ตอนที่ 116 ได้อานิสงส์จากใครก็เหมือนกันทั้งนั้น
“มารดาข้าบอกว่าเลือกภรรยาต้องเลือกหญิงที่มีคุณธรรม หากวีรสตรีผู้นี้ยังไม่แต่งงาน ข้าก็ไม่ขัดข้องที่จะรับนางมาเป็นภรรยา… โอ๊ย! พี่หลิว ท่านตีหัวข้าทำไม”
บัณฑิตหนุ่มรู้สึกน้อยใจ มองหลิวจี้ด้วยความไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรผิดถึงโดนตีหัว
หลิวจี้เหลือบมองสตรีร้ายกาจที่ดูสง่างามและทรงอำนาจบนหลังม้า จู่ๆ ความตื่นเต้นก็สลายหายไปจนหมด เขาทำหน้าหงุดหงิดดึงตัวเหล่าสหายแล้วหันหลังเดินกลับไป
“นี่ๆๆ! พวกข้ายังดูไม่เต็มอิ่มเลย!”
สหายบ่นอุบ แต่หลิวจี้ไม่สนใจ ลากพวกเขากลับไปถึงสำนักศึกษา ก่อนจะพูดออกมาอย่างหัวเสีย
“นั่นคือเมียข้า! นางแต่งงานแล้ว เจ้าหนู อย่าได้เพ้อฝันให้มากนัก!”
“หา?” บัณฑิตหนุ่มที่โดนตีหัวดูจะผิดหวังไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ทำหน้าเหลือเชื่อเกินจะพรรณนาออกมา “นั่นคือสตรีร้ายกาจผู้นั้นของพี่หลิวหรือ”
เมื่อเห็นหลิวจี้พยักหน้าด้วยสีหน้าเจ็บปวดก็มีคนคนหนึ่งพึมพำขึ้นมาว่า “พี่สะใภ้สง่างามเช่นนี้ ไม่เหมือนสตรีร้ายกาจไร้เหตุผลผู้นั้นนะ…”
หลิวจี้แค่นเสียงเอ่ย “พวกน้องชายทั้งหลาย พวกเจ้าอายุยังน้อยเกินไป ความสง่างามของนางมันขัดแย้งกับความเผด็จการ ไม่เคารพสามีหรือ”
พวกเด็กหนุ่มมองหน้ากันอย่างงุนงง ขัดกันตรงไหนหรือ
หลิวจี้กัดฟันพูด “ไม่ขัดกันเลยสักนิดเดียว!”
พวกเด็กหนุ่ม อืม… ดูท่าจะไม่ขัดกันจริงๆ แฮะ
แต่แล้วอย่างไรล่ะ นางเป็นวีรสตรีที่สังหารหัวหน้าโจรเชียวนะ!
วีรสตรีไม่เกรงใจสามี มันก็สมเหตุสมผลแล้วไม่ใช่หรือ
หลิวจี้เห็นแววตาเลื่อมใสบูชาของพวกเด็กหนุ่มก็รู้เลยว่าหมดหวังแล้ว ไม่คิดอยากเสียเวลาถกเถียงกับพวกเด็กเมื่อวานซืนอีกจึงเดินกลับไปที่ห้องเรียนอย่างไม่สนใจใคร
เขากลับมาถึงห้องเรียนเป็นคนแรกแล้วแอบฟ้องอาจารย์ว่าตนเองไม่ได้สนใจความวุ่นวายข้างนอกเลย แถมพยายามลากสหายกลับมาแล้ว แต่พวกเขาไม่ฟังตนเลย หวังว่าอาจารย์จะไม่โกรธ
อาจารย์จะไม่โกรธได้หรือ
หนวดของอาจารย์กระตุกด้วยความเดือดดาล หยิบไม้บรรทัดแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก
จากนั้น เสียงร้องโหยหวนก็ดังระงมไปทั่ว
หลิวจี้แหงนหน้ามองฟ้า สูดหายใจเข้าลึก รู้สึกสบายใจขึ้นมาในทันที~
แต่ความสุขนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน
ตอนเที่ยงยามพักกลางวัน มีคนวิ่งเข้ามาในหอพักอย่างตื่นเต้น “พี่หลิวจี้! พี่หลิวจี้! พี่สะใภ้มาหาท่าน นางอยู่นอกประตูหลังของสำนักศึกษา!”
