ตอนที่ 154 บรรลุถึงความสมบูรณ์แบบที่สุด
“ทัพข้าศึกมาแล้ว!”
พลทหารนายหนึ่งตะโกนลั่น หลิวจี้รู้สึกเพียงแค่ศีรษะของตนดังอื้ออึงขึ้นมา มองเงาดำหลายสายที่ใกล้เข้ามาทุกขณะอย่างตะลึงงัน มิอาจตอบสนองได้เลย
เสียงม้าร้องดังขึ้น กองลำเลียงเสบียงอีกกองหนึ่งที่เพิ่งถูกซุ่มโจมตีในช่วงเช้าถูกเล่นงานอีกครั้งในยามเย็น พวกชาวบ้านที่รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิดจิตใจพังทลายจนหมดสิ้น เกือบจะเป็นสัญชาตญาณโดยแท้ที่พวกเขาพากันวิ่งหนี
เมื่อเริ่มหนี สถานการณ์ก็วุ่นวายขึ้นทันที เสียงตะโกนฆ่าและเสียงร้องโหยหวนปะปนกันไป แม้แต่หัวหน้าหน่วยที่แขนบาดเจ็บก็ยังยกดาบยาวขึ้นเล็งไปที่ชาวบ้านใต้บังคับบัญชาของตน
ผู้ใดที่วิ่งหนี พวกเขาก็ขี่ม้าตามล่า ชูดาบขึ้นแล้วฟันอย่างไม่ลังเล
ข้าศึกที่โผล่ออกมามีราวสามสิบถึงสี่สิบคน ทุกคนล้วนรูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายและไว้ทรงผมแตกต่างจากชาวแคว้นเซิ่งโดยสิ้นเชิง พวกมันควบม้าตัวสูง พุ่งเข้าโจมตีระลอกหนึ่ง แล้ววกหัวม้าโถมเข้าชนอีกครั้ง
หลิวจี้รู้สึกเพียงมีแสงสีเงินสะท้อนเข้าตาอย่างฉับพลัน เขายกมือขึ้นบังตามสัญชาตญาณ ฉัวะ! เสียงใบมีดฉีกเนื้อก็ดังขึ้น สหายร่วมทางที่อยู่ข้างกายเขาร้องลั่นก่อนจะล้มลงกับพื้น เลือดอุ่นร้อนสาดใส่หน้าของเขา กลิ่นสนิมเหล็กคละคลุ้ง
ในห้วงแห่งความหวาดผวา เสียงตวาดก้องของซ่างกวนเลี่ยก็ดังขึ้นมา
“จงชักอาวุธออกมา ป้องกันอยู่หน้ารถเสบียง! ห้ามผู้ใดแตกตื่นวุ่นวาย!”
“ก็แค่พวกหมานอี๋สามสิบสี่สิบคนเท่านั้น! พวกเจ้ามีกันนับร้อย หกต่อหนึ่ง ยังต้องกลัวพวกต่ำช้านี้อีกหรือ?!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ความหวาดกลัวที่เกิดจากการโจมตีระลอกแรกของข้าศึกพลันลดลงไปไม่น้อย
ชาวบ้านวัยฉกรรจ์บางคนตะโกนขึ้นทันที “พวกเราขอสู้ตายกับพวกหมานอี๋!”
เลือดของบุรุษถูกปลุกขึ้น ทุกคนต่างยกดาบขึ้น เปล่งเสียงตะโกนก้อง “สู้ตาย!”
หลิวจี้มิอาจเปล่งเสียงร้องตะโกนได้ เพราะเขาพบว่ากองทหารม้าของข้าศึกพุ่งโจมตีกลับมาอีกครั้ง และครานี้หาใช่จู่โจมกองลำเลียงเสบียงที่อยู่ท้ายขบวน แต่กลับพุ่งตรงมาทางพวกเขาแทน
ข้าศึกควบม้าพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว หลิวจี้ไม่ทันได้คิด เขาตั้งดาบขึ้นก่อนจะมุดตัวเข้าไปใต้รถม้า
เสียงกีบม้าดังก้องพุ่งผ่านศีรษะของเขาไป ตามมาด้วยเสียงสบถและเสียงร้องโอดโอยของคนและม้าที่ล้มระเนระนาด
แท้จริงแล้วเป็นเพราะข้าศึกที่โถมเข้ามาถูกดาบที่แทงออกมาจากรถเสบียงแทงเข้าโดยไม่ทันระวัง ทำให้พวกมันล้มลงทั้งคนและม้า
