ตอนที่ 117 เหล่าหวง
การขี่ม้านั้นรวดเร็วจริงๆ จากตัวอำเภอถึงหมู่บ้านตระกูลหลิวใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น
นี่ขนาดฉินเหยาขี่ม้าวิ่งเหยาะๆ มาอย่างไม่รีบร้อน หากควบสุดกำลังแค่ชั่วโมงครึ่งก็คงถึง
ตอนที่เข้าหมู่บ้านก็น่าจะประมาณสี่โมงเย็น
แค่หายไปสองสามวัน นาข้าวก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้ว ดูจากลักษณะ อีกสัปดาห์หนึ่งก็คงถึงช่วงเก็บเกี่ยว
ก่อนหน้านี้ ท้องนาเขียวชอุ่มไปทั่วผืน ข้าวในที่ดินสิบหมู่ของฉินเหยาไม่ได้ดูโดดเด่นอะไร แต่ตอนนี้พอมองดูอีกที แปลงนาริมแม่น้ำเหมือนกัน ข้าวในที่นางปลูกกลับออกผลผลิตเต็มรวง หนักอึ้งจนต้นโน้มลง ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
ตอนที่หลิวเหล่าฮั่นเดินผ่านแม่น้ำก็ไม่รู้ว่าเสียดายไปกี่ครั้งแล้ว หากตอนนั้นเขายอมใช้วิธีปักดำปลูกข้าวในพื้นที่สามสิบหมู่ที่อยู่ใกล้แม่น้ำเหมือนฉินเหยา ปีนี้ผลผลิตคงน่าพอใจมากทีเดียว
เสียดายที่กาลเวลาไม่อาจย้อนกลับ ต่อให้เสียใจไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ได้แต่ปลอบตนเองว่ายังมีโอกาส ปีหน้าค่อยปลูกด้วยวิธีนี้บนที่ผืนดีที่สุด
ฉินเหยาขี่ม้าอย่างไม่รีบร้อนผ่านหมู่บ้านมาถึงริมแม่น้ำ ตลอดทางชาวบ้านต่างพากันเบิกตากว้าง ไม่รู้ว่านางไปร่ำรวยที่ไหนมา ถึงได้ขี่ม้ากลับมาได้
ในหมู่บ้านยังไม่มีใครขี่ม้าเลย มีเพียงบ้านหลิวต้าฝูที่มีม้าอยู่หนึ่งตัว แต่นั่นเป็นม้าแคระสำหรับลากของ ไม่เหมือนตัวที่ฉินเหยาขี่มาซึ่งเป็นม้าสำหรับให้คนขี่โดยเฉพาะ
ม้าของนางสูงจนเกือบเท่าบุรุษวัยผู้ใหญ่คนหนึ่ง ยามนั่งอยู่ด้านบนช่างดูสง่างามเป็นพิเศษ คนในหมู่บ้านยังต้องเงยหน้าเพื่อมองนาง
“ท่านแม่!”
เสียงร้องเรียกของเด็กหญิงตัวน้อยดังมาด้วยความตื่นเต้น
ฉินเหยาขี่ม้าข้ามสะพานมาถึงหน้าโรงโม่ ต้าหลางและซื่อเหนียงที่กำลังเฝ้ากล่องเงินอยู่รีบวิ่งเข้ามาต้อนรับในทันที
“ม้าหรือ” ต้าหลางร้องเบาๆ ด้วยความดีใจ มือหนึ่งยื่นออกไปแล้วดึงเขาขึ้นม้าในพริบตา
ซื่อเหนียงมองอย่างตื่นตาตื่นใจ ลองยกมือวัดความสูงของตัวเองกับม้า ตัวนางเตี้ยกว่าท้องม้าเสียอีก
“ยื่นมือมา” ฉินเหยายิ้มเอ่ย
ซื่อเหนียงไม่กลัวเลย นางยกมือขึ้นสูงทั้งสองข้างแล้วถูกท่านแม่อุ้มขึ้นไปนั่งบนหลังม้า วางนางไว้ตรงหน้าพี่ชาย
“ท่านแม่ นี่เป็นม้าของพวกเราหรือ” ซื่อเหนียงหันมาถามอย่างตื่นเต้น
ต้าหลางอึ้งไปแล้ว เอาแต่จ้องลูกกลมด้ายห้าสีที่ห้อยอยู่ตรงคอม้า มือเล็กๆ จับอานม้าไว้แน่นพลางกอดน้องสาวที่กำลังตื่นเต้นขยับยุกยิกไปมาไว้ในอ้อมแขน
ฉินเหยาตอบรับเสียงหนึ่ง ก่อนอุทานเบาๆ ม้าก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนเนินเขา มุ่งหน้าสู่บ้านบนเนินเขา
เอ้อร์หลางกับซานหลางได้ยินเสียงดังจากข้างนอกจึงรีบวิ่งออกไปดู พอเห็นท่านแม่ขี่ม้ากลับมาพร้อมกับพี่ชายและน้องสาว ทั้งสองก็ถึงกับอ้าปากค้าง
