หลังจากใช้ชีวิตดิ้นรนในวันสิ้นโลกมานานนับสิบปี ฉินเหยาย่อมมองอารมณ์ในแววตาของสองผู้อาวุโสที่เปลี่ยนจากความตกใจไปเป็นผิดหวังและสุดท้ายกลายเป็นความโกรธออก
แต่แล้วจะทำไมเล่า
หลิวจี้ตอนนี้คงถูกจัดการจนใกล้ตายเต็มทีแล้วกระมัง
ใช้ชีวิตในวันสิ้นโลกมานานเช่นนี้ ฉินเหยาเองก็มีวิถีการเอาชีวิตรอดของตนเอง นั่นก็คือทุกสิ่งที่อาจคุกคามต่อความปลอดภัยในชีวิตของนาง นางจะจัดการล่วงหน้าเพื่อความปลอดภัยของตน
ด้วยสถานการณ์ของนางในตอนนี้ การที่หลิวจี้ตายคือทางออกที่ดีที่สุด
มิฉะนั้น นางจะต้องแบกรับหนี้สินจำนวนมหาศาลที่ยังไม่รู้จำนวนแน่ชัด และยังมีสามีไร้ประโยชน์ที่อาจจะยังไม่ตาย แต่ต้องใช้เงินก้อนโตในการรักษาอีก
ความเมตตาน่ะฉินเหยามี แต่ไม่มากถึงเพียงนั้น
ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นผลกรรมที่หลิวจี้ก่อขึ้นมาเอง เกี่ยวอะไรกับนางด้วย มองจากมุมของเหยาเหนียง นางต่างหากที่เป็นเหยื่อที่ควรได้รับความเห็นใจมากที่สุด
ดังนั้น ฉินเหยาจึงทำเป็นไม่รับรู้อารมณ์ของสองผู้อาวุโสและพูดคุยเรื่องซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีต่อไป
ตอนที่ต้าหลางและเอ้อร์หลางเพิ่งกลับมาถึงบ้านได้เล่าให้นางฟังถึงเรื่องที่เจอกับท่านลุงใหญ่หลิวไป่
ฉินเหยาคิดดูแล้ว ที่ดินสองหมู่นั้นควรปลูกอะไรบ้างเพราะหากไม่ปลูกก็จะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าปลูก อย่างน้อยก็อาจมีผลผลิตบ้างเมื่อผ่านฤดูหนาวนี้ไป
“พวกเจ้ายังไม่ได้เริ่มปลูกข้าวสาลีอีกหรือ” หลิวเหล่าฮั่นมองฟ้าด้วยความกังวล ไม่รู้ว่าฝนจะตกลงมาเมื่อใด
ฉินเหยาตอบ “ก่อนหน้านี้ข้ายุ่ง อีกทั้งสถานการณ์ในบ้านก็เป็นเช่นนั้น ข้าเพิ่งเริ่มจัดการได้สองสามวันนี้เอง เลยคิดจะปลูกอะไรในที่ดินสองหมู่เสียหน่อย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ปีหน้าก็ยังพอมีผลผลิตบ้าง”
“ท่านพ่อ ข้าไม่เคยปลูกพืชมาก่อน ขอท่านช่วยแนะนำด้วย”
คำพูดนี้ของฉินเหยานั้นเป็นความจริง เพราะฐานะของครอบครัวเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่เลวเลย หากไม่เจอภัยธรรมชาติและสงครามทำลายทุกอย่าง ครอบครัวมีพี่น้องมากมาย ที่ดินก็มากโขเช่นนั้น ไม่ถึงตานางต้องลงไปทำนาด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่ท่านลุงของครอบครัวเดิมทำงานเป็นสมุหบัญชีในอำเภอ นางจึงรู้จักตัวหนังสือไม่น้อยเลย
ส่วนตัวนางเอง ฟันซอมบี้นั้นยังพอทำเนา แต่เรื่องปลูกพืชนั้นช่างมันเถอะ
หลิวเหล่าฮั่นคาดไม่ถึงว่านางจะถึงกับปลูกพืชไม่เป็น แต่ก็พูดอะไรไม่ได้มาก ในใจยังเก็บเรื่องลูกชายคนที่สามไว้ อีกทั้งมองท่าทีไม่ใส่ใจของฉินเหยา ในใจก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
