ตอนที่ 159 ซื้อที่ดินไม่สำเร็จ
………………..
ฉินเหยาส่งสายตาให้ต้าหลางกับเอ้อร์หลาง ทั้งสองเข้าใจความหมายดี คนหนึ่งไปตักน้ำ อีกคนหยิบอ่างน้ำเข้ามา ขณะเดียวกัน กาต้มน้ำที่ตั้งบนเตาถ่านก็กำลังร้อนพอดี พวกเขาจึงเทน้ำจากกาใส่อ่างจนได้อุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป
เอ้อร์หลางบีบจมูกหยิบถุงเท้าที่ไม่ได้ซักสองคู่มาโยนลงในอ่างน้ำ
ฉินเหยาส่งสบู่ก้อนหนึ่งให้เขาพร้อมเตือนว่า “ชุบน้ำแล้วถูบนถุงเท้า จากนั้นก็ขยี้”
เอ้อร์หลางทำตาม ไม่นานฟองก็ลอยขึ้นมาเต็มไปหมด ซานหลางมองอย่างแปลกใจและอุทาน “เอ๋” ออกมา
ที่ยิ่งมหัศจรรย์ขึ้นไปอีกก็คือ เมื่อบริเวณที่เปื้อนคราบสกปรกถูกล้างออกด้วยน้ำก็กลับมาสะอาดหมดจด ราวกับว่าคราบสกปรกละลายเข้าไปในน้ำและถูกฟองพัดพาออกไป
“สำเร็จแล้ว” ฉินเหยาเลิกคิ้วขึ้นแล้วหยิบสบู่ที่ยังไม่ได้ใช้อีกสิบเอ็ดก้อนเก็บเข้าตู้
รอจนกระทั่งล่วงเข้าฤดูใบไม้ผลิ ไม่แน่ยังสามารถเก็บดอกไม้มาผสมลงไปทำสบู่หอมได้ เวลานั้นจะได้อาบน้ำอย่างสดชื่นหอมกรุ่น
ตอนแรกฉินเหยาคิดจะทำสบู่ไปขาย แต่หลังจากตื่นเต้นอยู่สองวันก็ถูกความเป็นจริงตบกลับมา
เพราะวัตถุดิบหลักสองอย่างทั้งไขมันหมูและเปลือกหอยล้วนหามาในปริมาณมากไม่ได้ ทำใช้ในบ้านยังพอไหว แต่หากจะนำไปขาย นางเองก็ไม่รู้จะไปหามันมาจากไหนมากมาย
ฉินเหยาหยิบสบู่ออกมาแยกต่างหากหกก้อนแล้วตัดกระดาษน้ำมันออกเป็นสองแผ่น ห่อเป็นสองชุด ชุดแรกสองก้อนส่งไปให้เรือนเก่า ส่วนอีกสี่ก้อนหากมีเวลานางจะเอาไปมอบส่งให้ติงเซียงด้วยตัวเอง
ได้ยินมาว่า นายท่านติงเดินทางเข้าเมืองหลวงไปสอบแต่ยังไม่กลับมา แต่ก็ไม่ได้สอบผ่าน
การเดินทางไปกลับกินเวลามาก แถมยังทำให้เสียเวลาเรียนอีก ดังนั้นจึงตัดสินใจไม่กลับ และตั้งใจจะอยู่ในเมืองหลวงเพื่อลงสอบอีกครั้งในปีหน้า
เดิมทีฉินเหยาคิดจะไปพบกับนายท่านติงเพื่อพูดให้เด็กๆ ในบ้านได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาตระกูลติง แต่ตอนนี้ในเมื่อเขาไม่กลับมา นางจึงต้องหาวิธีอื่นแทน
ติงเซียงเป็นตัวเลือกที่ดี ฉินเหยาคิดจะลองขอให้นางช่วยดู
เมื่อห่อสบู่สองชุดเสร็จเรียบร้อย ฉินเหยาหันกลับไปมองก็เห็นต้าหลางสี่พี่น้องหยุดกินเกาลัดกันแล้ว มานั่งล้อมอ่างแข่งกันซักถุงเท้าเหม็นๆ ของเอ้อร์หลางแทน
