ตอนที่ 139 เปี่ยมไปด้วยความภักดีและความกล้าหาญ
หลิวจี้เป็นเพียงคนเกียจคร้าน แต่หาใช่คนโง่ไม่ การดื่มเหล้าเอาใจผู้อื่นย่อมทำได้
แต่การพนันน่ะหรือ? นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่มีวันทำเด็ดขาด!
แล้วยังเงาหลังนั้น ใช่ฉินเหยาหรือไม่กันแน่?
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ หลิวจี้ก็นอนไม่หลับตลอดคืน
ยิ่งเมื่อตื่นเช้าในวันถัดมา เขาก็ไปหาสารถีเพื่อขอค่าใช้จ่ายแต่กลับไม่ได้แม้แต่เหวินเดียว ความกังวลที่กดทับอยู่พลันปะทุออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
โชคดีนักที่เขายังมีเงินส่วนตัวอยู่บ้าง อย่างน้อยก็พอจะประคองตัวไปได้อีกครึ่งเดือน
ฝานซิ่วไฉไม่เรียกหาเขาอีกเลย เขาถูกขับออกจากวงสังคมของคนพวกนั้นอย่างสิ้นเชิง
หลังจากนั้น หลิวจี้ก็ส่งจดหมายกลับบ้านหลายฉบับทว่ากลับไม่มีแม้แต่ฉบับเดียวที่ได้รับการตอบกลับ
ทุกค่ำคืนที่เงียบสงัด หลิวจี้มักรู้สึกอ้างว้างราวกับว่าตนเองถูกทั้งโลกทอดทิ้ง
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงนอนไม่หลับติดกันหลายคืน เพียงไม่กี่วันร่างกายก็ซูบผอมซีดเผือด ราวกับตัวละครในนิทานที่ถูกปีศาจดูดกลืนพลังชีวิตจนเหือดแห้ง ทำให้ฝานซิ่วไฉ และพรรคพวกพากันตกใจไม่น้อย
พวกตนก็แค่ไม่พาเขาไปเที่ยวเล่นด้วยเท่านั้นเอง ต้องเป็นถึงขนาดนี้เลยหรือ
จดหมายอีกฉบับถูกส่งมาจากสำนักศึกษาในอำเภอและถูกส่งต่อมายังเรือนเก่าตระกูลหลิว
นางจางเป็นผู้รับจดหมาย แต่เพราะนางอ่านหนังสือไม่ออกเลยแม้แต่ตัวเดียว จึงต้องนำไปถามเอ้อร์หลางซึ่งกำลังเล่นอยู่ใต้ชายคากับจินเป่าและจินฮวา
เอ้อร์หลางเหลือบมองแวบหนึ่งก่อนกล่าวว่า “อ้อ นี่เป็นจดหมายจากสำนักศึกษาที่ท่านพ่อส่งมาให้ท่านแม่น่ะ”
นางจางพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะเก็บไว้ก่อนแล้วค่อยส่งให้แม่เจ้าพร้อมกันทีหลัง”
เอ้อร์หลางไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลยสักนิด เขายังคงเล่นต่อสู้โดยใช้กิ่งไม้เป็นอาวุธกับจินเป่าและจินฮวาต่อไป
นางจางส่ายหัวอย่างจนใจ ก่อนเดินเข้าไปในเรือน และวางจดหมายฉบับใหม่นี้รวมกับจดหมายอีกสองฉบับที่ส่งมาเมื่อสองวันก่อนหน้า
สองวันก่อน ฉินเหยาพาต้าหลางขึ้นเขาไปแล้ว จดหมายนี้จึงต้องรอให้พวกเขาแม่ลูกกลับมาก่อนจึงจะเปิดได้