เขาส่งสายตาให้นางจางไปเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีมา
โชคดีที่ก่อนหน้านี้มีหว่านเมล็ดพันธุ์เพิ่มไว้บ้าง หลังจากปลูกในที่ดินของครอบครัวจนเสร็จก็ยังเหลืออีกเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นต่อให้ฉินเหยามาขอ เขาก็คงไม่มีให้
ความจริงความเป็นอยู่ของทุกคนที่เรือนเก่าตระกูลหลิวก็ไม่ได้ดีมากอะไร เสื้อผ้าขาดปะแล้วปะอีก อาหารก็เป็นเพียงข้าวกล้อง
เรือนเก่าแห่งนี้ก็เพียงมีห้องมากกว่าบ้านหลังเก่าของฉินเหยาไม่กี่ห้องและมีกำแพงล้อมรอบเท่านั้น
บิดาและบุตรชายในบ้านทำงานกันตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปีก็เพียงแค่พอเลี้ยงดูคนในครอบครัวทั้งเก้าชีวิตเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลิวจี้เจ้าคนไร้ความรับผิดชอบนั่นอีก เงินที่เหลือเก็บเพียงเล็กน้อยล้วนต้องนำไปใช้ตามล้างตามเช็ดปัญหาที่เขาก่อ
แต่ถึงอย่างไร หลิวจี้ก็เป็นบุตรชายแท้ๆ เมื่อพบเจอเรื่องคอขาดบาดตาย ในฐานะบิดาจะใจแข็งไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร
นางจางยื่นหม้อที่ใส่เมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีให้ฉินเหยาพร้อมกำชับว่าควรขุดดินลึกแค่ไหน วิธีการหว่านเมล็ดและการกลบดินที่ต้องระวังเป็นอย่างไร หากฝังลึกเกินไปก็จะไม่งอก หากฝังตื้นเกินไปฝนก็อาจชะล้างเมล็ดไปจนหมดได้
ฉินเหยาจดจำรายละเอียดเหล่านี้เอาไว้ คิดอย่างมั่นใจว่า ฟังดูแล้วไม่ยาก พรุ่งนี้ลองดูก็น่าจะทำเป็น
ฉินเหยาหยิบเหรียญทองแดงห้าเหรียญออกมา “ข้าไม่เคยซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลี ไม่รู้ว่าจำนวนนี้พอหรือไม่”
นางจางเบิกตากว้างราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน เมื่อครู่ตอนที่ฉินเหยาบอกว่าจะมาซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลี นางยังคิดว่าเป็นแค่คำพูดลอยๆ เท่านั้น ด้วยพฤติกรรมของเจ้าสามที่ผ่านมาหากไม่กลับมาขอเงินจากพวกเขาก็นับว่าไม่เลวแล้ว
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า เจ้าสามกับภรรยาของเขาคนนี้แทบจะไม่เหมือนคนในครอบครัวเดียวกันด้วยซ้ำ
ฉินเหยาเห็นสีหน้าตกตะลึงของนางจางก็ไม่สนใจว่าจะพอหรือไม่ นางวางเงินลงในมือของอีกฝ่าย หยิบเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีและเรียกต้าหลางกับเอ้อร์หลางที่กำลังกลืนน้ำลายมองคนอื่นกินข้าวให้บอกลาท่านปู่ท่านย่า จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
เดินออกมาได้หลายก้าว หลิวไป่และหลิวจ้งสองพี่น้องก็วิ่งตามมาทัน
ฉินเหยามองพวกเขาด้วยความระแวดระวัง หรือว่าจะมาตามทวงฟางคืน?