เจ้าม้าแก่พอได้วิ่งก็ดูเหมือนจะติดลม แต่ก็ถูกฉินเหยาดึงบังเหียนเอาไว้รั้งให้มันหยุดอย่างแรง
กีบเท้าม้าสูงใหญ่ยกขึ้นเหนือศีรษะพวกเขาแล้วลดระดับลงมา เอ้อร์หลางและซานหลางยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ชั่วขณะหนึ่งก็ยังตั้งสติไม่ได้
ฉินเหยาพลิกกายลงจากหลังม้า อุ้มเด็กสองคนลงมาแล้วสั่งให้ทั้งสี่คนยืนเรียงหน้ากระดาน ก่อนจะประกาศแนะนำสมาชิกใหม่ของครอบครัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าม้าแก่จะเป็นหนึ่งในสมาชิกของบ้านเรา พวกเจ้าต้องดูแลมันดีๆ นะ เวลาไปเรียนหรือเดินทางไปไหนก็ต้องพึ่งพามันแล้ว”
ต้าหลางถาม “เจ้าม้าแก่เป็นชื่อมันหรือ”
ฉินเหยาส่ายหัว “ก็ไม่ใช่หรอก”
เอ้อร์หลางรีบเสนอขึ้นทันที “เช่นนั้นพวกเราตั้งชื่อให้มันเถอะ เรียกมันว่าเหล่าหวงดีหรือไม่”
ฉินเหยายักไหล่ ไม่ขัดข้อง
ดังนั้นพี่น้องทั้งสี่จึงตกลงกันเป็นเอกฉันท์โดยไม่คิดถามเจ้าม้าเลยว่ามันเห็นด้วยหรือไม่ ตัดสินใจว่าต่อไปนี้มันจะชื่อเหล่าหวง
ซานหลางมองเหล่าหวงด้วยดวงตากลมโตเป็นประกาย รีบเสนอตัว “ท่านแม่ ข้าจับแมลงให้ไก่กินทุกเช้า เช่นนั้นข้าพาเหล่าหวงไปกินหญ้าด้วยดีหรือไม่”
“ตอนนี้ยังไม่ได้” ฉินเหยาพูดอย่างจริงจัง “ตอนนี้มันยังไม่คุ้นเคยกับพวกเรา พวกเจ้าอย่าเพิ่งเข้าใกล้มันส่งเดช มันอาจจะเตะเอาได้”
เด็กทั้งสี่ศีรษะห้อยตกลงเอ่ย “ก็ได้…”
แต่ความตื่นเต้นของพวกเขาที่มีต่อเหล่าหวงยังคงไม่ลดลง พวกเขาเริ่มคิดกันแล้วว่าจะสร้างคอกให้เหล่าหวงอย่างไรดี ให้มันมีที่นอนเป็นของตัวเอง
บ้านนี้ไม่มีโรงม้า อีกทั้งฉินเหยาเองก็ไม่ได้คิดจะเลี้ยงหมูจึงไม่ได้สร้างคอกหมูเอาไว้ สุดท้ายเลยต้องพาเหล่าหวงไปไว้ที่พื้นที่รกร้างหลังบ้าน ผูกมันไว้ใกล้กับห้องส้วม ปล่อยให้มันเล็มหญ้ากินฟื้นกำลังไปก่อน
นางจะรีบสร้างโรงม้าให้มันโดยเร็ว ฉินเหยาตบหัวเหล่าหวงเบาๆ “เป็นเด็กดีนะ”
จากนั้นนางก็ปลดสัมภาระจากหลังม้า หอบของเต็มไม้เต็มมือแล้วเดินเข้าบ้าน
เด็กทั้งสี่วิ่งตามหลังนางมาด้วยสีหน้าร่าเริง มีความสุขยิ่งกว่าตอนตรุษจีนเสียอีก
นอกจากต้าหลางที่ยังรู้จักห่วงถามถึงท่านพ่อว่าลงทะเบียนเข้าเรียนที่สำนักศึกษาเรียบร้อยดีไหม เด็กๆ ที่เหลือสามคนในสายตาล้วนมีแต่ห่อกระดาษน้ำมันในมือฉินเหยาเท่านั้น
กระดาษน้ำมันบางๆ แผ่นหนึ่งไม่อาจกักกลิ่นหอมของอาหารเลิศรสเอาไว้ได้ ซื่อเหนียงแทบจะเอาหน้าแนบไปกับห่อแล้วแทะอาหารไปพร้อมกับกระดาษ
“ตะกละจริงๆ พวกเจ้าไม่ได้กินอิ่มมาหลายวันหรือไร” ฉินเหยาเอ่ยหยอกล้อ
พวกเด็กๆ รู้ว่านางแค่ล้อเล่น พวกต้าหลางสี่คนจึงส่ายหน้าพลางหัวเราะแห้งๆ ให้นางอย่างเขินอาย
ฉินเหยาวางของลงกลางห้องโถง “อย่าเพิ่งแตะนะ รอข้ากลับมาก่อน”
พี่น้องทั้งสี่พยักหน้าพร้อมเพรียง “อื้ม อื้ม!”