เพราะสามารถซักจนเกิดฟองได้จึงยิ่งสนุกกันเข้าไปใหญ่
เอ้อร์หลางเจ้าเด็กเจ้าเล่ห์ผู้นี้ รีบวางงานแล้วไปนั่งข้างเตาพลางกินเกาลัดย่างอย่างสบายใจ
คราวนี้เขาเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมา ใช้ฟันกัดเปลือกให้เป็นรอยก่อนแล้วค่อยเอาไปย่างจึงไม่ระเบิดกระจัดกระจาย
ฉินเหยาได้แต่ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา ก่อนจะเดินออกจากห้องโถง ไปที่ห้องครัว จุดไฟทำอาหาร
โดยปกติ นางไม่ได้มีโอกาสทำอาหารบ่อยนัก แต่หากมีเวลาก็จะลงมือเอง
เด็กๆ ในบ้านก็น่ารัก ไม่เคยบ่นเรื่องอาหารของนางเลย ทุกครั้งที่ทำออกมาล้วนถูกกินจนหมดเกลี้ยง
วันนี้มีอาหารดีๆ จากโรงเตี๊ยม ฉินเหยาจึงเพียงหุงข้าวสวยหม้อหนึ่งและตุ๋นน้ำแกงฟักทองอีกหม้อ
ฟักทองนี่เป็นของที่นางปลูกเอง เก็บมาได้สิบเจ็ดสิบแปดลูก กองไว้ตรงมุมห้องครัว เก็บไว้ได้นานมาก ถึงตอนนี้ก็ยังเหลืออีกสามสี่ลูก
หลังจากอาหารเย็นจบลง หลิวเหล่าฮั่นก็ส่งหลิวเฝยมาหาเร่งฉินเหยาว่าถึงเวลาต้องปลูกข้าวสาลีแล้ว อย่าได้ล่าช้า
เขารู้ว่านางไม่มีฝีมือในการทำไร่เลย ดังนั้นหลังจากครอบครัวหลิวเหล่าฮั่นปลูกเสร็จแล้วจึงมาบอกกล่าว เมื่อมีพวกเขาช่วยสองวันก็คงเสร็จเรียบร้อย
ปีนี้พืชผลอุดมสมบูรณ์ บุตรชายที่บ้านก็ล้วนไปทำงานที่โรงงานกังหันน้ำ ส่วนเรือนเก่าก็ปลูกข้าวเพียงครึ่งเดียว ที่เหลือปล่อยไว้ให้ดินได้พัก ดังนั้นถึงมีเวลามาช่วยฉินเหยา
ฉินเหยารับน้ำใจของผู้เฒ่าไว้ด้วยความขอบคุณ
แต่พอหลิวเฝยจากไป คิดถึงเรื่องต้องลงนาในวันพรุ่งนี้แล้ว นางก็รู้สึกหมดกำลังใจ
ตอนกลางคืนขณะหลับก็ฝันดี ฝันว่าตัวเองมีที่นาอันอุดมสมบูรณ์นับพันฉิ่ง[1] มีข้าทาสบริวารนับร้อยคอยรับใช้ดูแล ตนเองเพียงแค่นอนพักผ่อนและเสวยสุขเท่านั้น
แต่พอฟ้าสาง ทุกอย่างก็กลับสู่ความจริงในพริบตา
ฉินเหยาถอนหายใจขณะมองฟ้าหม่นครึ้ม ระหว่างเดินผ่านห้องเด็ก ได้ยินเสียงอ่านหนังสือของ ‘จอมขยัน’ อย่างเอ้อร์หลางดังลอดออกมา นางก็เดินเข้าไป ตบบ่าเขาเบาๆ อย่างพึงพอใจแล้วกล่าวให้กำลังใจว่า