เอ้อร์หลางและคู่แฝดชายหญิงถูกฉินเหยาส่งมาที่เรือนเก่า ทว่าในยามค่ำคืน นางเหอหรือหลิวเฝยจะพาพวกเขาทั้งสามกลับไปนอนบ้าน
ไก่และม้าในบ้านต้องช่วยกันให้อาหาร อีกทั้งต้องตรวจสอบกลอนประตูให้แน่นหนา เพื่อป้องกันพวกมือไวที่มาแอบลักขโมย
นางเหอไม่เคยเข้าใจความคิดของฉินเหยาเลย นางจะขึ้นเขาก็ขึ้นไปเถิด แต่พาเด็กไปด้วยทำไมกัน
ต้าหลางเพิ่งอายุเท่าไหร่กัน เด็กชายวัยเพียงเก้าขวบจะออกล่าสัตว์ได้หรือ
ทุกครั้งที่เอ้อร์หลางได้ยินท่านป้าใหญ่บ่น เขาก็จะคอยแก้ต่างแทนเสมอว่า “ท่านแม่พาพี่ใหญ่ไปฝึกฝนในสถานการณ์จริง คราวนี้ไม่ได้ไปล่าสัตว์ เป็นเพียงแค่การฝึกฝนเท่านั้น”
แน่นอน หากล่าได้ ท่านแม่บอกว่าจะนำกลับมาเพิ่มอาหารมื้อพิเศษให้พวกเขาด้วย~
เอ้อร์หลางและคู่แฝดมั่นใจในความสามารถด้านการต่อสู้ของท่านแม่ของตน ดังนั้นคราวนี้พอฉินเหยาต้องออกจากบ้านเข้าป่า พวกเขาจึงไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเมื่อปีก่อน
แต่ต้าหลางที่อยู่บนเขานั้น จิตใจเริ่มจะรับไม่ไหวเสียแล้ว
วันนั้น ฉินเหยากลับมาจากตัวอำเภอ ให้อาหารม้าเสร็จแล้วบอกเขาว่า “เตรียมตัวให้ดี มะรืนนี้เราจะขึ้นเขา”
ต้าหลางตื่นเต้นจนคว้ามีดพร้าขึ้นมาผ่าฟืนในห้องเก็บฟืนเสียงดังตึงตัง จนกระทั่งความตื่นเต้นจางลง เขาก็เริ่มเตรียมการทันที
“เมื่อขึ้นเขาไปแล้ว การลงมาไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเตรียมหินจุดไฟและเครื่องครัวให้พร้อม ยังมีกระบอกไม้ไผ่ สิ่งของกันหนาวและของจำเป็นอื่นๆ สุดท้ายจึงค่อยเป็นอาวุธของเจ้า”
“ของมีมาก แต่กำลังมีจำกัด ดังนั้นจึงต้องลดแล้วลดอีก เอาไปเพียงสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น”
ฉินเหยาสอนเขาทีละขั้นตอนว่าควรเตรียมเสบียงขึ้นเขาอย่างไร หม้อนั้นต้องนำไปด้วย เพราะแหล่งน้ำบนเขาอาจไม่สะอาดเสมอไป หากต้มให้เดือดก่อนดื่มก็จะช่วยลดโอกาสท้องเสียได้มาก
อาหารสุกยังสามารถฆ่าปรสิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยให้ได้อาหารที่สะอาดและมีคุณค่าทางโภชนาการ
บนเขาความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนสูง โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้ กลางวันร้อน กลางคืนเย็น ยามเช้ามีหมอกน้ำค้าง ดังนั้นเสื้อผ้าที่สามารถคลุมได้ทั้งตัวและสวมใส่ง่ายจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเตรียมเสบียงสำหรับการอยู่รอดเรียบร้อยแล้วจึงค่อยตรวจสอบอาวุธ