นางกลับไปที่ห้อง วางอาวุธลงแล้วเปลี่ยนเป็นชุดผ้าปอสะอาดบางเบา ก่อนจะโยนเสื้อผ้าเปื้อนเลือดแห้งกรังลงไปในรางซักหิน
ต้าหลางเป็นเด็กช่างสังเกต เขาตักน้ำสะอาดใส่กะละมังมาให้นางได้ล้างหน้า
ที่บ้านมีโอ่งน้ำสองใบ ก่อนออกจากบ้านฉินเหยาเติมน้ำจนเต็ม เด็กๆ ใช้แค่ในชีวิตประจำวัน ตอนนี้ยังเหลืออยู่เยอะ
เมื่อล้างมือ ล้างหน้า และเช็ดเหงื่อบริเวณหน้าอกกับต้นคอจนหมดแล้ว กลิ่นคาวเลือดที่เคยเข้มข้นก็จางหายไปจนหมด
ฉินเหยาสูดอากาศบริสุทธิ์ของชนบทเข้าเต็มปอด หนึ่งวันหนึ่งคืนที่ไม่ได้นอน เมื่อได้ผ่อนคลายลงก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยขึ้นมา
นางตบหน้าตนเองเบาๆ ให้ตื่นตัวขึ้นอีกหน่อยแล้วเดินเข้าไปในห้องโถงภายใต้สายตารอคอยของเด็กๆ นั่งลงแล้วเปิดห่อกระดาษน้ำมันออก
ข้างในมีไก่ย่างตัวโตหนึ่งตัว ขาหมูพะโล้ห้าชิ้นและซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานหนึ่งชาม ทั้งหมดเพิ่งทำเสร็จเมื่อชั่วยามครึ่งที่แล้ว ยังอุ่นอยู่ กลิ่นหอมโชยมาแตะจมูก ซานหลางถึงกับน้ำลายสอ
ฉินเหยายิ้มแล้วโบกมือให้ต้าหลางกับเอ้อร์หลาง “ไปหยิบถ้วยมา”
สองพี่น้องพุ่งตัวออกไปแล้วรีบวิ่งกลับมาพร้อมกับถ้วยในมือ
ฉินเหยาแบ่งอาหารทั้งสามอย่างลงในถ้วยกระเบื้องใบใหญ่ ยิ่งขับเน้นให้อาหารดูยั่วยวนมากขึ้นไปอีก
นางมองพี่น้องสี่คนที่แทบจะอดใจรอไม่ไหว แต่ก็พยายามอดกลั้นด้วยความขบขันแล้วพยักหน้า “กินได้แล้ว”
พวกเขาไม่ได้กระโจนเข้าใส่อาหารเหมือนหมาป่าหิวโซ ต้าหลางบอกน้องๆ ให้นั่งให้เรียบร้อย ก่อนจะคีบซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานแจกใส่ถ้วยคนละชิ้น เอ้อร์หลาง ซานหลาง และซื่อเหนียงถึงได้เริ่มลิ้มรสอาหารเลิศรสอย่างมีความสุข
“ท่านแม่ มันหวานนิดๆ ด้วย!” ซื่อเหนียงร้องอย่างตื่นเต้น
ฉินเหยาคีบซี่โครงขึ้นมาแทะบ้างแล้วอธิบายว่า “นี่เรียกว่าซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน รสเปรี้ยวๆ หวานๆ กินแล้วเจริญอาหารใช่ไหมล่ะ”
“อื้ม อื้ม!” ซื่อเหนียงดีใจ “ข้ากับพี่สามชอบกินมากเลย!”
“ถ้าชอบก็กินเยอะๆ เลย” ฉินเหยาหยิกแก้มนุ่มๆ ของสองพี่น้องแล้วมองใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความสุขของทั้งสี่ ช่างเป็นภาพที่เยียวยาจิตใจได้จริงๆ
ทุกคนกินซี่โครงไปคนละสองชิ้น พอคลายความอยากก็หยุดลงพร้อมกัน
ต้าหลางหยิบฝาชีสานจากฟางข้าวมาครอบอาหารไว้อย่างดีแล้วพูดอย่างร่าเริง “ข้าไปหุงข้าวก่อนนะ!”
เอ้อร์หลาง ซานหลาง และซื่อเหนียงก็ช่วยกันบอกว่าพวกเขาจะไปเก็บผัก เตรียมตัวสำหรับมื้อเย็นอันแสนอุดมสมบูรณ์
ฉินเหยาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ดวงตาค่อยๆ หรี่ปรือลง
เด็กๆ ทั้งสี่รู้ว่านางเหนื่อยมากจึงพยายามทำทุกอย่างให้เบาที่สุด
MANGA DISCUSSION