“หลิวเอ้อร์หลาง ตั้งใจเรียนให้ดีสอบให้ได้ตำแหน่งขุนนาง อนาคตแม่จะได้เป็นเจ้าของที่ดินหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
พูดจบก็แบกจอบเดินออกไปทำไร่อย่างไม่เต็มใจ
……
ท่ามกลางความวุ่นวาย เดือนสิบเอ็ดก็มาถึง
ไป๋ซั่นขนเครื่องโม่น้ำขนาดจิ๋วชุดสุดท้ายออกไปและชำระเงินส่วนที่เหลือเรียบร้อยแล้ว
โรงงานกังหันน้ำทำรายได้เข้าไปหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง หักต้นทุนและค่าแรงแล้ว ฉินเหยาและช่างไม้หลิวก็จะได้รับคนละยี่สิบสองตำลึงกับอีกแปดเฉียน
แม้จะคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว แต่พอได้เงินก้อนนี้เข้าจริงๆ ช่างไม้หลิวก็ตื้นตันจนน้ำตาแทบไหล
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้จับเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้มาก่อน! ยี่สิบกว่าตำลึง สามารถซ่อมแซมบ้านได้ ปีหน้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องแรงงานเกณฑ์อีกต่อไปแล้ว
หากใจกล้าหน่อย บุตรชายคนเล็กกับหลานชายของเขาก็สามารถส่งไปเรียนหนังสือได้
บางทีเด็กๆ อาจมีวาสนา ในอนาคตบ้านพวกเขาอาจจะมีนายท่านผู้สอบผ่านระดับซิ่วไฉก็เป็นได้
ทางฝั่งช่างไม้หลิวจะตื้นตันเพียงใด ฉินเหยาไม่สนใจ นางรับส่วนแบ่งของตนเองอย่างสงบนิ่ง จากนั้นก็นำหนึ่งตำลึงที่ต้องมอบให้ตระกูลเป็นค่าหิน ส่งไปที่บ้านของหัวหน้าตระกูล
มีเงินเข้ามา ใครจะไม่ดีใจ?
ถึงแม้เงินก้อนนี้จะไม่ใช่ของตนเอง แต่ผู้เฒ่าหัวหน้าตระกูลก็ยิ้มแย้มดีใจ คิดไปถึงเรื่องซ่อมแซมถนนทางออกหมู่บ้านแล้ว
ฉินเหยาใช้โอกาสนี้ถามเรื่องที่ดิน ฝากให้หัวหน้าตระกูลช่วยสอดส่องไว้และแสดงเจตจำนงว่าอยากซื้อที่ดินดีๆ
หัวหน้าตระกูลรู้ถึงสถานการณ์ของครอบครัวนางดี เดิมทีพวกเขาเคยได้รับที่ดินดีๆ ไม่น้อย ถึงอย่างไรเจ้าหลิวจี้จอมหาเรื่องผู้นี้ หากผลประโยชน์ของเขาถูกลดไปแม้แต่น้อย เขาก็กล้าก่อเรื่องจนทำให้ทั้งบ้านเดือดร้อนหาความสงบสุขไม่ได้
แต่เพียงแค่สองปี ที่ดินเหล่านั้นก็ถูกเขาผลาญไปจนหมดสิ้น
เดี๋ยวขายไปเพื่อใช้จ่ายค่าเกณฑ์แรงงานบ้าง เดี๋ยวขายไปเพื่อซื้ออาหารบ้าง
สุดท้ายเพราะกลัวต้องจ่ายภาษีผลผลิต เขาจึงเลือกที่จะขายที่ดินทั้งหมดทิ้งไปเสีย ทำเอาคนที่เห็นถึงกับโมโหจนแทบกระอักเลือด!
