ตอนที่ 122 น้ำหยางเหมย
แต่พอคิดถึงคำสั่งซื้อห้าสิบชุดที่ต้องทำต่อไป รอยยิ้มของช่างไม้หลิวก็ค่อยๆ แข็งค้าง
เขาค้ำกรอบประตูพยุงร่างขึ้นแล้วคารวะอย่างจริงใจ “ฉินเหนียงจื่อ เจ้ามีฝีมือและมองการณ์ไกล ต่อจากนี้เจ้าว่าอย่างไรก็เอาตามนั้น ข้าจะให้ความร่วมมือเต็มที่ ไม่มีข้อโต้แย้ง”
ฉินเหยาตบไหล่เขา “ข้ารอให้ท่านพูดประโยคนี้อยู่พอดี พวกเราเข้าไปคุยกันในบ้านเถอะ เวลากระชั้น วันนี้เราต้องวางแผนงานให้เสร็จ”
บ้านที่เริ่มเก็บเกี่ยวเร็วตอนนี้ก็เริ่มขนเครื่องมือไปที่นากันแล้ว พรุ่งนี้ก็จะเริ่มเกี่ยวข้าว
ส่วนบ้านของนางเริ่มช้ากว่าสองวัน วันที่สิบสองเดือนเจ็ดจึงจะเริ่ม
วันนี้วันที่เก้า นางยังมีเวลาสองวันให้จัดการ พอกลุ่มคนส่วนใหญ่เก็บเกี่ยวกันเสร็จนางก็จะเริ่มจ้างคน ซื้อวัสดุ และเริ่มงานทันที!
ฉินเหยากับช่างไม้หลิวพูดคุยกันอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน ทั้งสองสำรวจบ้านที่มีไม้ในหมู่บ้านทั้งหมด
ช่างไม้หลิวรู้ข้อมูลเหล่านี้ดี ทั้งไม้ที่มีอยู่แล้วและไม้ที่ยังอยู่ในป่า เขาล้วนรู้ดี
จากนั้นก็คำนวณวัสดุที่ต้องใช้สำหรับกังหันน้ำห้าสิบชุดแล้วคิดตัวเลขรวม พบว่าเพียงแค่ไม้จากหมู่บ้านตระกูลหลิวก็เพียงพอแล้ว
ฉินเหยากับช่างไม้หลิวจึงแบ่งงานกันอย่างรวดเร็ว
หน้าที่ของนางมีเพียงสองอย่าง
หนึ่ง สร้างโรงงานผลิต
สอง จ้างคนงานและเตรียมหินโม่
ส่วนช่างไม้หลิวจะไปจองไม้และคิดจำนวนรวมทั้งหมด พอฤดูเก็บเกี่ยวจบจะเริ่มงานได้ทันที
ส่วนเรื่องหินนั้นฉินเหยาไม่กังวลเลย เพราะภูเขาหินลูกใหญ่ตั้งอยู่ตรงนั้น หินไม่มีทางขาดแน่นอน
แต่หากต้องใช้หินนอกเขตหมู่บ้านตระกูลหลิว อาจต้องไปเจรจากับหมู่บ้านอื่น
สำหรับหินที่ใช้ทำกังหันน้ำจิ๋วห้าสิบชุดนั้น หินภายในหมู่บ้านตระกูลหลิวนั้นเพียงพออยู่แล้ว
ทั้งสองร่วมมือกัน รับผิดชอบหน้าที่สำคัญคนละส่วน ฉินเหยารับผิดชอบการวางแผนโดยรวม ส่วนช่างไม้หลิวเป็นฝ่ายสนับสนุน เพียงช่วงบ่ายก็ได้สรุปขั้นตอนดำเนินการทั้งหมดเรียบร้อย
เมื่อมีแผนที่ชัดเจน รู้ว่าต้องทำอะไร ช่างไม้หลิวที่กังวลมาตลอดก็โล่งใจไปกว่าครึ่ง
ช่วงเย็นแยกย้ายกันกลับไปกินข้าว พอกินเสร็จ ช่างไม้หลิวก็ถือกระดาษกับพู่กันไปตามบ้านเรือนเพื่อจองไม้
หากบ้านไหนมีไม้ที่เตรียมไว้แล้วก็ให้ขนไปวางไว้ที่ลานบ้านของเขาทันที
ฉินเหยากำชับเด็กๆ สักสองสามคำก่อนออกไปลำพังเพื่อพบกับผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูล หารือเกี่ยวกับสถานที่สร้างโรงงานผลิต
เมื่อรู้ว่ากังหันน้ำของนางได้รับคำสั่งซื้อถึงห้าสิบชุด ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลต่างตกตะลึง
แต่พอนึกถึงคำพูดของฉินเหยาก่อนหน้านี้ที่บอกว่าจะใช้เศรษฐกิจเป็นแรงขับเคลื่อนให้ทั้งหมู่บ้านหลุดพ้นจากความยากจนและก้าวสู่ความมั่งคั่ง ทั้งสองก็ดีใจและบอกว่านางจะเลือกที่ดินตรงไหนก็ได้ ตราบใดที่ไม่รบกวนชาวบ้าน พวกเขาจะช่วยนางจัดการให้
แต่เมื่อเป็นโรงงานผลิต สถานการณ์ย่อมไม่เหมือนเดิม
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “เกรงว่าคงต้องไปสอบถามหลี่เจิ้งดูก่อน ไม่รู้ว่าในกรณีของพวกเรา ต้องแจ้งต่อทางการหรือไม่”
เมื่อสร้างเป็นโรงงานผลิตก็ถือเป็นการค้าที่จริงจังต้องเสียภาษีการค้า
หากไม่ได้แจ้งทางการ พอถึงเวลาทางการมาเก็บภาษีข้าวแล้วพบเข้าอาจเป็นปัญหาขึ้นมาได้
หากเจอขุนนางที่เรื่องมากอาจโดนตั้งข้อหาและถูกเล่นงานได้
