ตอนที่ 170 ชอบท่านพ่อที่ดี
………………..
ฉินเหยาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยกลิ่นหอมของอาหารที่โชยมาเป็นระลอก
เมื่อลุกขึ้นมาดูก็พบว่า โอ้โห! บนโต๊ะอาหารในห้องโถงมีอาหารสามอย่างและน้ำแกงหนึ่งถ้วย แถมในครัวยังมีเสียงผัดอาหารดังออกมาอีก นี่จะฉลองปีใหม่ล่วงหน้าหรือไร
“เมียจ๋า เจ้าตื่นแล้วหรือ” หลิวจี้เอ่ยทักอย่างกระตือรือร้น พลางเตือนให้นางล้างหน้าแปรงฟันด้วยน้ำอุ่นที่เตรียมไว้ให้แล้ว “ข้าวสุกพร้อมแล้ว ถ้าหิวพวกเราก็กินกันเลย ข้าขอทอดลูกชิ้นเนื้อให้เสร็จก่อน พวกเจ้ากินกันก่อนได้เลย”
ฉินเหยาหาวหวอดหนึ่งทีแล้วเผลอถามออกไปตามสัญชาตญาณ “ทอดลูกชิ้นเนื้อไปทำอะไรหรือ”
“จะถึงปีใหม่แล้วนี่ ข้าเตรียมไว้ล่วงหน้า เจ้าไม่ชอบกินหม้อไฟหรือ ข้าให้ต้าหลางไปซื้อเต้าหู้จากพี่สะใภ้โจวมาแล้ว รอให้ข้าทำน้ำแกงกระดูกเข้มข้น แล้วตุ๋นกับเต้าหู้ รับรองว่าหอมอร่อยแน่”
ฉินเหยายื่นนิ้วไปจิ้มเอ้อร์หลางที่กำลังก้มหน้าฝึกเขียนอักษรอยู่ตรงที่ว่างข้างโต๊ะอาหาร “พ่อเจ้าถูกคนทำของใส่หรือเปล่า”
จู่ๆ ถึงได้ขยันขันแข็งขึ้นมาแบบนี้?
ก่อนหน้านี้ หลิวจี้ก็ช่วยทำงานบ้านบ้าง แต่ต้องคอยกระตุ้นถึงจะยอมขยับตัวไปทำสักที ไม่ต่างจากคางคกขี้เกียจที่ต้องจิ้มให้กระโดด
แต่ตอนนี้กลับขยันเป็นพิเศษ แถมรู้จักลงมือทำเองโดยไม่ต้องรอให้ใครบอกอีกด้วย!
เอ้อร์หลางยิ้มเหยเก พยายามฝืนยิ้มแบบ ‘ข้าเองก็ไม่เข้าใจ’ พลางตอบ “ข้าตื่นตั้งแต่หัวรุ่งก็เป็นแบบแล้ว บางทีอาจจะถูกผีเข้าจริงๆ ก็ได้”
ว่าแล้วก็ชี้ไปที่ขาตั้งกะละมังล้างหน้าซึ่งมีน้ำเตรียมไว้พร้อม รวมถึงแปรงสีฟันที่ใส่ผงขัดฟันไว้เรียบร้อย “พอได้ยินเสียงท่านขยับตัวในห้อง ก็รีบมาจัดเตรียมไว้ให้ ดูเอาเถอะ ขยันผิดปกติ”
ฉินเหยาเดินไปแตะน้ำดู อุณหภูมิกำลังพอดี อุ่นแต่ไม่ร้อนเกินไป การได้ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นแบบนี้ในหน้าหนาว มันช่างสบายจริงๆ
เมื่อนางล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ หลิวจี้ก็พุ่งเข้ามา แย่งกะละมังล้างหน้าไปจากมือของนาง แล้วนำออกไปเทน้ำทิ้งในร่องน้ำ ก่อนจะนำกลับมาวางที่เดิมแล้วหัวเราะ “ข้าจะไปตักข้าว เอ้อร์หลาง เจ้าช่วยไปปลุกซานหลางกับซื่อเหนียงเถอะ หากนอนต่ออีกหน่อย คงกลายเป็นหมูขี้เซาแน่ๆ”
