ตอนที่ 127 ตัวกวน
“อาสาม อาสะใภ้สาม”
หลิวจี้เดินเข้าไปในห้องโถง เพิ่งจะวางห่อกระดาษน้ำมันลง จินเป่ากับจินฮวาก็วิ่งเข้ามาหา “อาสาม อาสะใภ้สาม”
“โอ้?” หลิวจี้เลิกคิ้ว ลูบศีรษะของทั้งสองคนแล้วเปิดห่อกระดาษออกอย่างใจกว้าง เผยให้เห็นขนมหอมฟุ้งน่ากิน “เอาไปกินเถอะ”
สองพี่น้องหยิบขนมแล้วกำลังจะวิ่งไป แต่ถูกหลิวเหล่าฮั่นตะโกนเรียกไว้ “ยังไม่ขอบคุณอาของเจ้าเลย ไร้มารยาท!”
สองพี่น้องจึงรีบวิ่งกลับมาใหม่ ค้อมกายให้หลิวจี้อย่างจริงจัง “ขอบคุณท่านอาสาม!”
หลังจากนั้นก็แอบเหลือบมองท่านปู่ปราดหนึ่ง เห็นเขาแสดงสีหน้าพอใจ จึงหยิบขนมหนึ่งชิ้นขึ้นมากินอย่างสบายใจ
วันนี้เป็นวันสารทจีน คนในเรือนเก่าทำงานที่นาแค่ครึ่งวัน ที่เหลือก็ถือโอกาสพักผ่อน
ข้าวที่เก็บเกี่ยวมาถูกกระจายบนเสื่อไม้ไผ่เพื่อผึ่งแดด ลานบ้านเต็มไปด้วยข้าวกระจายเต็มไปหมดไม่มีที่สำหรับเดินถึงขั้นต้องเหยียบข้าวเดินกันเลยทีเดียว
เด็กๆ หลายคนวิ่งเล่นกันจนเมล็ดข้าวกระเด็นกระจายไปทั่ว ทำเอานางจางโกรธจนต้องตะโกน “ออกไปเร็วๆ เลย ไปเล่นที่บ่อน้ำหมู่บ้านโน่น!”
แต่เด็กพวกนั้นกลับไม่ออกไป เพียงแค่หยุดวิ่งแล้วนั่งยองๆ ลงเล่นก้อนหินตรงธรณีประตูแทน
ฉินเหยานำข้าวใหม่หนึ่งถ้วยที่เตรียมมาวางลงบนโต๊ะเซ่นไหว้กลางลานบ้าน แล้วขอยืมธูปสามดอกจากเรือนเก่า จุดธูปให้หลิวจี้มาคำนับสามครั้ง ปักธูปแล้วเสร็จพิธี
นางชิวมองข้าวใหม่ด้วยความอิจฉา “เมล็ดข้าวสมบูรณ์ดีจริงๆ”
ท้องของนางโตขึ้นมากแล้ว ตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่าตั้งครรภ์ ครอบครัวไม่ให้ทำงานหนัก แต่ช่วงนี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยว คนก็ขาด นางจึงยืนกรานจะช่วยทำอาหารให้ทั้งครอบครัว
วันนี้เป็นวันสำคัญ ทุกคนอยากกินอาหารฝีมือนางเหอจึงเปลี่ยนคนทำ
ฉินเหยาเดินไปดูท้องของนาง ลักษณะท้องคล้ายมีลูกบาสครึ่งลูกผูกอยู่ที่เอว เนื้อทั้งหมดไปกองอยู่ที่หน้าท้อง ส่วนใบหน้ายังคงผอมอยู่
“พี่สะใภ้รอง คลอดเดือนสิบสองใช่หรือไม่” ฉินเหยาถามด้วยความอยากรู้
นางชิวพยักหน้า “คงประมาณต้นเดือนสิบสอง พอดีเป็นช่วงฤดูหนาวว่างจากงานในไร่ ฤกษ์ดีทีเดียว ไม่ทำให้งานในไร่ล่าช้า เจ้าตัวเล็กนี่รู้จักเลือกวันเกิดจริงๆ”
นางชิวลูบท้องตนเอง อาจจะเพราะรู้สึกเขินอายจึงเงียบไปครู่หนึ่ง พอฉินเหยารู้สึกว่าไม่มีเรื่องจะคุยและกำลังจะเดินไปดูในครัวว่าวันนี้ทำอาหารอะไร นางก็เอ่ยขึ้นมาทันที