ก่อนอื่นต้องเตรียนลูกธนูและลูกกระสุนให้เพียงพอ
พกมีดพร้าและกริชติดตัวไว้ อันหนึ่งใช้สำหรับเปิดทาง อีกอันหนึ่งใช้ป้องกันตัว
เชือกที่แข็งแรงก็เป็นของจำเป็นเช่นกัน ใช้สำหรับมัดเหยื่อและอาจช่วยชีวิตในช่วงเวลาสำคัญได้
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วสองแม่ลูกก็สะพายห่อสัมภาระคนละใบขึ้นเขาไปภายใต้สายตาเปี่ยมด้วยความคาดหวังของต้าหลาง
ครึ่งชั่วยามแรกของการขึ้นเขาเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นที่สุด ต้าหลางสะพายห่อสัมภาระหนักกว่าสิบจิน แล้ววิ่งนำไปตลอดทาง
บริเวณรอบนอกมีเพียงพุ่มไม้เตี้ยๆ ต้นไม้ขึ้นห่างกัน ทำให้เดินสะดวก
อีกทั้งมีชาวบ้านเข้าออกอยู่เสมอ จนเกิดเป็นเส้นทางชัดเจน เพียงแค่เดินตามทางก็พอ
เด็กที่ขึ้นเขาครั้งแรกยังไร้เดียงสา คิดว่าเส้นทางข้างหน้าคงเป็นแบบนี้ตลอด ยังไม่รู้ถึงความยากลำบากที่แท้จริง
ดังนั้น เมื่อกำแพงหนาทึบของเถาวัลย์ หญ้าป่าและกิ่งไม้นานาชนิดขวางอยู่เบื้องหน้า ปฏิกิริยาแรกของต้าหลางก็คือหันไปบอกฉินเหยาว่า
“ท่านน้า พวกเราคงเดินผิดทางแล้วกระมัง ที่นี่ไม่มีทางเดินเลย”
ฉินเหยายิ้มพลางเดินไปข้างหน้า ยกมีดพร้าขึ้นฟันเถาวัลย์และหญ้าป่าที่เติบโตจนพันแน่นในรอบปี จากนั้นก้มตัวมุดเข้าไป
“ตามข้ามา ปิดผ้าคลุมหน้าไว้ อย่าให้แมลงพิษกัดเจ้า” นางกำชับก่อนเดินลึกเข้าไปอีกสองถึงสามเมตร
ดวงตาของต้าหลางเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เขาเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะดึงผ้าคลุมหน้าที่พันคออยู่ขึ้นมาปิดใบหน้าครึ่งล่าง จากนั้นก็แหวกกิ่งไม้หักตรงหน้าแล้วเดินตามเข้าไป
ไม่รู้ว่าเดินเช่นนี้มานานเท่าใด ทัศนวิสัยพลันมืดมัวลง ต้าหลางสะดุ้งตกใจทุกครั้งเพราะเสียงร้องประหลาดที่ดังขึ้นเป็นระยะข้างหู
จู่ๆ พื้นใต้เท้าก็ลื่นไถล ทำให้ร่างเขาล้มลงอย่างฉับพลันต้องรีบยื่นมือออกไปค้ำยันพื้นไว้ จึงไม่ถึงกับล้มไปทั้งตัว
เดี๋ยวก่อน… ใต้ฝ่ามือเล็กๆ ของเขา จู่ๆ ก็รับรู้ได้ถึงสัมผัสเย็นลื่นแปลกประหลาด
ต้าหลางขนลุกซู่ไปทั้งศีรษะ “ท่านน้า!!!”
