ตอนที่ 109 พบเถ้าแก่ฟ่านอีกครา
จัดการเรื่องที่พักเรียบร้อย ฉินเหยาก็พาหลิวจี้ไปซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันและกระดาษอีกไม่น้อย
พู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกจากที่บ้านนำมาหมดแล้ว กระดาษสำหรับใช้ทั่วไปก็มีอยู่ แต่ครั้งนี้นางซื้อเพิ่มเยอะหน่อยเพื่อให้หลิวจี้จดหัวข้อการสอบเซี่ยนซื่อในปีก่อนๆ ฉินเหยาตั้งใจจะนำมาทำเป็นข้อสอบจำลอง
หลิวจี้ไม่เข้าใจว่านางต้องการข้อสอบเก่าพวกนี้ไปทำอะไร แต่ก็ไม่กล้าคัดค้าน ทำตามที่สั่งก็พอ
“ถ้ารู้คำตอบของคนที่สอบผ่านได้ก็ยิ่งดี จำไว้เจ้าจงคัดลอกทุกอย่างมาให้หมดแล้วนำกลับมาให้ข้าทุกๆ วันหยุดสิบห้าวัน” ฉินเหยากำชับ
หลิวจี้ขมวดคิ้วเอ่ย “มันจะง่ายเช่นนั้นหรือ บัณฑิตซิ่วไฉจะมาเล่าเรื่องพวกนี้ให้คนไร้ยศศักดิ์อย่างข้าฟังได้อย่างไร”
ฉินเหยาหยุดเดิน กอดอกถาม “คิดจะขอเงินอีกเท่าไหร่”
พอได้ยินคำว่าเงิน ดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นทันที รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นกระตือรือร้น นับนิ้วคำนวณทันที
“อย่างน้อยก็ต้องพาพวกซิ่วไฉไปดื่มสุราดีๆ กินอาหารอร่อยๆ ใช่หรือไม่ ร้านอาหารในอำเภอเจ้าเองก็เคยไปมาแล้ว โต๊ะหนึ่งถูกสุดก็ต้องห้าหกเฉียนแล้ว ไหนจะค่าใช้จ่ายส่วนตัวในการสานสัมพันธ์แต่ละวันก็ต้องมีประมาณนึง ค่ามัดจำยืมตำรา หรือแม้แต่ค่าซื้อซาลาเปาให้คนอื่น เงินพวกนี้อย่างไรก็ต้องใช้…”
“เมียจ๋า เดือนหนึ่งให้ข้าสักหนึ่งตำลึงก็น่าจะพอใช้แล้วล่ะ”
เขาพูดจบก็ทำใจไว้แล้วว่านางจะต้องฟันราคาลงสักครึ่งหนึ่ง กระทั่งตัดให้เหลือแค่หนึ่งในสิบ
ไม่คาดคิดเลยว่า ฉินเหยาจะหยิบเงินหนึ่งตำลึงเต็มจากถุงเงินแล้วโยนให้เขา
“วันหยุดครั้งหน้า ข้าต้องได้ของที่ข้าต้องการ”
นางแสยะยิ้มเหี้ยม “หากเจ้านำของพวกนั้นกลับมาไม่ได้ก็อย่าคิดกลับบ้านอีกเลย เร่ร่อนไปจนสุดขอบฟ้าเถอะ! ไม่เช่นนั้นเจ้าได้ตายคาดาบข้าแน่!”
