ตอนที่ 173 คุณค่าทางอารมณ์อันสูงส่ง
………………..
เป็นไปตามคาด ไม่นานนัก บ่าวเฒ่าก็กลับมาพร้อมรอยยิ้ม
ด้านหลังของนางยังมีสตรีวัยกลางคนที่แต่งกายหรูหรายิ่งกว่า ดูท่าคล้ายจะเป็นหัวหน้าผู้ดูแลของจวน
บ่าวเฒ่าเรียกนางว่าแม่นมเว่ย เป็นบ่าวคนสนิทที่คอยปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่าติง วันนี้นางมาตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่า เชิญให้สามีภรรยาทั้งสองเข้าพบ
“ต้องขออภัย ทำให้พวกท่านทั้งสองรอนานแล้ว!”
ใบหน้าของแม่นมเว่ยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดูแล้วเป็นคนกระตือรือร้น นางกล่าวขออภัยแก่ทั้งสอง ก่อนอธิบายเหตุผลที่วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่านอนหลับยาวเป็นพิเศษ
ฉินเหยาและหลิวจี้สบตากัน ก่อนส่ายหน้าบอกเป็นนัยว่าไม่เป็นไร แล้วจึงเดินตามแม่นมเว่ยออกจากห้องโถงข้าง เดินลึกเข้าไปในจวนตระกูลติง กระทั่งมาถึงลานเรือนชั้นในที่สุดและได้พบกับฮูหยินผู้เฒ่าติงในที่สุด
ฮูหยินผู้เฒ่าดูอ่อนวัยกว่าที่ฉินเหยาคาดไว้ เส้นผมยังคงดำสนิท รูปร่างผอมบาง บนหน้าผากสวมที่คาดศีรษะสีน้ำเงินเข้มปักเงิน นั่งอยู่บนเก้าอี้เตี้ยกว้างที่ปูด้วยหมอนอิงนุ่มเต็มไปหมด ในมือถือของว่างพลางให้สาวใช้ช่วยหวีผม
ดูไปแล้วคล้ายเพิ่งตื่นจริงๆ
เมื่อเห็นฉินเหยาและหลิวจี้ก้าวเข้ามา นางก็ยิ้มให้พวกเขาก่อนเอ่ยว่า “รอนานเลยกระมัง”
หลิวจี้เหลือบมองฉินเหยาครู่หนึ่ง เดิมทีเขายังรู้สึกตื่นเต้นกับการได้รับการต้อนรับเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นสายตาเรียบนิ่งของฉินเหยา จู่ๆ เขาก็กลับมาเยือกเย็นลงในทันที นึกประชดในใจว่า ก็เพราะได้ตำรับไปแล้วถึงได้มีสีหน้าเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ยังปล่อยให้พวกเขารออยู่ตั้งครึ่งชั่วยามแท้ๆ
หนทางกลับบ้านยังอีกไกล หากไม่ได้เป็นเพราะพวกเขานำตำรับมามอบให้ เกรงว่าการรอคอยครั้งนี้ไม่รู้จะลากยาวไปถึงเมื่อใดกว่าจะได้กลับ
กระนั้น อีกฝ่ายเมื่อพบกันก็ยิ้มให้ก่อน แน่นอนว่าเขาก็ไม่อาจทำหน้าเย็นชาได้
หลิวจี้ทำความเคารพอย่างสุภาพ ส่วนฉินเหยาก้าวถอยหลังออกมายืนห่างจากเขาสองก้าว แล้วโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโส
หากต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ย่อมต้องมีท่าทีที่เหมาะสม หลิวจี้มองดูแล้วรู้สึกประหลาดใจที่ฉินเหยาสามารถวางศักดิ์ศรีลงได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ไม่ถึงขั้นประจบสอพลอซึ่งเป็นสิ่งที่นางทำได้ยากยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเพียงแค่ปรายตามองนางแวบหนึ่ง มุมปากแบะลงเล็กน้อย เผยให้เห็นสีหน้ารังเกียจเพียงแผ่วเบาซึ่งโดยทั่วไปคงไม่มีใครสังเกตเห็น
หลิวจี้เห็นเช่นนั้น หัวใจก็เต้นผิดจังหวะไปหลายครั้ง กลัวว่าสตรีดุดันข้างหลังตนจะทนไม่ไหว พุ่งเข้ามาฟาดฝ่ามือใส่ฮูหยินผู้เฒ่าเสียหนึ่งที
โชคดีที่นางไม่ได้ทำ
หลิวจี้ถามไถ่ว่าฮูหยินผู้เฒ่านอนหลับเป็นอย่างไรบ้าง อากาศหนาวทำให้ปวดเข่าหรือไม่ จากนั้นจึงกล่าวอย่างแนบเนียนถึงกวางป่ากับกระต่ายสีเทาตัวใหญ่ที่นำมาด้วย ซึ่งสามารถใช้ทำสนับเข่าได้
ฮูหยินผู้เฒ่าชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันไปถามแม่นมเว่ยว่า “เหตุใดจึงเพิ่งปลุกข้า? ตระกูลหลิวยังนำกวางป่ากับกระต่ายมาด้วยหรือ”