ก่อนที่ข้าศึกพวกนั้นจะได้ลุกขึ้น ซ่างกวนเลี่ยก็ตวัดหอกยาวในมือแทงเข้าอย่างรุนแรง ปิดฉากชีวิตของพวกมันในพริบตา
หลิวจี้ยกมือเช็ดเลือดที่เปื้อนหน้า พอเงยหน้าขึ้นก็บังเอิญสบตากับสายตาเย้ยหยันคู่หนึ่ง บัดซบ สีหน้าเยาะเย้ยของหัวหน้าคนนี้ช่างเหมือนเมียของเขาที่บ้านไม่มีผิด
แม้แต่รูปปั้นดินก็ยังมีอารมณ์โกรธได้ หลิวจี้ถูกแววตานั้นกระตุ้นจนรีบมุดออกมาจากใต้รถม้า คว้าตัวสหายร่วมทางที่เพิ่งล้มลงข้างกายขึ้นมาด้วย
เขานึกว่าสหายร่วมทางถูกฟันตายไปแล้ว ที่ไหนได้ ดวงชะตายังแข็งนัก แค่ถูกฟันเข้าที่แขนเพียงแผลเดียวเท่านั้น
เพียงแต่เลือดพุ่งออกมาไม่น้อย ทำให้หลิวจี้ถูกเลือดสาดจนเต็มหน้า
หลิวจี้ไม่มีเวลาคิดมาก เขาสำรวจทิศทางของข้าศึกไปรอบๆ อาศัยช่วงที่พวกมันเตรียมโจมตีระลอกที่สาม ฉีกชายเสื้อออกมาผืนหนึ่งแล้วพันแผลที่แขนของชายผู้นั้นอย่างลวกๆ
หวังอู่เจ็บจนสูดลมหายใจเข้าลึก แต่เพราะความเจ็บนี้เองที่ทำให้เขาลืมความกลัวไปสิ้น เขาถ่มเลือดลงพื้น ก่อนจะกระชากดาบจากรถออกมา ส่งสายตาเดือดดาลให้หลิวจี้ราวกับจะบอกว่า ‘พี่ชาย พวกเราสู้ตายกับพวกมัน!’
ใครเล่าตอนเด็กไม่เคยมีเรื่องชกต่อย! แล้วใครจะกลัวใครกัน!
หลิวจี้เหลือบมองดาบใหญ่แวววาวของข้าศึก ก่อนขมวดคิ้วเตือนเสียงเข้ม “เสี่ยวอู่ เราควรระวังให้มาก พอแค่ปกป้องรถเสบียงก็พอ”
หวังอู่ขมวดคิ้ว ใครเล่าจะรู้ว่าหลังจากระลอกนี้ผ่านไป จะมีระลอกต่อไปอีกหรือไม่ เอาแต่ทำเช่นนี้ต่อไปก็มิใช่ทางออกกระมัง
หลิวจี้มองออกถึงความกังวลของเขา ภายในใจก็เต้นระรัวด้วยความหวาดหวั่น
หากอีกฝ่ายใช้ธนู พวกเขาซึ่งเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ไร้เกราะป้องกันก็ถึงคราวจบสิ้นแล้ว
แต่คิดถึงเรื่องพวกนี้ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร?
เขามิใช่ฉินเหยา เขาไม่มีทางสู้กับพวกหมานอี๋ที่แข็งแกร่งกำยำเหล่านี้ได้เลย!
เดี๋ยวก่อน หากเป็นฉินเหยาพบเจอกับกองทัพศัตรูเหล่านี้ นางจะทำอย่างไร?
หลิวจี้หัวเราะขมขื่น หากเป็นนาง คงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาขบคิดให้มากความ พุ่งเข้าจู่โจมก็จบแล้ว ศัตรูเหล่านั้นยังมิอาจทำให้นางพึงใจได้เสียด้วยซ้ำ
ประเดี๋ยวก่อน!
การบุกตะลุยก็ต้องมีแบบแผน นางมิใช่เพียงคนบ้าคลั่งไร้สมอง
คืนวันส่งท้ายปีเก่าปีก่อน ตอนที่พวกโจรภูเขาบุกเข้ามา นางขับไล่พวกมันออกไปได้อย่างไร
“จับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน!” หลิวจี้ตะโกนเสียงดังออกมาทันที จากนั้นก็รีบมองหาซ่างกวนเลี่ยด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะร้องตะโกนเสียงดังว่า “ใต้เท้าขอรับ! จับโจร ต้องจับหัวหน้าเสียก่อน!”