“น้องสะใภ้ เจ้ากับช่างไม้หลิวจะสร้างโรงงานทำกังหันน้ำ ต้องจ้างคนไม่น้อยเลยใช่หรือไม่”
ฉินเหยาพยักหน้า “พวกทำหินโม่ ทำงานไม้ก็คงประมาณสิบกว่าคน”
นางเดาได้ทันทีว่านางชิวจะพูดอะไรต่อ
แล้วก็เป็นไปตามคาด นางอยากแนะนำคนสองคนให้ คนหนึ่งเป็นบุตรชายของท่านอาส่วนอีกคนเป็นบุตรชายของน้าสาว ทั้งคู่เป็นหนุ่มน้อยวัยสิบห้าสิบหกปี บ้านยากจน ยังไม่ได้แต่งงาน อยากหางานทำเพื่อหาเงินมาแต่งภรรยา
ฉินเหยาเหลือบมองไปทางห้องครัวแวบหนึ่ง เห็นนางเหอแอบเงี่ยหูฟัง ถ้าไม่ผิดจากที่คาด นางเหอเองก็คงเตรียมเสนอคนของตนเหมือนกัน
เรื่องนี้ฉินเหยาได้ให้คำมั่นกับผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลไว้แล้ว ว่าจะให้สิทธิ์ชาวบ้านตระกูลหลิวก่อน ดังนั้นตำแหน่งงานจึงไม่มีทางตกไปถึงคนนอกหมู่บ้าน
แค่ในหมู่บ้านตระกูลหลิวยังแย่งกันไม่พอเลย…
สายตาคมกริบของนางจางกวาดมองมาหลายครั้ง บวกกับฉินเหยาพูดชัดเจนแล้ว นางชิวจึงไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อและเดินเข้าไปช่วยงานในครัว
หลิวจ้งลุกขึ้นจะเดินไปช่วย แต่ถูกนางชิวที่หน้าแดงดันตัวออกมา
ในขณะที่หลิวจ้งกำลังจะกลับไปนั่งพักที่ห้องโถง หลิวจี้ก็ปากไวพูดขึ้น “พี่รอง นางแสดงท่าทางเกรงใจแต่พี่รองกลับเกรงใจจริงๆ หรือ ไม่มีตาดูบ้างหรือไร พี่สะใภ้รองท้องโย้ขนาดนั้น ท่านยังมีหน้าปล่อยให้ทำงานอีก”
“เจ้ามีสิทธิ์พูดด้วยหรือ” หลิวจ้งที่พูดไม่ค่อยเป็น โต้กลับไปแบบเงอะงะ
แต่สำหรับหลิวจี้ คำพูดนี้ไร้พิษสงโดยสิ้นเชิง
หลิวจี้จุ๊ปากสองที “ยังจะยืนทื่อทำไมอีก รีบเข้าไปช่วยสิ! ไม่เห็นหรือว่าพี่สะใภ้รองถือถ้วยน้ำแกงอยู่น่ะ”
หลิวจ้งถลึงตาใส่เขาด้วยความหงุดหงิด คิดว่าหลิวจี้นี่น่ารำคาญจริงๆ ทำให้เขายืนทำตัวไม่ถูกอยู่ตรงนี้
หลิวจี้กำลังจะเปิดปากยุแหย่อีก แต่พอฉินเหยาส่งสายตาเย็นเยียบมา เขาก็หุบปากลงอย่างไม่พอใจ
ใบหน้าดำคล้ำของหลิวจ้งร้อนผ่าวจนแทบจะระเบิด แต่เขากลับดื้อรั้นจะแข่งกับหลิวจี้ ไม่ยอมไปช่วยงาน เขานั่งลงบนม้านั่งแล้วพูดแทงใจดำหลิวจี้ว่า
“คิดว่าทุกคนไร้ความสามารถเหมือนเจ้าหรือไร เจ้ามองดูสิว่ามีบุรุษบ้านไหนเข้าไปช่วยในครัวเหมือนเจ้าบ้าง”
หลิวจี้แค่นเสียงอย่างไม่ใส่ใจ มองฉินเหยาแล้วยักคิ้วด้วยสีหน้าภาคภูมิ
“ที่ข้าทำไปก็เพราะห่วงใยเมียจ๋าของข้า ไม่เหมือนท่อนไม้อย่างท่าน คนเขาถือน้ำแกงมาแล้วแท้ๆ ยังไม่รู้จักช่วยรับอีก ยังจะมาวางท่าเป็นชายชาตรีอะไรที่นี่!”