แม่นมเว่ยรีบโค้งกายลงกล่าวว่าตนผิดเองพร้อมขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าใจเย็น
ฮูหยินผู้เฒ่าตำหนินางสองประโยค หลิวจี้รู้สึกปวดหัวจึงรีบช่วยพูดไกล่เกลี่ย บรรยากาศจึงค่อยสงบลง
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “ช่วงเวลานี้ของปี ยังมีกวางป่าออกหากินอยู่บนภูเขาอีกหรือ”
หลิวจี้ชี้ไปที่ฉินเหยาแล้วกล่าวยกย่องว่านางมีฝีมือการล่าสัตว์เป็นเลิศ
จากนั้น รอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่าก็ค่อยๆ จางลง ราวกับนึกถึงหลานสาวของตระกูลที่เรียนขี่ม้ายิงธนูผู้นั้น สีหน้าไม่พอใจเริ่มปรากฏชัดเจนราวกับใบมีดแหลมที่คมกริบจนเหมือนจะแทงเข้ามายังร่างฉินเหยา
ฉินเหยากระแอมเสียงต่ำเบาๆ สองครั้งพลางเอียงหน้าหลบสายตาไปทางอื่น คิดในใจว่าวันนี้นางควรให้หลิวจี้มาผู้เดียวเพื่อรับเคราะห์แทนน่าจะดีกว่า
เมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มอึมครึม หลิวจี้จึงรีบปรับบรรยากาศใหม่ กล่าวชมว่าฮูหยินผู้เฒ่าว่ายังคงดูอ่อนวัยและสุขภาพแข็งแรง แถมยังสอดแทรกสุภาษิตสองสามประโยค ดูเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงอารมณ์ดีขึ้น กล่าวชมว่าหลิวจี้เป็นคนพูดจามีวาทศิลป์ แถมยังหน้าตาดีอีกด้วย แล้วถามถึงเด็กๆ ในบ้านว่าได้เรียนหนังสือแล้วหรือยัง และได้วางแผนการเรียนแล้วหรือไม่
ในที่สุดก็มาถึงเรื่องสำคัญเสียที หลิวจี้แอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเล็กน้อย ก่อนกล่าวถึงสถานการณ์ของเด็กๆ ในบ้านอย่างคร่าวๆ
เขาไม่ได้พูดเกินจริงเลย ต้าหลางแม้ยังเยาว์วัยแต่กลับสุขุมมั่นคงและมีความอดทน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊
เอ้อร์หลางเฉลียวฉลาด รักการท่องตำรา อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ด้านคำนวณเป็นเลิศ
ฮูหยินผู้เฒ่ากำชับหลิวจี้ว่า ครั้งหน้าเมื่อพาเด็กๆ ไปที่เรือนพักตากอากาศ ต้องพาพวกเขามาพบตนให้ได้ นางชื่นชอบให้เด็กๆ มาเล่นซุกซนอยู่ใกล้ตัว
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ฉินเหยาถอยไปยืนอยู่ข้างเสาประตู นางอาศัยผ้าม่านบดบัง ก่อนจะกลอกตา
ภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานอยู่ครู่ใหญ่ เสียงหัวเราะของฮูหยินผู้เฒ่าดังก้องเป็นระลอก ฉินเหยาคำนวณเวลาในใจ นับได้ว่านานถึงสองชั่วโมงเต็มๆ หลิวจี้มอบคุณค่าทางอารมณ์แก่ฮูหยินผู้เฒ่าถึงสองชั่วโมงเต็มๆ เชียว
ฤดูหนาวฟ้ามืดเร็ว ช่วงบ่ายแก่ๆ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว
เสียงเรียกแผ่วเบาของหลิวจี้ดังออกมาจากในห้อง ฉินเหยาจึงเดินเข้าไป สามีภรรยาทั้งสองกล่าวลาฮูหยินผู้เฒ่าด้วยกัน
“สำนักศึกษานั้นสร้างเสร็จแล้ว อยู่ตรงทิศตะวันออกของเรือน เมื่อพวกเจ้าผ่านทางนั้นก็ลองแวะไปดูได้ สร้างไว้กว้างขวางและแข็งแรงยิ่งนัก หลังปีใหม่ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิพาเด็กๆ มาที่นี่ ข้าจะให้อาจารย์บันทึกชื่อของพวกเขาไว้”
ก่อนจากไป ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มกล่าว
เรื่องสำเร็จลุล่วงแล้ว สามีภรรยาฉินเหยาถึงกับถอนหายใจโล่งอก ในที่สุดก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
