ตอนที่ 151 ฝ่าสายฝนกระหน่ำอย่างทุลักทุเล
การขนส่งเสบียงนั้นหาใช่ภารกิจง่ายดายไม่
นี่เป็นการระดมกำลังครั้งใหญ่ ทั้งกำลังคนและทรัพยากรถูกนำมาใช้เป็นหมื่นๆ
หากต้องการขนเสบียงหนึ่งร้อยต้านไปยังชายแดนก็ต้องคำนวณถึงการสูญเสียของวัวม้าและแรงงานระหว่างทางด้วย
เมื่อนับรวมความสูญเสียทั้งหมดแล้ว การส่งเสบียงหนึ่งร้อยต้านผ่านแนวชายแดนก็ต้องเตรียมไว้ล่วงหน้าอย่างน้อยห้าร้อยต้าน
หากต้องการขนเสบียงหนึ่งหมื่นต้านก็ต้องเตรียมไว้ไม่น้อยกว่าห้าหมื่นต้าน
กองขนเสบียง หนึ่งขบวนมีเกวียนยี่สิบเล่ม มีนายทหารหนึ่งนายเป็นหัวหน้าและพลทหารสิบคนคอยดูแลความเรียบร้อย
แต่ละเกวียนมีแรงงานหกคน สารถีหนึ่งคน ผู้ปิดท้ายขบวนหนึ่งคนและผู้คุ้มกันซ้ายขวาฝั่งละสองคน
หกคนรับผิดชอบเกวียนหนึ่งเล่ม เสบียงบนเกวียนยกเว้นส่วนที่พวกเขากินเอง ที่เหลือจะต้องส่งไปยังค่ายทหารให้ตรงตามกำหนด
หากเสบียงของกองทัพเสียหายแม้เพียงเล็กน้อย ทั้งหกคนต้องรับโทษร่วมกันตามกฎหมายทหาร
ดังนั้น ทั้งหกคนจึงต้องร่วมมือกันปกป้องเสบียงของตนเพื่อความปลอดภัยของตนเอง
ความเกี่ยวพันเช่นนี้ทำให้คนทั้งหกในกลุ่มเดียวกันกลายเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่ต้องร่วมมือกันและคอยดูแลกันเอง
เนื่องจากหลิวจี้มีผิวพรรณบอบบาง ไหล่แบกของไม่ไหว มือหิ้วของไม่ขึ้น เขาจึงถูกมองว่าเป็นตัวถ่วง
เขาหวังว่าจะได้ขึ้นนั่งบนเกวียนบ้างจึงกระตือรือร้นสมัครเป็นสารถี แต่นายทหารหัวหน้าขมวดคิ้วแล้วส่งเขาไปเป็นผู้เดินปิดท้ายขบวนแทน
ดังนั้น หลิวจี้จึงเริ่มต้นชีวิตการขนเสบียงด้วยการเดินตามท้ายเกวียน สูดฝุ่นกินทรายทุกวัน
บางครั้งถนนขรุขระ เกวียนสั่นไหวจนถุงเสบียงร่วง เขาต้องรีบก้มลงเก็บ ฝุ่นเข้าจมูกจนสำลักยังไม่นับว่าเลวร้าย ที่เลวร้ายกว่าคือหากเจอม้าที่เพิ่งถ่ายมูลสดๆ ใหม่ๆ ออกมาพอดีเข้า
หากชักช้าเพียงนิดเดียว นายทหารบนม้าก็จะสะบัดแส้ฟาดลงมาในทันที
หากมิใช่ว่าหลิวจี้มีปฏิกิริยาว่องไว ยามนี้แผ่นหลังของเขาคงไม่ต่างจากผู้ปิดท้ายขบวนคนก่อนหน้าที่ถูกเฆี่ยนจนเลือดเนื้อแยกออกจากกัน
พูดแล้วก็น่าสังเวช ความว่องไวปานนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ฝึกมาจากเงื้อมมือของสตรีจอมโหดในเรือนทั้งนั้น
ความว่องไวของเขาถึงขั้นทำให้หัวหน้าทหารต้องเหลือบมองมาอีกหลายครั้ง
ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ หลิวจี้ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าสี่สิบห้าองศาขึ้นมองฟ้า ช่างเจิดจ้าแต่ดูเศร้าหมอง
“ซี้ด~” ดวงอาทิตย์สาดแสงจ้าเกินไป เพียงจ้องมองสองอึดใจดวงตาก็แสบร้อน หลิวจี้โศกเศร้าได้ไม่ถึงสองวินาทีก็รีบก้มหน้าลง แสร้งทำเป็นคนว่านอนสอนง่าย ก้าวขาต่อไปตามขบวนอย่างไร้วิญญาณ
เขาต้องไปล่วงเกินขุนนางที่ควบคุมการขนเสบียงเข้าเป็นแน่แท้จึงถูกส่งให้มาอยู่ใต้บัญชาของทหารผู้เหี้ยมโหดอย่างช่างกวนเลี่ย ขบวนขนเสบียงมีตั้งมากมาย เหตุใดจึงมีแต่ขบวนของเขาที่เดินเร็วประหนึ่งจะไปตามหาบิดามารดากัน!