เมื่อเห็นว่านางชิวหน้าแดงซ่านจนเลือดแทบจะหยดลงมาได้ ฉินเหยาจึงตวาดเสียงหนึ่ง “หลิวจี้ ถ้าไม่พูดจะตายใช่ไหม”
เพราะอาศัยว่าคนในบ้านเยอะ หลิวจี้ไม่ได้แสดงท่าทีหวั่นกลัวเหมือนแต่ก่อนกลับพึมพำว่า “ข้าแค่ทนดูบุรุษบางคนวางท่าไม่ได้ก็แค่นั้น…”
“อ้อ แค่ถามเมียจ๋าว่าจะให้ช่วยหรือไม่แล้วพอนางบอกว่าไม่ต้องก็ถอยออกมาจริงๆ ใครๆ ก็เสแสร้งแบบนี้ได้ทั้งนั้นแหละ~”
ฉินเหยาถึงกับอยากฟันลิ้นเขาให้ขาดเสียเดี๋ยวนี้เลย
แต่ว่าคำพูดของเขากลับฟังดูสมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย?
นางชิววางถ้วยน้ำแกงลงแล้วอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองสามีของตนด้วยความฉงน หรือว่าเมื่อครู่นี้เขาแค่เสแสร้งทำเป็นมีน้ำใจ?
หลิวจ้งสะดุ้งโหยง ก่อนหน้านี้เพราะอยู่ต่อหน้าคนในบ้าน เขารู้สึกอายเกินกว่าจะยืนกราน แต่ตอนนี้พอรู้ตัวว่าเมียตนเองกำลังจะถูกหลิวจี้เจ้าตัวก่อกวนยุแหย่สำเร็จ เขาจึงรีบลุกขึ้น กดให้นางนั่งลงโดยไม่สนใจว่านางจะเต็มใจหรือไม่แล้วพับแขนเสื้อ เดินเข้าไปในครัว ยกอาหารที่เหลือทั้งหมดออกมา
พอเห็นสีหน้ามีความสุขของนางชิว หลิวจี้ก็รู้สึกหมดสนุกลอบแค่นเสียงเบาๆ
แต่แล้วก็โดนเตะเข้าที่น่องทันที เจ็บจนเกือบร้องโหยหวนออกมา
“เจ้ามันตัวก่อกวนแท้ๆ” ฉินเหยากัดฟัน พูดเสียงต่ำอยู่ด้านหลังเขา
หลิวจี้รับรู้ถึงไอสังหารเย็นเฉียบของนาง ในที่สุดจึงยอมสงบปากสงบคำ
เขาก็แค่หวังจะสอนให้พี่น้องในบ้านรู้จักเป็นสามีที่เอาใจใส่บ้าง กลับกลายเป็นว่าความหวังดีของเขาถูกมองเป็นเรื่องไร้ค่าเสียอย่างนั้น
ไหนๆ ก็เป็นวันสารทจีนและเพิ่งผ่านฤดูเก็บเกี่ยวมา นางเหอจึงหุงข้าวขาวอย่างเต็มที่ พร้อมทำอาหารสามอย่างกับน้ำแกงอีกหนึ่งอย่าง ทั้งหมดทำเยอะเป็นพิเศษ เพียงพอให้ทั้งครอบครัวกินกันอิ่ม
แต่ในอาหารไม่มีเนื้อสัตว์เลย มีเพียงไข่ที่ลอยอยู่ในน้ำแกงที่พอจะนับเป็นอาหารจากสัตว์ได้ ซึ่งเทียบกับบ้านฉินเหยาที่ผัดหมูกินเป็นประจำทุกสามวันห้าวันแล้ว ถือว่าห่างกันลิบลับ
แต่ฝีมือทำอาหารของนางเหอจัดว่าโดดเด่น ทุกคนต่างกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
ฉินเหยาควบคุมตนเองให้กินข้าวเพียงสามชามก่อนจะวางตะเกียบลง
แต่สิทธิพิเศษนี้ยังถือว่าสูงกว่าหลิวเหล่าฮั่นและคนอื่นๆ อยู่บ้าง เพราะสตรีได้แค่หนึ่งชาม ส่วนบุรุษที่ออกไปทำนาได้สองชาม เด็กๆ ก็ได้คนละหนึ่งชาม มีเพียงฉินเหยาคนเดียวที่ได้ถึงสามชาม
หลิวจี้อยากจะไปตักข้าวเพิ่มชามที่สามบ้าง แต่ถูกหลิวเหล่าฮั่นถลึงตาใส่
แต่เขาไม่สนใจ สิ่งสำคัญคืออิ่มท้อง ช่วงนี้ทำงานหนักเสียพลังไปมาก หากไม่กินเพิ่มจะฟื้นตัวกลับมาท่องตำราได้อย่างไร
เมินสายตาเชือดเฉือนที่ส่งมาจากด้านหลัง เขาตักข้าวให้ตัวเองอีกชามจนพูน แล้วใช้ทัพพีกดข้าวให้แน่นๆ
MANGA DISCUSSION