เด็กเล็กมักจะขี้เซา ยิ่งในฤดูหนาวแล้ว หากไม่มีใครปลุกก็ลุกไม่ขึ้น
เอ้อร์หลางรับคำก่อนจะเก็บพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกให้เรียบร้อย จากนั้นก็ถือของกลับห้องไป วางของให้เข้าที่ และปลุกพี่น้องฝาแฝดไปด้วย
ต้าหลางซื้อเต้าหู้กลับมาแล้ว ถ้วยชามก็ถูกจัดวางเรียบร้อย ครอบครัวหกคนจึงนั่งล้อมโต๊ะและเริ่มกินข้าว
อาหารอร่อยจนแม่ลูกทั้งห้าคนพากันตาลอยไปหมด ต่างพากันยกนิ้วโป้งให้หลิวจี้
หลิวจี้ยิ้มอย่างสุภาพอ่อนโยน “อร่อยก็ต้องกินให้เยอะๆ พวกเจ้ากินกันก่อน ข้าขอไปดูไฟในครัวสักหน่อย”
พูดจบ เขาก็ยกถ้วยข้าวแล้วเดินเข้าครัว
หากต้องการทอดลูกชิ้นเนื้อให้อร่อยจำเป็นต้องควบคุมไฟให้ดี ทอดนานเกินไปก็จะแข็งกระด้าง ทอดน้อยเกินไปเนื้อข้างในอาจไม่สุก กินแล้วจะท้องเสียได้
ต้องทอดให้เปลือกนอกกรอบ แต่เนื้อด้านในนุ่มฉ่ำ ถึงจะเป็นลูกชิ้นที่สมบูรณ์แบบ
ซานหลางและซื่อเหนียงที่ตื่นสาย มองส่งท่านพ่อของตนเดินเข้าครัวราวกับเห็นผี ซานหลางขยี้ตาแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ข้าฝันว่าท่านพ่อกลายเป็นคนดีแล้ว”
ซื่อเหนียงยกมือเคาะหัวพี่ชายเบาๆ “คนโง่ นี่ไม่ใช่ความฝัน!”
แต่ว่าท่านพ่อดูเปลี่ยนไปจริงๆ
“ท่านแม่ ท่านพ่อกลายเป็นคนดีแล้ว เช่นนั้นท่านอย่าตีเขาอีกเลยได้หรือไม่?” ซื่อเหนียงกะพริบตาปริบๆ พลางขอร้องอย่างจริงจัง
ฉินเหยากัดซี่โครงหมูเคลือบน้ำปรุงรสหอมฉุย ก่อนจะคีบข้าวสวยคำโตเข้าปาก ความเหนียวนุ่มของข้าวผสมกับความหอมของน้ำปรุงเนื้อ ทำให้นางรู้สึกอยากร้องไห้ออกมาเพราะความอร่อย
กินอิ่มหนำแล้ว ทำให้เด็กน้อยมีความสุขสักหน่อยจะเป็นไรไป ฉินเหยาจึงพยักหน้ารับพลางตอบว่า
“ซื่อเหนียงวางใจเถอะ ที่พ่อเจ้าถูกตีทุกครั้งล้วนเป็นเพราะตัวเขาหาเรื่องเอง”
ความหมายโดยนัยก็คือ นางมิได้ชอบใช้กำลัง แต่บางคนต่างหากที่หาเรื่องให้ถูกตีเอง
ซื่อเหนียงเหมือนเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง นางร้องอ้อเบาๆ ก่อนจะหันไปมองลอดประตูห้องโถงเข้าไปในครัวอีกครั้ง มุมปากน้อยๆ ยกขึ้น พลางใช้มือป้อมๆ ค้ำแก้มกลมของตน “ซื่อเหนียงชอบท่านพ่อที่เป็นคนดี~”
ภายในครัว ท่านพ่อที่กำลังหันหลังให้พวกเขาชะงักมือไปชั่วขณะ หัวใจสั่นไหว
น้ำมันในกระทะกระเด็นขึ้นมาโดนหลังมือจนร้อนจี๊ด เขาจึงได้สติกลับมา แล้วลงมือช้อนลูกชิ้นเนื้อต่อ
เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จ ลูกชิ้นเนื้อของหลิวจี้ก็ทอดเสร็จพอดี เขาตักแบ่งใส่ถ้วยให้เด็กๆ ได้ลองกินก่อน ส่วนที่เหลือใช้ผ้าขาวบางคลุมไว้แล้วเก็บเข้าตู้ เพื่อจะได้หยิบกินสะดวกเมื่อต้องการ
ในบ้านแทบไม่มีผักเหลืออยู่แล้ว ที่ดินไม่กี่ส่วนที่ฉินเหยาเพาะปลูกไว้ก็ไม่เพียงพอกับการบริโภคของครอบครัว ตอนนี้ในลานบ้านเหลือเพียงตะกร้าสองใบที่เต็มไปด้วยหัวไชเท้าขาวซึ่งเพิ่งถูกขุดขึ้นมาจากไร่
และไชเท้าเหล่านี้ก็เป็นของที่แม่สามีอย่างนางจางช่วยปลูกให้ นางเพียงแค่เสียเงินซื้อเมล็ดพันธุ์ไม่กี่สิบเหวินเท่านั้น
สิ่งที่มีมากที่สุดในบ้านตอนนี้คือเนื้อ หมูสามชั้นสด กระดูกขาหมู รวมถึงซี่โครงเล็ก ถูกวางเรียงเต็มเขียงยาวราวกับโต๊ะใหญ่
หลิวจี้คิดอยู่พักหนึ่ง เห็นว่าคงไม่ดีนักหากจะกินแต่เนื้อในช่วงปีใหม่ จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักเมื่อต้องมาขอเงินจากเอ้อร์หลางเพื่อไปซื้อผัก
เอ้อร์หลางกลับไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจแต่อย่างใด เปิดกุญแจ หยิบเงินจากไห แล้วยื่นให้เขาห้าสิบเหวิน
แต่เขามีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง คือหลังจากซื้อผักมาแล้ว ต้องบอกให้ชัดเจนว่าแต่ละอย่างราคาเท่าไร หนึ่งจินกี่เหวิน
หลิวจี้ยกมือขึ้นทำท่าจะเคาะหัวเขาไปหนึ่งที เอ้อร์หลางถึงได้หุบปากลง
“บังอาจเกินไปแล้ว เจ้ากล้าพูดกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร” หลิวจี้กระซิบขู่ที่ข้างหูเอ้อร์หลาง
เอ้อร์หลางรีบก้าวไปยืนข้างฉินเหยาในทันที อาศัยอำนาจบารมีของนางข่มท่านพ่อตนจนต้องถอยออกไป
“เดี๋ยวก่อน”
หลิวจี้เพิ่งก้าวออกจากประตูบ้าน ฉินเหยาก็เรียกเขาเอาไว้ ในใจเขาเต้นโครมครามทันที เพราะเขามัวแต่คิดหาวิธีจะเก็บเงินซื้อผักไว้เป็นของส่วนตัวอยู่พอดี เกือบคิดไปว่านางจับพิรุธของเขาได้เสียแล้ว
เขาฝืนทำตัวให้สงบแล้วหันกลับมา มองไปจึงพบว่า แท้จริงแล้วนางเองก็จะออกไปข้างนอกเช่นกัน
“เมียจ๋า เจ้าจะไปไหนหรือ” หลิวจี้มองเชือกและคันธนูในมือของฉินเหยา พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ฉินเหยามองไปยังภูเขาที่อยู่ไกลออกไป “เข้าป่า หาเสบียงปีใหม่”