หากผู้ใหญ่บ้านไม่เตือน ฉินเหยาก็ไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้เลย
“ขอบคุณผู้ใหญ่บ้านที่เตือน ข้าจะไปสอบถามที่อำเภอดู”
พอดีกับหลิวจี้กำลังจะกลับบ้าน นางจะได้แวะไปรับเขากลับมาด้วยเลย
แน่นอน เหตุผลหลักคือบัณฑิตที่สำนักศึกษามีมากมาย นางสามารถสอบถามข้อมูลจากพวกเขาก่อนได้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ฉินเหยาก็ไม่กล้าล่าช้าแม้แต่นิดเดียว กลัวว่าจะทำให้การสร้างโรงงานผลิตล่าช้าไป
แต่ว่าโรงงานของนางขนาดเพียงสองร้อยตารางเมตร ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำได้นานแค่ไหน หากทางการจะมาเก็บภาษีก็คงโหดเกินไปหน่อย
หลังจากนอนหลับสนิทตลอดคืน เช้าวันต่อมา เสียง ตึง ตึง ตึง จากการนวดข้าวก็ดังมาจากเชิงเขา
บ้านที่ข้าวสุกเร็วบางหลังเริ่มต้นฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว
ที่ดินของหลิวเหล่าฮั่นมีหลายสิบหมู่ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลรับแสงอาทิตย์ ข้าวก็สุกแล้วเช่นกัน เมื่อวานตอนที่ฉินเหยากลับบ้าน นางแวะไปเรือนเก่าเพื่อปรึกษาหลิวไป่สามพี่น้องเกี่ยวกับการจ้างแรงงาน
พอทุกคนรู้ว่าฉินเหยาจะสร้างโรงงานผลิตก็ไม่กล้าล่าช้าแม้แต่นาทีเดียว รีบเร่งเก็บเกี่ยวก่อนกำหนด เพื่อไม่ให้พลาดการรับสมัครงานรอบแรกของฉินเหยา
ดังนั้นเช้านี้ทันทีที่แสงอรุณแรกเริ่มปรากฏ ทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็ลุกขึ้นมาช่วยกัน ถือกระบอกไม้สี่เหลี่ยมแบ่งเป็นสองกลุ่ม ลงนาเริ่มเกี่ยวข้าว
ตอนเช้ายังมีน้ำค้างอยู่ ข้าวที่เกี่ยวมาแล้วจึงต้องเกลี่ยให้แห้งในนา พอพระอาทิตย์เริ่มขึ้นสูงก็เริ่มนวดข้าวได้
ในครัว ต้าหลาง เอ้อร์หลาง และซานหลาง พี่น้องสามคนตัวเล็กแต่ขยันขันแข็งราวกับผู้ใหญ่
ซื่อเหนียงเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า วิ่งไปสวนผักจับแมลงมาให้ไก่กิน
ลูกเจี๊ยบสี่ตัวที่ท่านยายหวังและหลานให้มา ภายใต้การดูแลอย่างดีของพี่น้องทั้งสี่ตอนนี้เริ่มโตขึ้นหนักกว่าสองจินแล้ว
เป็นแม่ไก่หนึ่งตัวและไก่ตัวผู้สามตัว ซื่อเหนียงคอยเฝ้ารอทุกวันให้แม่ไก่ออกไข่ นางกับพี่ชายช่วยกันทำรังไข่จากฟางล่วงหน้าไว้แล้ว พร้อมนำไปใส่ในเล้าไก่ทันที
ฉินเหยารู้สึกว่าเด็กทั้งสี่ในบ้านเป็นตัวช่วยที่ดีมากทำให้เจ้าหลิวสามดูเหมือนตัวประหลาดที่มีพันธุกรรมกลายพันธุ์ไปเลย
พอรู้ว่าฉินเหยาจะเข้าเมือง เอ้อร์หลางก็รีบเอาน้ำหยางเหมยที่พวกเขาต้มกับน้ำตาลกรวดเมื่อคืนใส่กระบอกไม้ไผ่ให้นางพกไปดื่มระหว่างทาง
น้ำรสเปรี้ยวหวาน สดชื่นแก้กระหายได้ดี
เมื่อวานฉินเหยายุ่งจนแทบไม่ได้หยุดพักจึงไม่ได้ลิ้มรสผลลัพธ์จากความพยายามของเด็กๆ ที่ใช้เวลาทำอยู่ครึ่งค่อนวัน
ตอนนี้นางเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว กำลังรอให้ต้าหลางทำอาหารเช้าเสร็จ พอมีเวลาว่างจึงให้เอ้อร์หลางรินน้ำหยางเหมยให้ครึ่งชามเพื่อลองชิม
ฉินเหยาไม่ได้คาดหวังอะไรนัก กระทั่งเตรียมใจจะหลับหูหลับตาชมแล้วด้วยซ้ำ
คิดไม่ถึงเลยว่า พอจิบเข้าไปหนึ่งคำ น้ำหยางเหมยสีแดงเข้มกลับมีรสเปรี้ยวหวานกำลังดี ถ้าน้อยกว่านี้จะเปรี้ยวไป ถ้ามากกว่านี้ก็จะหวานเกิน
“เป็นอย่างไรบ้าง” เอ้อร์หลางถามด้วยความคาดหวัง
ต้าหลางที่กำลังใช้กระทะเหล็กทอดแผ่นแป้งและซานหลางที่กำลังเติมฟืนต่างมองมาด้วยความลุ้นระทึก
ฉินเหยาจิบอีกคำ ลิ้มรสอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยกนิ้วโป้งขึ้น “อร่อยมาก!”