ฉินเหยาหมุนตัวกลับมาอย่างว่องไว พุ่งตัวลงมาในชั่วพริบตา มือข้างหนึ่งคว้าตัวเด็กชายขึ้นจากพื้น มืออีกข้างหนึ่งเงื้อมีดพร้าฟันออกไปดุจสายฟ้า เห็นเพียงแสงสีเงินวาบผ่านไป งูสีดำลำตัวกว้างราวสองนิ้วตัวหนึ่งถูกฟันจนขาดสองท่อน ห้อยลงมาจากกิ่งไม้เหนือศีรษะ
หางงูห้อยลงมากวาดผ่านแก้มของต้าหลางไปเบาๆ เด็กชายที่อยู่ในอ้อมแขนฉินเหยาถึงกับกลั้นหายใจ ไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกตัว
“งูนี่ช่างโชคร้ายจริง นอนหลับอยู่ดีๆ ในรังกลับถูกเจ้าใช้มือฟาดจนรังพัง”
ฉินเหยาพยายามพูดติดตลกเพื่อให้เด็กชายผ่อนคลายลง ทว่ากลับไม่ได้ผลเลย
หลังจากเหตุการณ์นี้ ทุกครั้งที่ต้าหลางต้องมุดผ่านพงหญ้า เขาจะเบิกตากว้าง คอยสังเกตพื้นและรอบด้านเสมอ ไม่มีวันเดินตามฉินเหยาอย่างไร้กังวลเหมือนก่อนอีก
งูดำได้ทิ้งเงามืดบางอย่างไว้ในใจของต้าหลางแล้ว
แม้ฉินเหยาจะย้ำกับเขาหลายครั้งว่า งูตัวนั้นไม่มีพิษ และในฤดูกาลนี้ งูจะเคลื่อนไหวเชื่องช้าและไม่ออกจากโพรงง่ายๆ
แต่ตราบใดที่เห็นวัตถุสีดำเป็นเส้นยาว ต้าหลางจะหยุดชะงักทันทีแม้จะอยู่ไกล จากนั้นจึงตรวจสอบให้แน่ใจจึงกล้าเดินต่อไป
เมื่อฉินเหยาเห็นเช่นนี้จึงเหลากิ่งไม้ยาวให้หนุ่มน้อยอันหนึ่ง “นี่เรียกว่าตีให้งูตื่น ตีลงไปก่อนให้งูตกใจหนีไปก่อนก็ไม่เป็นไรแล้ว”
ดังนั้นไม้ท่อนนี้จึงกลายเป็นยันต์ป้องชีวิตในใจของต้าหลางไป
เวลากินต้องกอดไว้ เวลาพักก็ต้องกอดไว้ ตอนกลางคืนเมื่อสองแม่ลูกนอนอยู่ในถ้ำบนเขาก็ยังต้องกอดไว้
แม้แต่เวลาจะไปห้องส้วม ก็ยิ่งต้องกอดไว้!
ฉินเหยาเห็นแล้วก็คิดว่า แบบนี้ไม่ได้การ งูตัวเล็กแค่นี้ยังทำให้เขาหวาดกลัวถึงเพียงนี้ หากเจอพวกสัตว์เลื้อยคลานไร้ขนที่ดูน่าขยะแขยงกว่านี้ หรือแมลงขนาดมหึมา แล้วจะยังล่าสัตว์ได้หรือไม่
ฉินเหยาจำไม่ได้แล้วว่า เริ่มแรกนั้นนางก้าวข้ามความกลัวที่มีต่อสัตว์เลื้อยคลานในป่าไปได้อย่างไร แต่สิ่งที่นางรู้ก็คือ ความหวาดกลัวส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากความไม่รู้
ดังนั้น นางจึงตัดสินใจหยุดพักที่จุดตั้งค่ายในถ้ำบนเขาสองวันแล้วพาหนุ่มน้อยผู้ถือไม้ไปแทงรังงูที่อยู่ใกล้ๆ แล้วค่อยๆ ผ่าดูทีละตัว อธิบายให้เขาฟังว่างูชนิดใดมีเขี้ยวพิษ งูชนิดใดชอบล่ากบและหนู
หรือบางครั้งก็ลากงูหลามขนาดเท่าแขนผู้ใหญ่ออกมา ผ่าออกเป็นแปดท่อน แล้วบอกว่าพวกมันใช้ร่างรัดเหยื่อให้ตายก่อนจะกลืนลงท้องทั้งตัว
เมื่อเห็นสีหน้าของต้าหลางค่อยๆ สงบลง ฉินเหยาก็ลอบยินดีในใจ
แต่กลับไม่รู้ว่าเด็กนั้นได้ตกใจจนสมองทึ่มทื่อไปเสียแล้ว
เมื่อเห็นว่าแม่เลี้ยงยังคิดจะพาเขาไปแทงรังงูที่ใหญ่กว่านี้อีก คืนที่สามของการขึ้นเขา ต้าหลางก็ตัดสินใจโยนไม้สำหรับตีงูทิ้งแล้วกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า
“ท่านน้า ข้าไม่กลัวแล้ว พวกเราไปต่อเถอะ”
ตอนนี้ทั่วร่างของเขา ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว นอกจากความกล้าหาญ!
MANGA DISCUSSION