“เรื่องฟาง รอจนพอผ่านช่วงลำบากนี้ไปแล้ว ข้าจะคืนให้” ฉินเหยาพูดขึ้นก่อน เพราะรู้ว่าครอบครัวตนเองทำผิดก่อน
หลิวไป่และหลิวจ้งชะงักไป ก่อนจะเข้าใจว่านางเข้าใจผิด รีบโบกมือปฏิเสธว่าเรื่องนั้นไม่เป็นไร
แต่ฉินเหยาไม่ได้คิดจะปล่อยผ่าน เพราะทุกบ้านต่างอยู่กันอย่างยากลำบาก แม้จะเป็นแค่ฟางไม่กี่มัด แต่สำหรับชาวนาแล้วก็สำคัญมาก
“ต้องคืน” นางพูดอย่างจริงจัง
หลิวไป่เห็นนางดื้อรั้นเช่นนี้ก็ตามใจนาง เพราะอย่างไรก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คืนอยู่แล้ว
เขาและหลิวจ้งหยิบเหรียญทองแดงออกมาจากกระเป๋าคาดเอวของแต่ละคน รวมกันเป็นกองเล็กๆ หนึ่งกองแล้วยื่นให้ฉินเหยา
“พวกเราเองก็มีไม่มีมาก แต่ชีวิตของเจ้าสามสำคัญกว่า เจ้ารับไปไถ่ตัวเขากลับมาก่อน ส่วนที่เหลือ เดี๋ยวพวกเราค่อยมาคิดหาทางกัน” หลิวไป่ขมวดคิ้วเอ่ย
หลิวจ้งเสริมขึ้นว่า “ท่านแม่บอกว่าหลินเอ้อร์เป่ามีเหมืองเถื่อน คนที่มีเรื่องกับเขามักจะไม่โดนฆ่า แต่จะถูกโยนลงไปในเหมืองให้ทำงานชดใช้หนี้ เจ้าสามอาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้”
“คราวนี้เขาคงได้รับบทเรียนแล้ว ต่อไปก็คงจะปรับตัวให้ดีขึ้น วันข้างหน้าพวกเจ้ายังต้องอยู่ด้วยกันถึงจะสามารถผ่านพ้นไปได้ หากมีแต่เจ้าที่เป็นสตรีตัวคนเดียว…” เช่นนั้นจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร
ประโยคสุดท้าย หลิวจ้งรู้สึกว่าไม่เหมาะสมเท่าไหร่จึงไม่ได้เอ่ยออกไป
ฉินเหยาเลิกคิ้ว เจ้าหลิวจี้ผู้นี้ เลวร้ายถึงเพียงนี้กลับยังมีครอบครัวคอยช่วยเหลือสนับสนุน ช่างเหลือเชื่อจริงๆ
ต้าหลางและเอ้อร์หลางเองก็มองฉินเหยาพร้อมกัน ทั้งคู่หวังว่านางจะรับเงินไว้
แต่ฉินเหยากลับผลักเงินคืนไป “ไม่ต้องหรอก ข้ารับไว้ไม่ได้ เงินเท่านี้ไม่พอไถ่ตัวเขากลับจะกลายเป็นการโยนเงินทิ้งในหลุมลึกเสียเปล่า พวกท่านเก็บไว้ใช้เองเถิด”
พูดจบนางก็หันหลังเดินกลับบ้านไปด้วยก้าวย่างที่มั่นคง แววตาของนางเย็นชาขึ้นทุกขณะ
ต้าหลางและเอ้อร์หลางลังเลเล็กน้อย มองไปยังลุงทั้งสอง แต่สุดท้ายก็รีบก้มหน้าไล่ตามฉินเหยาไป
“เฮ้อ!” หลิวจ้งถอนใจ เดินตามไปไม่กี่ก้าว แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสามคนแม่ลูกนี้ถึงได้เดินเร็วขนาดนั้น เพียงพริบตาก็หายลับไปในความมืดแล้ว เขาจึงหยุดเดินและหันกลับมามองหลิวไป่ด้วยความอับจน
“พี่ใหญ่ แล้วเรื่องเงินนี่?”