หากมีน้ำแข็งด้วยละก็ คงสดชื่นจนขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว!
พอสามพี่น้องได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็พากันยิ้มออกมา
เอ้อร์หลางพูดด้วยความตื่นเต้น “เช่นนั้นพวกข้าจะไปเก็บหยางเหมยป่าเพิ่ม ทำเยอะๆ จะได้กินทุกวัน!”
หยางเหมยป่านั้นมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่เปรี้ยวมาก คนที่ฟันแข็งแรงหน่อยอย่างพวกเด็กหนุ่มสาวพอทนไหว
แต่หากเติมน้ำตาลกรวดแล้ว แม้จะเอาไปแช่น้ำอย่างเดียวก็อร่อยมาก
เพียงแต่น้ำตาลแพง คนส่วนใหญ่จึงไม่กล้าใช้ หยางเหมยสุกร่วงเต็มภูเขาก็แทบไม่มีใครเก็บ เอ้อร์หลางคิดแล้วก็เสียดาย
“หากทำเยอะขนาดนั้น ไม่มีน้ำแข็งให้เก็บ สองวันก็เสียแล้ว พวกเจ้าจะกินหมดเร็วขนาดนั้นเลยหรือ” ฉินเหยาพูดไปก็หยิบลูกหยางเหมยเข้าปากเคี้ยวไป พร้อมเตือนเอ้อร์หลางให้คิดถึงความเป็นจริง
“เมื่อวานพวกเจ้าต้มหยางเหมยที่ช่างไม้หลิวเอามาทั้งหมด ตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ขนาดนั้น ตอนนี้บ้านเรามีน้ำหยางเหมยสองไหใหญ่แล้ว หากคืนนี้กินไม่หมด พรุ่งนี้จะเริ่มมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวแล้วนะ”
เอ้อร์หลางกลอกตาไปมา “เช่นนั้นข้าเอาไปขายได้หรือไม่”
“ได้สิ แต่หากขายไม่ได้ อย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งเล่า” ฉินเหยาสนับสนุนให้ลองทำดู แต่ก็เตือนให้พวกเด็กๆ เผื่อใจไว้ก่อน
แน่นอนว่าหากขายแบบขาดทุนเลหลัง ก็ถือเสียว่านางไม่ได้พูดแล้วกัน
เอ้อร์หลางไม่มีทางยอมขายขาดทุนแน่ ต้าหลางลอบคิดในใจ
แต่หากขายตามที่เอ้อร์หลางว่าไว้ ถ้วยละสองเหวิน เกรงว่าจะมีคนน้อยมากที่ยอมจ่าย
ช่างเถอะ หากขายไม่ได้ก็เอาไปให้จินเป่ากับจินฮวาดื่มแทนก็แล้วกัน!
พอเห็นเด็กๆ มีทัศนคติดี ฉินเหยาก็ไม่พูดอะไรเพิ่ม นางยกน้ำหยางเหมยขึ้นดื่มหมดรวดเดียว ก่อนจะเรอออกมาอย่างพึงพอใจ
พอดีที่ต้าหลางทำน้ำแกงผักกับแป้งทอดเสร็จแล้ว แม่ลูกทั้งห้าคนกินข้าวเช้าพร้อมกัน จากนั้นต่างก็แยกย้ายไปทำงานของตน
ฉินเหยาออกจากบ้านก่อนมุ่งหน้าไปทางแม่น้ำ ระหว่างทางมองเห็นชาวนาในทุ่งที่กำลังทำงานหนักท่ามกลางแดดร้อนจัด ต้องดื่มน้ำเป็นถ้วยๆ คลายร้อน นางจึงคิดว่าบางทีน้ำหยางเหมยของเอ้อร์หลางอาจขายออกได้สองสามถ้วยก็เป็นได้
MANGA DISCUSSION