หากเดินช้าลงเพียงนิดเดียวก็จะถูกตะโกนเร่งราวกับเร่งวิญญาณให้ไปสู่ยมโลก เดินเพียงสามวันรองเท้าคู่แรกของเขาก็พังเสียแล้ว
ในใจของหลิวจี้เต็มไปด้วยความคับแค้น เขาเกลียดช่างกวนเลี่ยเข้าใส้
ส่วนฉินเหยาผู้ที่เป็นคนส่งชื่อเขาให้เข้ารับการเกณฑ์แรงงาน เขาทั้งหวาดกลัวทั้งร้อนตัว เกลียดหรือ ไหนเลยจะกล้า!
เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งแตก หลิวจี้ปลดกระบอกไม้ไผ่ที่พกไว้ที่เอวขึ้นมาหมายจะดื่มน้ำ แต่ต้องตกใจเมื่อพบว่ามันว่างเปล่า ไม่รู้ว่าน้ำในนั้นหมดไปตั้งแต่เมื่อใด
ตั้งแต่วันออกเดินทาง ฟ้าก็ปลอดโปร่งแจ่มใสมาโดยตลอด
ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง อากาศกลางวันร้อนจนเวียนศีรษะ น้ำเพียงหนึ่งกระบอกหมดลงอย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่ขบวนหยุดพัก คนที่ไม่ต้องอยู่เฝ้ายามก็จะรีบคว้ากระบอกไม้ไผ่ของพวกพ้องไปตักน้ำกันทันที
หากมีบ่อน้ำหรือธารน้ำไหลก็คงพอทน แต่หากเป็นห้วยแห้งแล้งที่มีน้ำบางเบายิ่งกว่าปัสสาวะ เวลาพักเพียงน้อยนิดนั้นก็แทบไม่พอให้ตักน้ำเลย
หากพบพวกนิสัยหุนหันพลันแล่น บางครั้งก็หลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งและมีปากเสียงมิได้
หลิวจี้เป็นผู้ที่ว่องไวปราดเปรียวที่สุดในกลุ่มของตน ทุกครั้งที่ต้องไปตักน้ำ เขาย่อมเป็นคนแรกที่พุ่งไปก่อนเสมอ
ส่วนผู้คุ้มกันอีกสี่คนก็จะมายืนขวางเอาไว้ไม่ยอมให้ผู้อื่นแย่งน้ำไป เข้าขากันเป็นอย่างดีนานแล้ว
แต่ถึงกระนั้น วันนี้โชคไม่ดี เจอเพียงธารน้ำในซอกเขาจึงสามารถตักน้ำมาได้แค่สองกระบอกเท่านั้น
มีน้ำให้ดื่มก็นับว่าดีแล้ว คนทั้งหกแบ่งกันดื่ม ความร้อนอบอ้าวจึงบรรเทาลงเล็กน้อย
ส่วนผู้ที่ยังไม่มีโอกาสตักน้ำก็ต้องรีบติดตามขบวนต่อไปด้วยความรวดเร็ว หวังเพียงว่าสวรรค์จะประทานฝนลงมาโดยไว
และแล้วฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาจริงๆ
เมื่อสายฝนโปรยปราย ขบวนก็เกิดความโกลาหลขึ้นทันที
บางคนรีบนำผ้ากันน้ำมาคลุม บางคนพลิกหาเสื้อกันฝนและงอบมาใส่ อีกทั้งยังมีผู้ที่ต้องคอยปลอบขวัญม้าที่ตื่นตกใจ
ขณะที่กำลังวุ่นวายอยู่นั้น จู่ๆ ช่างกวนเลี่ยก็ออกคำสั่งให้เร่งฝีเท้าเดินหน้าโดยเร็ว!
กองขนเสบียงถึงกับโอดครวญระงม จะไม่ให้คนมีชีวิตรอดเลยหรือไร!