ให้เงินตำลึงหนึ่งไปแล้ว บวกกับค่าของใช้และกระดาษเมื่อครู่ห้าเฉียน อีกทั้งค่าเล่าเรียนและค่าที่พักตลอดปี เงินที่หามาจากการทำโรงโม่ในเดือนหกก็ถูกใช้ไปกว่าครึ่ง
ตอนนี้เหลือเงินอยู่เพียงสิบสี่ตำลึงสองเฉียน โดยที่สามตำลึงยังคงอยู่ในบัญชีกลางของโรงโม่น้ำ
เห็นได้ชัดว่าการเรียนหนังสือและสอบเข้ารับราชการ สำหรับครอบครัวชาวบ้านธรรมดาที่มีรายได้สุทธิปีละเพียงสองถึงสี่ตำลึง เป็นเรื่องที่ห่างไกลเกินเอื้อมเพียงใด
ฉินเหยาส่งหลิวจี้ที่ยังตกตะลึงกับเงินหนึ่งตำลึงไปถึงประตูสำนักศึกษาแล้วยื่นของใช้และกระดาษที่ซื้อมาให้เขาพลางกำชับว่า “กลางเดือนต้องเกี่ยวข้าวแล้ว ช่วงวันหยุดเจ้าขอลาเพิ่มอีกสองวัน กลับมาช่วยข้าเกี่ยวข้าวให้เสร็จแล้วค่อยกลับมาเรียน”
“หา ยังต้องลงนาอีกหรือ” หลิวจี้ได้สติกลับมา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อ
ฉินเหยาไม่ตอบ แต่ความหมายชัดเจนว่า เจ้าคิดว่าแค่เรียนหนังสือก็ไม่ต้องลงนาแล้วหรือ
ตราบใดที่ยังสอบไม่ผ่าน หลิวจี้ก็ยังคงเป็นชาวนาธรรมดาและต้องลงนาเหมือนเดิม
“เมียจ๋า ถ้า…ถ้าท่านอาจารย์ไม่อนุญาตให้ข้าลาหยุดล่ะ” หลิวจี้ยังคงกอดความหวังเฮือกสุดท้ายไว้
ฉินเหยาตัดความหวังของเขาทิ้งทันที “ทุกช่วงเก็บเกี่ยวและฤดูเกษตรกรรม สำนักศึกษาจะให้วันหยุดเพิ่มอีกสองวันเพื่อให้นักเรียนกลับไปช่วยงานที่บ้าน”
หลิวจี้ถามอย่างไม่เชื่อ “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ฉินเหยามองเขาอย่างดูแคลน “แค่ดูจากตอนที่เจ้าเข้าพักเมื่อครู่ก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจฟังที่อาจารย์พูด กลับไปถามใหม่เองเถอะ ข้าไปล่ะ”
พอหลิวจี้ได้ยินว่านางจะไป เดิมทีเขาควรจะดีใจมาก แต่กลับรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก เหมือนถูกดึงความมั่นใจออกไป เขาเดินตามไปสองก้าวแล้วถามด้วยความร้อนใจ
“เมียจ๋า เจ้าจะไปไหน ฟ้าจะมืดแล้ว วันนี้เจ้าคงกลับบ้านไม่ได้แล้วใช่หรือไม่”
ฉินเหยาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืด โบกมือแล้วเอ่ยว่า “ข้าย่อมมีที่ไป เจ้าไม่ต้องห่วงข้า ตั้งใจเรียนของเจ้าไปเถอะ”
หลิวจี้จำต้องหยุดเดินราวกับลูกหมาที่ถูกทอดทิ้ง เขามองส่งนางจากไปจนไม่เห็นเงาแล้วจึงกอดกองข้าวของในอ้อมแขน เดินกลับเข้าประตูสำนักศึกษาด้วยความกระวนกระวาย
พอนึกถึงภาระหน้าที่ที่กดทับอยู่บนศีรษะ เขาก็หมดอารมณ์จะเริงร่า
ครึ่งเดือนหนอครึ่งเดือน! เหตุใดวันหยุดพักของสำนักศึกษาต้องเป็นครึ่งเดือนครั้งด้วย แทนที่จะเป็นเดือนละครั้ง!
แต่พอเห็นเพื่อนร่วมห้องหลายคนกำลังนั่งผิงไฟชงชาอย่างสบายอารมณ์ เขาก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ด้วยนิสัยแต่กำเนิด เขาไม่มีทางคิดมากให้วุ่นวาย มีเพียงความต้องการเสพสุขตรงหน้า
ช่างหัวข้อสอบเก่าเถอะ! ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งเดือน กว่าจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของสตรีดุร้ายผู้นั้นได้นั้นไม่ง่ายนัก ขอให้เขาได้เริงร่าสักสองสามวันก่อนแล้วกัน!
ทางด้านหลิวจี้ เพียงพูดคุยไม่กี่คำก็ทำความคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมสำนักศึกษาได้แล้ว เขานั่งจิบชาอย่างเพลิดเพลินชมจันทร์ไปพร้อมกับพวกเขา
ส่วนฉินเหยายังเดินหาที่พักแรมสำหรับคืนนี้
ในเมืองไม่มีกำหนดเวลาห้ามออกจากเคหะสถาน แต่หากไม่ใช่ช่วงเทศกาล ประชาชนล้วนกลับบ้านไปกินข้าวพักผ่อน ทำให้บนถนนแทบไม่มีผู้คนสัญจรไปมาเท่าไรนัก
เดินไปเรื่อยๆ ฉินเหยาก็มาหยุดอยู่หน้าโรงเตี๊ยม
พอเงยหน้าขึ้นก็สบตากับเถ้าแก่ที่กำลังคิดบัญชีอยู่ในร้าน พออีกฝ่ายเห็นหน้านางก็แสดงสีหน้าสงสัย ก่อนจะขยี้ตาตนเองเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาลายแล้วรีบเดินออกมาอย่างตื่นเต้น
“นี่ใช่ฉินเหนียงจื่อหรือไม่” เถ้าแก่ฟ่านถามด้วยความไม่อยากเชื่อ
เห็นฉินเหยาพยักหน้าและยิ้มให้ “เถ้าแก่ฟ่าน ไม่ได้พบกันนานเลย”
ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานจริงๆ เกือบปีแล้ว!