หลิวจี้ที่เพิ่งกินอาหารมื้อเที่ยงของตนเองจนอิ่มกำลังจะเอนตัวลงนอนกลางวันถึงกับสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมาทันที
เขาเหลือบตามองคนที่มาส่งข่าวอย่างจนใจ จำเป็นต้องตะโกนดังขนาดนี้ด้วยหรือ
ตอนนี้ดีเลย ทุกคนล้วนรู้กันหมดแล้ว
หลิวจี้เดินไปพลางหันกลับมาดูพวกสหายที่หน้าด้านตามมาด้วยเพราะอยากเห็นวีรสตรีกับตาตัวเอง ในใจของเขาสวดอ้อนวอนบรรดาเทพเจ้าไปรอบหนึ่ง
อมิตาภพุทธ…ท่านไท่ซั่งเหล่าจวิน…ขอให้เมียจ๋าพูดกับข้าดีๆ ไว้หน้าข้าด้วยเถอะ อย่าให้นางใช้กำลังโดยไม่จำเป็นเลย…
นึกภาวนาในใจไปตลอดทาง ในที่สุดหลิวจี้ก็เดินมาถึงประตูหลังของสำนักศึกษา
ประตูเปิดออก ฉินเหยาในชุดเรียบง่ายบนหลังสะพายคันธนูและถือดาบอยู่ในมือก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้า
ด้านหลังนางมีม้าสีน้ำตาลที่ขนร่วงตัวหนึ่ง เมื่อเห็นเขา ม้าก็มีท่าทางหงุดหงิดจนส่งเสียงฟึดฟัด ฉินเหยาตบหลังมันเบาๆ เป็นเชิงเตือนมันจึงสงบลง
“เป็นอย่างไรบ้าง ชีวิตที่สำนักศึกษาเข้าที่เข้าทางแล้วหรือยัง” นางถามพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
นางเอียงศีรษะเล็กน้อย กวาดตามองเหล่าบัณฑิตหนุ่มที่แอบซ่อนอยู่ด้านหลังเขาด้วยใบหน้าอยากรู้อยากเห็นแล้วยกมือขึ้นโบกทักทายพวกเขาด้วยท่าทีสงบมั่นคง “ไฮ~”
เด็กหนุ่มพวกนี้เคยเจออะไรเช่นนี้ที่ไหนกัน? พวกเขาถึงกับเขินจนต้องถอยกรูดไปแอบอยู่หลังประตู แล้วกระซิบกระซาบกันอย่างตื่นเต้น
หลิวจี้กลอกตาขึ้นฟ้าอย่างหมดจะคำพูด ทำเป็นไม่สนใจพวกด้านหลัง มองไปที่ม้าแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย “เมียจ๋า เจ้าไปเอาม้าตัวนี้มาจากไหนน่ะ”
“ซื้อมา” ฉินเหยามองม้าแล้วอารมณ์ดี “ท่านนายอำเภอขายม้าแก่ตัวนี้ให้ข้าในราคาถูก ถึงจะแก่ไปหน่อย แต่ก็มีข้อดีของมันตรงที่ผ่านการฝึกมาแล้ว สอนสักหน่อยก็ใช้งานได้ดี”
อย่างไรนางก็ใช้เพียงสิบตำลึงซื้อม้าสายพันธุ์ซีอวี้ตัวใหญ่ตัวนี้มา
หากเป็นในตลาด ถ้าเป็นม้าพันธุ์ดีที่ตัวใหญ่หน่อย อย่างต่ำต้องใช้สี่ถึงห้าสิบตำลึงถึงจะซื้อได้
ถึงเป็นลูกม้าแคระธรรมดา ราคาถูกสุดก็ต้องยี่สิบตำลึง
ตอนนั้นเอง หลิวจี้ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าฉินเหยารับภารกิจจากที่ว่าการอำเภอและทำภารกิจได้สำเร็จ แสดงว่าต้องได้รับรางวัลแน่!
ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นห่วงใย เดินวนรอบตัวฉินเหยาสามรอบ “เมียจ๋า เจ้าสู้กับโจรมา ไม่ได้บาดเจ็บใช่หรือไม่”
ฉินเหยาผลักเขาออกไป “ข้าไม่เป็นไร สังหารคนแค่นี้ ง่ายยิ่งกว่าทำนาเสียอีก”
เปรียบเทียบได้แปลกประหลาดจนหลิวจี้ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งแล้วนึกขึ้นได้ว่านางไม่ชอบพูดอ้อมค้อมจึงถามตรงๆ
“ได้รางวัลหรือเปล่า”
ฉินเหยาพยักหน้า มองเหล่าสหายร่วมเรียนที่แอบอยู่หลังประตูแวบหนึ่ง ก่อนโบกมือเรียกให้หลิวจี้เข้ามาใกล้แล้วกระซิบเบาๆ ในขณะที่เขาตื่นเต้นถึงขีดสุด
“แต่มันไม่เกี่ยวกับเจ้า นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องห่วง ตั้งใจเรียนให้ดี ข้าจะกลับบ้านแล้ว อย่าลืมภารกิจที่ข้ามอบหมายให้เจ้าล่ะ หากทำสำเร็จ ข้าจะมีรางวัลให้เจ้าแน่”
พูดจบ นางก็ยิ้มน้อยๆ ให้ศีรษะที่โผล่พ้นจากประตูอย่างอยากรู้อยากเห็นเหล่านั้นก่อนจะตบไหล่หลิวจี้เบาๆ แล้วจูงม้าเดินจากไป
หลิวจี้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขอบคุณพระพุทธองค์ เจ้าแม่กวนอิม เง็กเซียนฮ่องเต้ วันนี้เมียจ๋าให้หน้าเขามากทีเดียว ไม่ได้แสดงท่าทีเย็นชาใส่เขาต่อหน้าเหล่าสหาย
แต่ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งบ่นฉินเหยาให้สหายฟังไปไม่น้อย คราวนี้กลับกลายเป็นว่าเขาพูดเกินจริงเสียอย่างนั้น
แต่เมียจ๋าบอกว่าภายหน้าจะมีรางวัลให้… แล้วรางวัลอะไรล่ะ
หลิวจี้เลิกคิ้วขึ้นอย่างตื่นเต้น ตอนขามายังทำหน้าเหมือนพ่อแม่ตายอยู่เลย แต่พอกลับถึงสำนักศึกษา กลับอารมณ์ดีถึงขั้นฮัมเพลง
“หลิวจี้!”