“เหตุใดนางถึงไม่เอาไปนะ” หลิวไป่เองก็รู้สึกงุนงงไม่แพ้กัน
สองพี่น้องเดินกลับบ้านและเล่าเรื่องที่ฉินเหยาไม่ยอมรับเงินให้ฟัง นางเหอสะใภ้ใหญ่และนางชิวสะใภ้รองแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่สองผู้อาวุโสในบ้านกลับโกรธจนแทบระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่
หลิวเหล่าฮั่นทุบโต๊ะด้วยความโกรธ “นี่มันไม่ใช่ท่าทีของคนที่อยากอยู่กินกับเจ้าสามอย่างจริงจังเลย!”
ในฐานะที่เป็นสตรีเหมือนกัน นางจางก็พอจะเข้าใจความคิดของฉินเหยาอยู่บ้าง เจ้าสามผู้นี้ หากไม่ปรับปรุงตัวเสียก็จะกลายเป็นหลุมลึกที่ไม่มีวันถมเต็ม
“ช่างเถอะๆ ค่อยหาวิธีอื่นแทน” นางจางลูบหลังหลิวเหล่าฮั่นเบาๆ พร้อมถอนหายใจอย่างจนปัญญา
……
กลางดึกอยู่ๆ ก็เกิดลมพัดแรงขึ้น
เสียงลมหวีดหวิวฟังดูคล้ายเสียงทารกร้องไห้ ชวนให้ขนลุก
ฉินเหยาสะดุ้งตื่นจากฝัน เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
หลังคามุงด้วยหญ้าคาของบ้านถูกลมพัดจนหลุดลอยไปกลายเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่
ลมแรงยังคงพัดอย่างเกรี้ยวกราด คานไม้บนหลังคาที่บางและไม่มั่นคงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง
ฉินเหยาได้ยินเสียงเศษผนังหลุดร่วงลงมาอยู่ข้างหู บ้านทั้งหลังให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจะพังลงมา
ไม่ดีแล้ว!
บ้านนี่คงไม่ได้จะพังลงมาใช่หรือไม่
“ท่านแม่!” เสียงอุทานด้วยความตกใจของซื่อเหนียงดังมาจากห้องข้างๆ
ฉินเหยารีบสะกดกลั้นความตกใจเอาไว้ ลุกจากเตียงอย่างรวดเร็ว สวมรองเท้าแล้ววิ่งออกไป
“ต้าหลาง เอ้อร์หลาง ซานหลาง ซื่อเหนียง รีบออกมาเร็ว!”
นางผลักประตูเข้าไป เห็นเด็กทั้งสี่คนกอดกันแน่นอยู่บนเตียง มองดูหญ้าบนหลังคาที่ถูกลมพัดปลิวขึ้นทีละชิ้นด้วยความตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
ซื่อเหนียงกลัวจนร้องเรียกท่านแม่ไม่หยุด ต้าหลางฝืนทำใจกล้า กอดน้องชายและน้องสาวไว้ในอ้อมแขน
ฉินเหยารู้สึกแน่นในอก พวกเขายังไม่รู้อีกว่าต้องรีบหนี!
นางพุ่งไปข้างหน้า อุ้มซานหลางและซื่อเหนียงขึ้นมาแล้วตะโกนใส่ต้าหลางและเอ้อร์หลางว่า “รีบออกมาเร็ว! บ้านกำลังจะถล่มแล้ว!”
เด็กทั้งสี่คนตกใจสุดขีด ต้าหลางและเอ้อร์หลางกระโดดลงจากเตียงอย่างลุกลี้ลุกลน ไม่ทันได้สนใจรองเท้า วิ่งเท้าเปล่าตามฉินเหยาออกมาอย่างรวดเร็ว
MANGA DISCUSSION