ฉินเหยาไม่คิดว่าเถ้าแก่ฟ่านจะจำตนเองได้ แถมยังบอกว่าเขารู้ว่านางก่อเรื่องใหญ่ไว้เมื่อต้นปี
“อะไรหรือ” ฉินเหยาเองก็ไม่รู้
ในร้านมีแขกเพียงสองโต๊ะ ดูเงียบเหงาเล็กน้อย แต่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ใช่ว่าทุกวันจะได้สัตว์หายากอย่างหมีดำมาขาย
เถ้าแก่ฟ่านดึงเก้าอี้ออกมาให้ฉินเหยานั่งลงที่โต๊ะว่างตรงมุมของร้าน ก่อนจะถามว่านางอยากกินอะไร แล้วสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์นำมาให้
จากนั้นเขาเทน้ำชาให้นางด้วยตนเอง ก่อนจะนั่งลงตรงข้าม ยิ้มแล้วกล่าวว่า “หัวหน้าโจรภูเขาหน่วยย่อยนั่น เจ้าเป็นคนสังหารใช่หรือไม่”
เรื่องนี้ไม่ได้มีการประกาศออกไป ฉินเหยาจึงถามด้วยความสงสัย “เถ้าแก่ฟ่านรู้ได้อย่างไร”
เถ้าแก่ฟ่านยิ้มอย่างมีเลศนัย “คืนสิ้นปีนั้น ตอนที่มีคนมาแจ้งทางการ ข้าได้ยินว่าเกิดเรื่องที่หมู่บ้านตระกูลหลิวในเขตเมืองจินสือก็เดาว่าต้องเป็นหมู่บ้านพวกเจ้าแน่ จากนั้นพวกเจ้าหน้าที่ทางการก็กลับไปกลับมาหลายรอบ บอกว่าหมู่บ้านตระกูลหลิวเจอโจรภูเขาแต่กลับไม่มีใครเป็นอะไร แถมยังมีคนยิงธนูสังหารหัวหน้าโจรหน่วยย่อยที่กำลังหนีตายด้วย ข้าคิดแล้ว นอกจากเจ้า ไม่มีใครทำได้ขนาดนี้แน่!”
“ข้าพูดถูกหรือไม่” เถ้าแก่ฟ่านถามอย่างมั่นใจ
ฉินเหยาพยักหน้า เสี่ยวเอ้อร์ยกหมั่นโถวขาวร้อนๆ กับน้ำแกงเนื้อแกะถ้วยใหญ่มาให้ แถมยังมีแตงกวาดองรสเปรี้ยวจัดจ้านอีกจาน ดูแล้วกระตุ้นความอยากอาหารมาก
ฉินเหยาหยิบอาหารขึ้นมากินทันที ขณะที่เถ้าแก่ฟ่านก็พูดคุยกับนาง บอกว่านางควรไปรับรางวัลที่ศาลาว่าการอำเภอ
ในแคว้นเซิ่งมีประกาศชัดเจน หากประชาชนสังหารโจรที่มาดักปล้นจะถือว่าไร้ความผิดและยังสามารถนำศีรษะของโจรมารายงานกับทางการเพื่อรับรางวัลได้อีกด้วย
สังหารโจรทั่วไปได้หนึ่งตำลึง สังหารโจรภูเขาได้สองตำลึง หากปราบโจรทั้งกลุ่มได้ นอกจากเงินรางวัลแล้ว ยังสามารถเข้ารับราชการเป็นเสมียนในอำเภอได้ด้วย
ตำแหน่งเช่นนี้ แม้ไม่มีตำแหน่งทางราชการ แต่ก็ได้รับเงินเดือนจากทางการ สำหรับชาวบ้านทั่วไปถือว่าเป็นตำแหน่งที่เอื้อมไม่ถึง
มีคำกล่าวว่าพญายมยังคบหาง่ายกว่าผีน้อย พวกเสมียนเหล่านี้ แม้แต่นายอำเภอยังต้องเกรงใจพวกเขาสามส่วน
จะอย่างไรเสีย นายอำเภอก็ผลัดเปลี่ยนไปตามวาระ แต่เสมียนในศาลาว่าการนั้นเหมือนเหล็กกล้า แข็งแกร่งไม่เปลี่ยนแปลง นายอำเภอสามปีเปลี่ยนคนหนึ่ง แต่พวกเสมียนในศาลาว่าการกลับอยู่ตลอดไม่ไปไหน
MANGA DISCUSSION