จู่ๆ ก็มีคนเรียกเขา
หลิวจี้หันไปมองด้วยรอยยิ้ม ดวงตาพลันเป็นประกาย ที่แท้เป็นฝานซิ่วไฉ!
เขากำลังกลุ้มใจว่าควรเข้าหาซิ่วไฉพวกนี้อย่างไรดี คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อน
แต่ตอนที่หลิวจี้รีบพุ่งเข้าไปหาด้วยความยินดีนั้น อีกฝ่ายกลับเปิดปากถามว่า “เจ้าเป็นสามีของวีรสตรีที่สังหารเสี่ยงหวังใช่หรือไม่”
หลิวจี้อึ้งไปเสี้ยววินาที ก่อนจะยืดอกตอบด้วยความภาคภูมิใจ “เป็นข้าน้อยเอง!”
พวกเขาจะเห็นแก่หน้าของใครก็ช่างเถอะ สุดท้ายสามีภรรยาก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ได้อานิสงส์จากใครก็เหมือนกันทั้งนั้น
บนโลกนี้ไม่มีข้อกฎหมายข้อไหนที่บอกว่า มีเพียงภรรยาที่ได้รับอานิสงส์จากสามี แต่สามีจะได้อานิสงส์จากภรรยาไม่ได้นี่!
หลิวจี้ปรับตัวกับบทบาทใหม่นี้ได้อย่างรวดเร็ว อาศัยกระแสความสนใจของทุกคนที่มีต่อวีรสตรี ใช้ตำแหน่งสามีของวีรสตรีแทรกตัวเข้าสู่กลุ่มซิ่วไฉได้อย่างรวดเร็ว
ฉินเหยายังไม่รู้เลยว่าหลิวจี้จะโดดเด่นได้ถึงเพียงนี้ หลังออกจากสำนักศึกษา นางก็แวะไปตลาดม้าก่อนเพื่อซื้ออานม้าดีๆ ให้เจ้าม้าคู่ใจ
รางวัลหนึ่งร้อยตำลึง ท่านนายอำเภอให้มาอย่างใจป้ำ ฉินเหยาเองก็รู้จักกาลเทศะ เมื่อรับเงินแล้วจากมาเลย ไม่รับคำเชิญจากบรรดาพ่อค้าเศรษฐี ให้สปอตไลท์ส่องไปที่พวกใต้เท้าของที่ว่าการ
ม้าตัวนี้ก็คือค่าตอบแทนที่นางรู้จักอ่านสถานการณ์
อย่าดูถูกเจ้าม้าสีน้ำตาลตัวนี้ไป แค่ขนมันร่วงหน่อยๆ เพราะเป็นโรคผิวหนังเล็กน้อย ซื้อยาผงจากหมอสัตว์มาทาวันละหน่อย ไม่เกินหนึ่งเดือนก็ดีขึ้นแล้ว
มีเก้าสิบตำลึงอัดแน่นอยู่ในอกเสื้อ ฉินเหยารู้สึกว่าชีวิตแบบมีฐานะไม่ได้ไกลเกินเอื้อมแล้ว
ซื้ออานม้าใช้เงินไปสองตำลึง หลังจากนั้นก็พาม้าไปที่โรงเตี๊ยมของเถ้าแก่ฟ่านสั่งเมนูเนื้อจานดังของร้านมาสองชุดห่อกลับบ้าน จากนั้นก็ควบม้ากลับอย่างสบายใจ
ตอนนี้ในมือนางเหลือหนึ่งร้อยสองตำลึง สภาพจิตใจต่างจากตอนขามาโดยสิ้นเชิง
ตลอดทาง นางนั่งคิดว่าจะใช้เงินอย่างไรดี ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนใช้แรงงานที่ออกไปทำงานมาหลายปีแล้วเพิ่งจะตั้งตัวได้
MANGA DISCUSSION