ฟ้ายังไม่สว่าง ฉินเหยาก็ตื่นแล้ว
นางต้มน้ำเต็มหม้อแล้วใส่ในกระบอกไม้ไผ่ เตรียมเผือกขนาดเท่ากำปั้นเด็กสิบหัว ใส่ทุกอย่างลงในถุงที่สานขึ้นจากเชือกฟางแล้วเริ่มจัดเตรียมสัมภาระ
นางเทเกลือในไหออกมามากกว่าครึ่ง ใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ และเก็บหินจุดไฟใส่ในกระเป๋าเสื้อพกติดตัวไว้
เชือกฟางยาวสิบเมตรม้วนไว้แล้วมัดติดที่เอวด้านข้าง สะพายคันธนูและลูกศรไว้บนหลัง ด้ามมีดสั้นพันด้วยเศษผ้าใหม่อย่างแน่นหนา มือหนึ่งถือมีด อีกมือหนึ่งถือถุงใส่น้ำและอาหาร จากนั้นก็ดับไฟในเตา
ทุกอย่างพร้อม นางออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาทางตอนเหนือ ท่ามกลางแสงแรกที่เริ่มปรากฏ
นางเพิ่งเดินไป ประตูห้องข้างๆ ก็เปิดแง้มออกมาอย่างแผ่วเบา
ต้าหลางและเอ้อร์หลางจูงน้องชายและน้องสาว มองเงาร่างสีเทาของฉินเหยาที่ค่อยๆ เดินลับหายไปในสายหมอกยามเช้า อยากจะวิ่งตามไปแต่ต้องฝืนอดกลั้นไว้
แม่เลี้ยงบอกพวกเขาเมื่อคืนว่า นางจะเข้าป่าไปล่าสัตว์ อย่างน้อยสามถึงห้าวัน มากสุดเจ็ดถึงแปดวัน และกำชับให้พวกเขาดูแลตัวเองดีๆ รอนางกลับมาพร้อมกับเนื้อ
ซานหลางและซื่อเหนียงยังเด็ก เมื่อได้ยินว่าจะมีเนื้อกินก็พากันดีใจจนไม่ได้คิดอะไรอื่น
แต่ต้าหลางที่โตพอจะเข้าใจเหตุผลบางอย่าง รู้ว่าการล่าสัตว์ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปทำได้ ป่าลึกเต็มไปด้วยสัตว์ป่าดุร้าย ทุกฤดูหนาวคนในหมู่บ้านจะไม่ปล่อยให้เด็กๆ ออกจากบ้าน เพราะสัตว์ป่าที่หิวโหยจะลงจากภูเขามากินคน
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริง เมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว บ้านหลังหนึ่งอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน บุตรสาวในบ้านถูกหมาป่าลากไป กว่าจะตามกลับมาได้ก็เหลือเพียงเศษกระดูกแล้ว
ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้อยู่ด้วยกัน ต้าหลางพอจะรู้ว่าแม่เลี้ยงของเขามีพละกำลังมากกว่าคนทั่วไป ทำงานเด็ดขาดรวดเร็วและเปี่ยมด้วยอำนาจ
แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าหากเจอกับสัตว์ป่าดุร้าย แม่เลี้ยงของเขาจะสามารถรับมือได้หรือไม่
จริงๆ แล้ว เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ ต้าหลางยังมีความคิดที่มืดมนยิ่งกว่านั้นอยู่ในใจ
เขามักจะรู้สึกว่าแม่เลี้ยงของเขาอาจจะแค่หาข้ออ้างเพื่อทิ้งพวกเขาสี่คนที่เป็นภาระไว้ข้างหลังแล้วจากไป
แต่เมื่อเห็นสายตาคาดหวังของเอ้อร์หลาง ซานหลางและซื่อเหนียง เขาก็ไม่กล้าเอ่ยความคิดนี้ออกมา
บางที เขาอาจคิดมากไปเอง
เนื่องจากได้รับการกำชับจากฉินเหยา พอฟ้าสาง หลิวไป่และหลิวจ้งก็มาพร้อมกับหลิวเฝยที่ไม่เต็มใจนัก หยิบเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีที่เหลือไว้แล้วแบกจอบมุ่งหน้าลงสู่ที่ดินของเจ้าสาม
ในเวลาเดียวกัน ฉินเหยาก็ได้เข้าสู่พื้นที่รอบนอกของภูเขาทางเหนือแล้ว
นางหาสถานที่ที่มีแสงแดดส่องนั่งลง ดื่มน้ำและกินอะไรเล็กน้อยเพื่อพักผ่อนชั่วครู่แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของป่าอย่างเต็มกำลัง
การล่าสัตว์เป็นงานที่ต้องพึ่งโชค หากโชคดีก็จะกลับมาพร้อมของมากมาย
หากโชคไม่ดี การกลับมามือเปล่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่สำหรับพรานมืออาชีพ การค้นหาร่องรอยของสัตว์ป่านั้นเป็นทักษะพื้นฐาน
ภูเขาลึกแห่งนี้แทบไม่มีใครเข้าไป บางครั้งมีคนอยากล่าสัตว์เพื่อเนื้อเล็กน้อยก็จะอยู่เพียงแค่บริเวณรอบนอก ที่ลึกไปกว่านั้นไม่มีเส้นทางด้วยซ้ำ ฉินเหยาจึงต้องเดินเหยียบสร้างเส้นทางขึ้นมาเอง
นางไม่ปิดบังการเคลื่อนไหวของตนเองเลยสักนิด เป้าหมายนั้นชัดเจนคือค้นหาฐานที่มั่น
เมื่อเข้าสู่ป่า ฉินเหยาก็ราวกับปลาได้น้ำ สภาพแวดล้อมที่คล้ายกับป่าในวันสิ้นโลกช่วยให้นางเข้าสู่สภาวะของพรานป่าอย่างรวดเร็ว
นกและสัตว์ตัวเล็กๆ ในป่าเดินผ่านฉินเหยาเป็นระยะ นางเก็บมีดไว้ที่เอวและหยิบธนูออกมา
เมื่อนกตัวหนึ่งบินผ่านศีรษะไปเพราะความตกใจ นางก็ขึ้นศรบนสายแล้วปล่อยออกไปเสียงดังฟิ้ว ลูกธนูพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที!
ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของนกตัวนั้น จากนั้นเงาสีเทาก็ตกลงมาจากพุ่มไม้ดิ้นทุรนทุราย
ฉินเหยาแหวกหญ้าสูงระดับตัวคนตรงหน้า รีบเดินไปยังทิศทางที่นกตกลงมา พบว่านกสีเทาตัวหนึ่งถูกยิงเข้าที่ปีก มันกำลังดิ้นรนและร้องครวญครางอยู่บนกองใบไม้
“ความแม่นยำยังต้องฝึกอีก” ฉินเหยาถอนลูกธนูออกด้วยความเสียดาย จากนั้นก็เก็บนกสีเทาตัวอ้วนที่บินไม่ได้ตัวนั้นขึ้นมา ใช้เชือกมัดปีกของมันแล้วเหน็บไว้ที่เอวก่อนเดินต่อไป
ระหว่างเดินทาง นางใช้สัตว์และนกที่พบระหว่างทางเพื่อฝึกฝนทักษะการยิงธนูของตนเอง เมื่อถึงตอนเย็น บนตัวก็เต็มไปด้วยสัตว์เล็กๆ ที่ยังไม่ตายดี
มีทั้งไก่ป่า นกป่า กระรอกตัวเล็กและครอบครัวกระต่าย
ครอบครัวกระต่ายนี้ได้มาอย่างคาดไม่ถึง เดิมทีนางกำลังไล่ตามกระรอกบนต้นไม้ แต่กลับเห็นหัวกระต่ายโผล่ออกมาจากเนินดินตรงหน้า ฉินเหยาเห็นสัตว์ออกมาให้ล่าเองเช่นนี้ จะปล่อยให้หลุดไปได้อย่างไร
นางรีบหาปากโพรงกระต่ายในบริเวณใกล้เคียง ใช้หินอุดปิดไว้จนเหลือเพียงทางออกเดียว จากนั้นก็เผาใบไม้ชื้นๆ ให้เกิดควันหนา พอกระต่ายทั้งเจ็ดตัวในโพรงถูกรมควันก็พากันวิ่งออกมาทั้งหมด นางจึงจับทั้งหมดได้แบบเป็นๆ
ครอบครัวกระต่ายนี้ตัวใหญ่ไม่น้อย ดูออกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน สองตัวใหญ่ตัวอ้วนป้อม ลูกกระต่ายอีกห้าตัวก็ดูดีมาก ขนสีเทาเป็นมันเงา
ฉินเหยาไม่ชอบกินเนื้อกระต่าย แต่ชอบหนังกระต่ายมาก เพราะสามารถทำเป็นเสื้อ ถุงมือ หรือผ้าพันคอ ฤดูหนาวก็จะอบอุ่นขึ้นแล้ว
เนื่องจากต้องหอบกระต่ายทั้งครอบครัว นางจึงต้องหาที่พักใกล้ๆ ในซอกเขาที่ลมไม่แรง
เผือกที่นำมาหมดไปแล้ว น้ำก็เหลือเพียงหนึ่งในสาม นางเห็นน้ำซึมออกมาจากผนังหินในซอกเขาจึงใช้ไม้ที่หาได้ทั่วไปในป่า ขุดหลุมเล็กๆ เพื่อรองน้ำ เมื่อรออยู่สักพัก น้ำก็สะสมจนกลายเป็นแอ่งเล็กๆ พอให้ดื่มได้
ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ฉินเหยาก่อกองไฟขึ้น ฆ่านกตัวที่ดิ้นรนจนหมดแรงแล้วนำมาย่างกิน
วันนี้เผาผลาญพลังงานไปมาก นกตัวเดียวไม่พอสำหรับฟื้นฟูแรง ฉินเหยาจึงย่างไก่ป่าต่อ
เนื้อที่ย่างจนสุกมีไขมันเคลือบอยู่เป็นชั้น เมื่อกัดเข้าไป กลิ่นหอมก็อบอวลไปทั่ว ฉินเหยาที่ไม่ได้กินเนื้อมานานกินอย่างตะกละตะกลาม เพียงไม่นานนกและไก่ป่าหนึ่งตัวก็หมดเกลี้ยง
เมื่ออิ่มแล้ว นางจึงใส่ฟืนเพิ่มเข้าไปในกองไฟสองสามท่อน จากนั้นจึงพักผ่อนเอาแรง
ภูเขามีความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนสูง ฉินเหยาทำได้เพียงใช้ใบไม้แห้งปกคลุมตัวเองไว้เพื่อรักษาความอบอุ่นและพรางตัวจากสัตว์ใหญ่ที่ออกล่าในยามค่ำคืน
การต่อสู้ในเวลากลางคืนถือเป็นข้อเสียเปรียบสำหรับมนุษย์ที่มองเห็นในความมืดไม่ได้ หากหลีกเลี่ยงได้ก็ควรทำ
ป่าลึกไม่ได้เงียบสงบ เสียงสัตว์ป่าดังมาเป็นระยะ บ้างเหมือนอยู่ใกล้ บ้างเหมือนอยู่ไกล ฉินเหยาตื่นตัวตามสัญชาตญาณ รู้สึกตัวตื่นเป็นพักๆ
กลางดึก ฝนเริ่มตกโปรยปรายจากท้องฟ้า
กองไฟถูกฝนดับ ลมเย็นพัดมา ฉินเหยาหนาวจนสะดุ้งและตื่นเต็มตาทันที
กระต่ายที่ถูกมัดขาทั้งเจ็ดตัวกระสับกระส่ายเมื่อฝนตก
เพราะกลัวว่ากระต่ายจะดึงดูดสัตว์นักล่าขนาดใหญ่เข้ามา ฉินเหยาจึงฆ่าพวกมันทั้งหมดทันที โดยหักคอเพื่อรักษาหนังที่สวยงามให้สมบูรณ์ที่สุด
สำหรับเนื้อกระต่ายที่ได้มาจะกินได้หรือไม่ ฉินเหยาไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้น
หลังจากจัดการกระต่ายเรียบร้อย ฝนก็ตกหนักขึ้น ซอกเขาที่อยู่ไม่สามารถกันฝนได้อีกต่อไป
ในวันที่ฝนตก สัตว์ป่าไม่ชอบออกมา ฉินเหยาจึงเดินตากฝนออกไปต่อเพื่อหาถ้ำ
ในที่สุด เมื่อแสงอรุณเริ่มสาดส่อง นางก็พบถ้ำธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ในพงหญ้า
ตัวเปียกโชกไปหมด ฉินเหยาทั้งเหนื่อยและง่วง แต่ไม่กล้าพัก นางวางกระต่ายที่ตายแล้วและของอื่นๆ ไว้ในถ้ำ จากนั้นรีบออกไปหาเศษกิ่งไม้ที่ไม่เปียกมากซึ่งซ่อนอยู่ใต้ใบไม้ กลับมาที่ถ้ำแล้วก่อกองไฟ
เมื่อมีไฟ อุณหภูมิในร่างกายที่ลดลงอย่างรวดเร็วก็เริ่มกลับมาค่อยๆ อบอุ่นขึ้น ฉินเหยาถึงมีเวลาสำรวจถ้ำที่นางอยู่
นี่คือถ้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ปากถ้ำต่ำและแคบ ต้องก้มตัวจึงจะเข้าไปได้ ลึกลับมาก หากนางไม่ได้รู้สึกถึงทิศทางลมที่ผิดปกติขณะเดินผ่าน คงพลาดถ้ำนี้ไป
ภายในถ้ำมีพื้นที่ไม่มากนัก ประมาณห้าหรือหกตารางเมตร แต่มีความสูงพอสมควรจนสามารถยืนได้
และที่นี่ไม่มีมูลสัตว์ แสดงว่าไม่ได้เป็นบ้านของสัตว์ชนิดใด
นอกจากพื้นที่ที่เล็กเกินไปแล้ว ที่นี่แทบจะเป็นจุดพักที่สมบูรณ์แบบ ฉินเหยาตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่นี่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
หลังจากตากเสื้อผ้าและผมจนแห้งแล้ว ฉินเหยาก็ปิดบังร่องรอยที่ปากถ้ำอย่างดีแล้วรีบพักผ่อนในถ้ำ
MANGA DISCUSSION