หลิวจี้อดมิได้ที่จะสงสัยว่าหัวหน้าขบวนผู้นี้มีรสนิยมพิลึกชอบทรมานผู้อื่น เห็นพวกเขามีความสุขไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อสายฝนเย็นชื่นตกลงมา ความร้อนก็พลันหายไป หลิวจี้ที่ถูกแดดแผดเผาจนทรมานมานานคิดเพียงว่า หากฝนตกหนักกว่านี้คงยิ่งดี
คนอีกมากก็คิดเฉกเช่นเดียวกันกับเขา หากฝนตกหนักขึ้นไปอีก ช่างกวนเลี่ยคงต้องสั่งให้หยุดพักขบวน เช่นนี้พวกเขาจะได้หยุดพักเสียที
แต่เมื่อฝนห่าใหญ่ตกลงมา พวกเขาจึงรู้ตัวว่าคิดตื้นเขินเกินไป
สายฝนโหมหนักขึ้นเรื่อยๆ แรกเริ่มทุกคนยังรู้สึกสดชื่นและยินดี แต่เดินไปได้เพียงไม่นาน ถนนที่ถูกฝนชะล้างก็กลายเป็นโคลนเหลวในพริบตา
ล้อเกวียนที่บรรทุกเสบียงหนักอึ้งจมลึกลงไปในโคลน เดิมทีเพียงเดินตามเกวียนก็เหนื่อยพอแล้ว บัดนี้กลับต้องออกแรงเข็นมันให้เคลื่อนที่
หลิวจี้หาได้มีพลังมหาศาลเยี่ยงฉินเหยาไม่ ล้อเกวียนอันหนักอึ้งราวกับถูกโคลนดูดติดแน่น ต้องออกแรงถึงที่สุดจึงสามารถเข็นให้เคลื่อนที่ไปได้อย่างยากลำบาก
ทหารน้อยขี่ม้าวิ่งวนไปมาภายในขบวน แส้ในมือเฆี่ยนลงมาหลายครั้ง พลางตะโกนเสียงดังว่า
“เร่งเดินหน้าให้เร็วเข้า เร็วกว่านี้อีก!”
หลิวจี้ไม่อยากถูกเฆี่ยน เขากัดฟันแน่น รวบรวมแรงทั้งหมดในร่างแล้วออกแรงฝืนดันต่อไป
ด้วยสภาพเช่นนี้ ขบวนลำเลียงเสบียงกว่ายี่สิบเกวียนและผู้คนกว่าร้อยชีวิต ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็เดินทางอย่างทุลักทุเลมาถึงสถานีพักม้าที่อยู่ห่างไปยี่สิบลี้
ม้าและเกวียนมีมากเกินไปจนสถานีพักม้าไม่อาจรองรับได้ ทุกคนจึงต้องแยกม้าและเกวียนออกจากกัน รีบเข็นเกวียนเสบียงเข้าไปในกระท่อมฟางเพื่อพักพิง ก่อนจะฝืนจัดเรียงให้พอวางรวมกันได้
เวลานี้ หลิวจี้รู้สึกโชคดีอย่างยิ่งที่ตนมิใช่สารถี มิเช่นนั้น คนที่ยืนตากฝนอยู่หน้าสถานีพักม้า พยายามรั้งม้าที่พยศไม่หยุด คงเป็นตนเองแน่แท้
อย่างน้อย ตอนนี้เขายังสามารถอยู่ข้างเกวียนเสบียง มีหลังคากระท่อมฟางช่วยบังลมฝนได้บ้าง
ส่วนซ่างกวนเลี่ยและพลทหารทั้งสิบต่างเข้าไปพักผ่อนภายในห้องโถงของสถานีพักม้าตั้งนานแล้ว
แม้ยามเที่ยง ท้องฟ้าก็ยังมืดครึ้ม ไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุด มิหนำซ้ำฝนยังตกหนักขึ้นกว่าครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้เสียอีก
บรรดาชาวบ้านที่ร่วมเดินทางต่างยืนมองฝนด้วยความตะลึงงัน ในใจคิดว่าสวรรค์รั่วแล้วหรือ เหตุใดถึงได้เทสายน้ำลงมาจากฟากฟ้าราวกับแม่น้ำเช่นนี้
ในความทรงจำของหลิวจี้ นี่เป็นพายุฝนที่หนักหนาที่สุดที่เขาเคยพบเห็นในชีวิต
ฝนตกตั้งแต่เที่ยงวันลากยาวไปจนถึงยามเย็นของวันถัดมา ตกต่อเนื่องไม่มีหยุดแม้แต่น้อย พื้นดินของสถานีพักม้ากลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ โคลนและน้ำคลุกเคล้ากันจนขุ่นข้นเลอะเทอะ
หลิวจี้ยื่นเท้าไปลองวัดระดับน้ำ พบว่าน้ำสูงเกินช่วงน่องของเขาเสียอีก
ซ่างกวนเลี่ยเดินออกจากประตูสถานีพักม้า เห็นหลิวจี้ดึงเท้ากลับขึ้นมาพอดี เขาขมวดคิ้วแน่น กล่าวอะไรบางอย่างกับพลทหารข้างกายก่อนจะเดินกลับเข้าไป
ไม่นาน พลทหารก็ออกประกาศคำสั่งให้พักต่ออีกหนึ่งวัน หากน้ำลดในวันพรุ่งก็จะออกเดินทางทันที
ทุกคนล้วนรู้สึกยินดี ในที่สุดก็มีโอกาสได้พักเสียที
MANGA DISCUSSION