ทุกคนตั้งรับอย่างเคร่งเครียด เตรียมป้องกันการบุกโจมตีของกองทหารม้าแห่งม่อเป่ยที่กำลังพุ่งเข้ามาอีกครั้ง
เสียงตะโกนของหลิวจี้นั้น ซ่างกวนเลี่ยได้ยินแล้ว คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่กลับมิได้หันไปมอง
ดังนั้นหลิวจี้จึงมิอาจรู้ได้ว่าเขาได้ยินหรือไม่ ทำได้เพียงตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจับโจร ต้องจับหัวหน้าเสียก่อน! จนหวังอู่และสหายที่อยู่ข้างกายเหลือบมองอย่างแปลกใจ พี่ชาย ท่านอย่าเพิ่งเป็นบ้าได้หรือไม่
หากเผลอทำให้ใต้เท้าโกรธขึ้นมาจะทำอย่างไร
ท่านนั้นเป็นถึงนายทหารระดับสูง ยังต้องให้เจ้ามาเตือนเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อีกหรือ
หลิวจี้ไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น เขาเพียงต้องการมีชีวิตรอด หากไม่รีบขับไล่กองทัพม่อเป่ยนี้ออกไป พวกเขาเหล่าชาวบ้านย่อมถูกใช้เป็นโล่มนุษย์และต้องตายท่ามกลางทุ่งหญ้าเวิ้งว้างนี้ในไม่ช้า
ยามนี้ท้องฟ้ามืดลงแล้ว ทั้งสองฝ่ายมองไม่เห็นกันชัดเจน เห็นเพียงเงาเลือนรางของกันและกัน
สถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบทั้งสิ้น ทว่าหากเป้าหมายของศัตรูคือเผาทำลายเสบียงของพวกเขา เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องใช้แสงสว่างใดๆ ก็สามารถทำได้สำเร็จ
หลิวจี้โกรธนัก โกรธที่สมองของตนเฉียบแหลมเกินไป เขาได้คาดเดาความคิดของศัตรูออกมาล่วงหน้าแล้ว
เป็นไปตามคาด! ทันทีที่เขาคิดจบ เปลวไฟสีส้มก็พวยพุ่งขึ้นมาหลายจุดกลางความมืดมิด ทำให้หลิวจี้ขนลุกชันไปทั้งศีรษะ
โอ้สวรรค์! ยังจะให้คนมีชีวิตรอดอีกหรือไม่?!
หากเสบียงถูกเผาทำลาย พวกเขาเหล่าชาวบ้านก็มีเพียงความตายรออยู่เท่านั้น!
ดังนั้น เสียงตะโกน “ใต้เท้าขอรับ! จับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน!” จึงดังก้องท่ามกลางราตรี
จนกระทั่งเสียงตวาดด้วยความโกรธเคืองดังขึ้น “บัดซบ! หุบปากเจ้าไปเสีย! ข้ายังต้องให้เจ้ามาสั่งสอนอีกหรือ!”
หากเขารู้ว่าใครเป็นหัวหน้า คงลงมือไปนานแล้ว!
อีกอย่างหนึ่ง ในมือเขาไม่มีธนู คิดจะสังหารแม่ทัพศัตรูนั้นย่อมมิใช่เรื่องง่าย
สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ มีเพียงดับไฟเท่านั้น
เมื่อเห็นว่ากองไฟกำลังจะลุกลาม ซ่างกวนเลี่ยจึงออกคำสั่งทันที ให้ทุกคนถอดเสื้อคลุมออก นำไปชุบน้ำแล้วคลุมไว้บนเกวียนเสบียง!
หลิวจี้ปฏิบัติตามคำสั่งโดยไร้คำพูด ขณะเดียวกันก็ได้แต่ทอดถอนใจในใจ ซ่างกวนเลี่ยเจ้าช่างไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
แม้แต่สังหารแม่ทัพศัตรูก็ทำไม่ได้ เทียบกับสตรีดุร้ายในบ้านเขาแล้วยังห่างไกลนัก
การต่อสู้ที่โกลาหลเริ่มต้นขึ้น
ซ่างกวนเลี่ยนำทหารใต้บัญชาของตนบุกโจมตี ทว่าพวกเขามีเพียงสิบเอ็ดนายเท่านั้น อีกกองหนึ่งไม่รู้มัวทำอะไรอยู่กลับตั้งรับอยู่เฉยๆ ไม่ยอมออกมาช่วย ดูแล้วน่าโมโหนัก
ในใจของหลิวจี้นั้นด่าทอเป็นพัลวัน ทันใดนั้นทหารม่อเป่ยนายหนึ่งก็ยกดาบยาวขึ้น กวาดฟันลงมาใส่พวกเขาเช่นเดียวกับการเกี่ยวต้นหอม
เปลวไฟที่ยังไม่ดับกลายเป็นแหล่งกำเนิดแสง ทำให้ศัตรูมองเห็นพวกเขาชัดเจน ในขณะที่พวกเขากลับมองไม่เห็นศัตรูเลย
เสียงแหวกอากาศของคมดาบอาบเลือดฟันลงมา ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของหวังอู่และพวก หลิวจี้กลับเอี้ยวตัวหลบซ้ายขวาติดต่อกันห้าครั้ง โดยไม่ถูกดาบยาวของศัตรูฟันถูกแม้แต่ปลายเส้นผม
เรื่องอื่นหลิวจี้อาจไม่มั่นใจนัก แต่เรื่องการหลบหลีก เขาฝึกฝนจนบรรลุถึงขีดสุดแล้ว
ดาบยาวของหมานอี๋แห่งม่อเป่ยเหล่านั้น หากสามารถฟันโดนแม้แต่ปลายผมของเขา ก็ถือว่าเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้!
MANGA DISCUSSION