งล่าหมีดำมาได้ เขายังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เมื่อได้มาเห็นตัวจริงก็ต้องเชื่อแล้ว
เมื่อได้ยินมีคนถามถึงหมีดำ ฉินเหยาก็หยิบมีดแล้วลุกขึ้น เดินไปตรงหน้ากองเหยื่อของนางแล้วตอบคำถามชายวัยกลางคนว่า
“ของข้าเอง ท่านต้องการหรือไม่ หากซื้อทั้งตัว ข้าจะลดราคาให้หน่อย”
เถ้าแก่ฟ่านมองฉินเหยาแล้วมองหมีดำอีกครั้ง จากนั้นก็กวาดสายตามองรอบด้านรอบหนึ่ง เมื่อไม่เห็นว่ามีเครื่องมือขนย้ายอย่างรถลาก รถม้าหรือรถเทียมวัวจึงอดถามไม่ได้ว่า
“ของทั้งหมดนี้แม่นางแบกลงมาจากเขาคนเดียวหรือ”
ฉินเหยาพยักหน้าแล้วเอ่ยขายเหยื่อที่ล่ามาได้ต่อ “สัตว์พวกนี้ยังสดอยู่ หมีดำตัวนี้ข้าเพิ่งฆ่าเมื่อเย็นวาน อากาศก็ไม่ร้อน ทุกอย่างยังคงสภาพดี”
เถ้าแก่ฟ่านถามต่อ “แล้วแม่นางตั้งใจจะขายหมีดำตัวนี้เท่าไรหรือ”
“ท่านจะให้เท่าไรเล่า” ฉินเหยาถามกลับ
นางเพิ่งเข้าเมืองมาก็ถูกกลิ่นเกี๊ยวดึงดูด ด้วยความหิวจึงรีบกินให้อิ่มก่อน ยังไม่ทันได้ถามราคาเหยื่อพวกนี้เลย
เถ้าแก่ฟ่านคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนลองเสนอราคาหยั่งเชิง “แปดสิบตำลึง”
ฉินเหยาคำนวณในหัวอย่างรวดเร็ว ตามมาตรฐานการใช้ชีวิตสูงสุดของหมู่บ้านตระกูลหลิว ครอบครัวห้าคนใช้เงินประมาณยี่สิบตำลึงต่อปี ดังนั้นแปดสิบตำลึงจะเท่ากับกินดีอยู่ดีได้ถึงสี่ปี
อืม ก็น่าจะพอใช้ได้แล้ว
ความจริงเนื้อหมีมีราคาไม่สูงมาก แพงกว่าเนื้อหมูเล็กน้อย ประมาณห้าถึงหกสิบเหวินต่อหนึ่งจิน หมีดำตัวนี้หนักเจ็ดร้อยจิน หากเฉลี่ยคร่าวๆ เฉพาะเนื้อก็ขายได้ประมาณสี่สิบตำลึง
สิ่งที่มีราคาจริงๆ คือหนังหมี ดีหมีและอุ้งตีนหมี สี่สิบตำลึงก็นับว่าไม่เลว
“ตกลง แปดสิบตำลึงขาย!”
ฉินเหยายังใจดีแถมไก่ป่าให้อีกหนึ่งตัว
“ให้ข้าช่วยส่งไปให้ท่านไหม” ฉินเหยาถามพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ยืนมองซากหมีดำอย่างจนปัญญา ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี
ไม่รอคำตอบ นางวางมีดและคันธนูลงบนเปลหาม ก่อนจะยกเปลทั้งหมดขึ้นแล้วพยักหน้าให้เถ้าแก่ฟ่าน ส่งสัญญาณให้เขานำทาง จากนั้นก็ก้าวเดินออกไปในทันที
เมื่อเห็น ‘หมีดำภูเขา’ แสนหนักอึ้งลอยผ่านหน้าตนเองไป เถ้าแก่ฟ่านก็ตกตะลึงจนคางแทบจะร่วงลงมา
“นี่…นาง…” เถ้าแก่ฟ่านถึงกับพูดไม่ออก
ฉินเหยาตะโกนขึ้นจากด้านหน้า “ไปสิ! ” นางรอรับเงินอยู่นะ
MANGA DISCUSSION