นางต้องเดินผ่านหมู่บ้านพอดี ถือโอกาสดูเสียเลยว่า หลิวจี้จะซื้อผักจากบ้านไหนบ้าง
หลิวจี้นึกถึงเรื่องที่นางพูดเมื่อคืนว่าตำรับสบู่ที่เก็บไว้อาจมีประโยชน์ และวันนี้ทั้งที่ยังไม่ใช่ช่วงเทศกาลกลับจะเข้าป่าไปหาเสบียงปีใหม่ เขาจึงลองหยั่งเชิงถามว่า
“เสบียงปีใหม่เหล่านี้จะนำไปให้ใครกันหรือ”
ฉินเหยามองเขาด้วยสายตาเบื่อหน่าย ท่าทางเหมือนจะไม่ตอบ แต่พอหลิวจี้คิดว่านางจะไม่พูดแล้ว นางก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลติง พอถึงหน้าหนาว หัวเข่าของนางมักจะปวด ต้องการสนับปิดเข่าดีๆ สักคู่”
หลิวจี้เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า สำนักศึกษาตระกูลติงใกล้จะสร้างเสร็จแล้ว
“เป็นเพราะเรื่องที่ต้าหลางกับเอ้อร์หลางจะเข้าเรียนหรือ แล้วฮูหยินผู้เฒ่าคนนั้นสามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้หรือ”
ฉินเหยาพยักหน้า “แน่นอนว่านางทำได้”
มิฉะนั้นแล้ว นางจะไปเอาใจฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อสิ่งใด
หลิวจี้ถูมือไปมา เป่าลมหายใจออกเป็นไอขาวลอยขึ้น “อากาศหนาวถึงเพียงนี้ ในป่ายังจะมีหนังสัตว์ที่เจ้าต้องการอีกหรือ”
ฉินเหยาไม่ตอบ นางย่อมมีวิธีของตนเอง
“ข้าอาจจะกลับมาช้ามาก เจ้าคอยกำชับให้สี่พี่น้องเข้านอนเร็วๆ ด้วย การเรียนตอนกลางคืนไม่ดีต่อสายตา” สั่งเสร็จ นางก็เห็นหลิวจี้ซื้อผักกาดสองกำมือจากท่านยายหวังและหลานของนาง ฉินเหยาจึงโบกมือ แล้วมุ่งหน้าเข้าป่าไป
หลิวจี้คิดว่า ที่นางบอกว่าจะกลับมาช้ามาก อย่างมากก็คงถึงแค่ช่วงดึกดื่นเท่านั้น
ไม่คาดคิดเลยว่า นางจะกลับมาเอาตอนรุ่งเช้าของวันถัดไป
ฟ้ายังไม่ทันสาง เช่นนั้นก็ยังถือเป็นเวลากลางคืน…กระมัง?
ฉินเหยาสะบัดของที่แบกมาบนไหล่ลงพื้นลานบ้านดังตุบ
กวางป่าตัวหนึ่งที่ตายสนิทแล้ว กระต่ายป่าสีเทาสองตัวที่ยังหายใจรวยรินและแพะป่าผอมโซตัวหนึ่งที่ถูกมัดเสียแน่น
แพะป่าตัวนี้ นับเป็นโชคดีที่ได้มาโดยบังเอิญ ขณะเดินลงเขา นางผ่านพุ่มไม้หนาทึบ แล้วเจ้าตัวโง่นี่ก็ดันเอาหัวมุดเข้าไปติดในพุ่มไม้ ดิ้นเท่าไรก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้
เจอเรื่องดีเช่นนี้ ฉินเหยาจะปล่อยไปได้อย่างไร
นางพุ่งเข้าไปทันที มัดตัวมันแน่นแล้วแบกกลับบ้าน อาหารจานหลักของปีใหม่ ได้มาแล้ว!
………………..
MANGA DISCUSSION