เมื่อขึ้นรถม้าออกจากจวน ฉินเหยากล่าวอย่างทอดถอนใจ “สำนักศึกษาในตัวเมืองดีกว่ามาก”
แม้จะไกลไปสักหน่อย แต่สำนักศึกษาของทางการย่อมเข้าเรียนได้ง่ายกว่าสำนักศึกษาส่วนตัว
ดูครั้งนี้สิทำเอาแทบหมดแรงเลยทีเดียว
คิดได้ดังนั้น ฉินเหยาจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับหลิวจี้ที่กำลังขับรถม้าว่า “เข้าไปในเมืองแล้ว เจ้าอยากกินอะไรก็ซื้อกลับบ้านไปด้วย วันนี้พวกเราต้องฉลองกันหน่อย”
หลิวจี้ถึงกับตกตะลึงไป รีบยิ้มตอบรับทันที “ได้เลย!”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงการปฏิบัติที่ได้รับจากฉินเหยาในยามปกติ ก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยเสียงระแวดระวังว่า “ซื้อเนื้อพะโล้ได้หรือไม่”
เขาหมายถึงเนื้อวัวพะโล้ เมื่อวานตอนเข้าไปซื้อผักในหมู่บ้าน ได้ยินมาว่าในเมืองมีคนชำแหละวัวแก่สองตัว หนึ่งในนั้นถูกนำมาทำเป็นเนื้อวัวพะโล้ หากได้มากินแกล้มสุรา คงจะเป็นความสุขที่ยอดเยี่ยมไม่น้อย
ฉินเหยาพยักหน้ารับคำ
หลิวจี้ลองถามต่อด้วยเสียงอ่อน “เช่นนั้น…ข้าซื้อสุรากลั่นของพวกลาหัวโล้น[1]มาสักสามเหลี่ยงได้หรือไม่”
“เติมให้ครบสองจินเลย ช่วงปีใหม่จะได้มีไว้ดื่มด้วย” นางกำชับ
หลิวจี้ดีใจจนยิ้มไม่หุบ รีบตอบรับด้วยความยินดี ก่อนกระตุกสายบังเหียนเร่งเหล่าหวงให้วิ่งเร็วขึ้น หากไปช้ากลัวว่าจะไม่มีเนื้อวัวพะโล้เหลือให้ซื้อแล้ว
เมื่อรถม้าวิ่งมาถึงทางแยกของจวนตระกูลติง สองสามีภรรยาก็มองเห็นอาคารทรงคฤหาสน์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างทาง ตัวเรือนยังคงเป็นไม้สีธรรมชาติ ไร้ซึ่งการทาสี
หลิวจี้จุปากเอ่ยอย่างชื่นชม “สำนักศึกษาที่ตระกูลติงสร้างนี้ ช่างใจกว้างในการใช้วัสดุจริงๆ ดูแข็งแรงนัก อีกทั้งยังสวยงาม”
ดูดีกว่าสำนักศึกษาของอำเภอเสียอีก หน้าต่างยังแกะสลักลายดอกไม้สี่วิญญูชนอย่างเหมย หลาน จู๋ จวี๋[2]อีกด้วย
“พวกต้าหลางนับว่าโชคดีจริงๆ”
ฉินเหยาพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย “ความโชคดีก็เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถเช่นกัน”
หลิวจี้มีประสบการณ์โดยตรงกับเรื่องนี้ เขาหัวเราะอย่างภาคภูมิใจแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น ข้าคงโชคดีไม่น้อยที่ได้พบเมียจ๋าผู้เฉลียวฉลาดและมีความสามารถเช่นเจ้า ใครเห็นเป็นต้องอิจฉา!”
มุมปากของฉินเหยากระตุกอย่างแรง การประจบประแจงเช่นนี้ช่างเกินไปจริงๆ
แต่วันนี้เขาทำตัวดี ไม่อัดเขาสักครั้งก็แล้วกัน
วันนี้โชคดีจริงๆ ร้านขายเนื้อวัวพะโล้ยังไม่ปิดและยังมีเนื้อเหลืออยู่
ฉินเหยาซื้อเนื้อวัวมาห้าจิน ก่อนจะไปยังโรงต้มเหล้าของพวกพระ ตักสุรามาอีกสองจิน สามีภรรยาสองคนดื่มด่ำกับกลิ่นหอมของสุราและเนื้อ พากันกลับถึงเรือนก่อนฟ้ามืด
ฉินเหยาบอกข่าวดีเรื่องที่เด็กๆ จะได้ไปเรียนในสำนักศึกษาตระกูลติง ลานเรือนเล็กๆ ของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องดีใจของพี่น้องทั้งสี่
ทำให้ปีใหม่นี้ดูคึกคักกว่าปีก่อนๆ มากทีเดียว
[1] ลาหัวโล้น เป็นคำเรียกดูถูกพระภิกษุ
[2] เหมย หลาน จู๋ จวี๋ หรือ สี่วิญญูชน ได้แก่ ดอกเหมย กล้วยไม้ ต้นไผ่ ดอกเบญจมาศ เป็นตัวแทนของความสูงส่งสี่ประการอย่าง ภาคภูมิ สุขุม ยืนหยัด เรียบง่าย
………………..
MANGA DISCUSSION