หัวหน้าตระกูลรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต ก่อนจะลองหยั่งเชิงถามฉินเหยา “เจ้าคิดจะซื้อที่ดินเดิมคืนหรือ”
ฉินเหยาพยักหน้า นางชื่นชอบที่ดินสิบหมู่ที่เช่าอยู่ในตอนนี้ยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่นางเคยลองหยั่งเชิงถามหลิวต้าฝูแล้ว เขาไม่มีท่าทีอยากจะขายเลย
ที่จริงนางก็เข้าใจ หากเป็นตัวนางเองก็คงไม่อยากขายเหมือนกัน บ้านไม่มีปัญหาใดๆ ไม่ขัดสนเรื่องเงิน ที่ดินสิบหมู่นี้ยังสามารถเชื่อมที่ดินผืนเล็กๆ รอบๆ บ้านเขาให้กลายเป็นแปลงใหญ่ได้ อีกทั้งเพื่อความสะดวกในการชลประทาน เขาได้ขุดลำคลองขึ้นมา ค่าใช้จ่ายจึงสูงลิ่ว
ทว่าที่ดินอื่นๆ ในหมู่บ้าน ฉินเหยาไม่ได้สนใจเลยจริงๆ
หากนางไม่คุ้นเคยกับหลิวต้าฝูหรือหากหลิวต้าฝูเป็นคนเห็นแก่ได้ที่เอาแต่กดขี่ผู้เช่า นางคงมีวิธีทำให้เขายอมขาย
น่าเสียดายที่เขาดีต่อนางจริงๆ แถมยังมีเมตตาต่อผู้เช่าเสมอ
นางจึงไม่อยากปล่อยที่ดินผืนนี้ไป แต่ก็ไม่อยากใช้วิธีการใดให้บาดหมางกับเขาจึงได้แต่มาหาหัวหน้าตระกูล
หัวหน้าตระกูลที่เพิ่งคลายคิ้วจากเงินค่าหิน ครานี้กลับขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “เรื่องนี้จัดการได้ยากนัก”
ฉินเหยาก็รู้ดีว่ามันไม่ง่ายจึงเสริมว่า “หากเขายอมขาย ข้ายินดีจ่ายราคาสูง ท่านช่วยถามให้ข้าหน่อยเถิด ข้าเองก็ไม่สะดวกจะไปเจรจาตรงๆ หากเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยสองบ้านเราจะได้ไม่ขุ่นเคืองใจกัน”
หัวหน้าตระกูลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ ฉินเหยากำลังจะเดินออกจากบ้านก็ได้ยินเสียงเขาบ่นพึมพำ “เจ้านี่ช่างทำให้ข้าลำบากใจจริงๆ”
แม้จะบ่นเช่นนั้น แต่การกระทำกลับรวดเร็วเสียเหลือเกิน คืนนั้นเขาเชิญหลิวต้าฝูมาทานอาหารที่บ้านพร้อมทั้งลองหยั่งเชิงถามความคิดเห็น
หลิวต้าฝูคิดแล้วคิดอีก แต่สุดท้ายก็ไม่ยอมขาย
คนเราย่อมมีเหตุผลของตน หากเจ้าต้องการสิ่งดีๆ จากข้า เจ้าก็ควรนำสิ่งดีที่มีค่าเท่าเทียมกันมาแลก
ราคาสูงเพียงอย่างเดียวไม่นับว่าเพียงพอ เพราะมันไม่ได้สูงเป็นสองเท่าเสียหน่อย
แต่หากเป็นสองเท่า ฉินเหยาเองก็ไม่มีปัญญาจ่าย ดังนั้นจึงตกลงกันไม่ได้
แต่ความรู้สึกอยากเฉือนหลิวจี้ตัวต้นเหตุผู้นี้เป็นพันๆ ดาบพลันพุ่งถึงขีดสุดในชั่วขณะนั้น!
[1] 1 ฉิ่ง เท่ากับ 100 หมู่
………………..
MANGA DISCUSSION