ตอนที่ 108 กลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง
เมื่อได้รถม้าของหัวหน้าผู้คุ้มกันฉิวเป็นพาหนะ ฉินเหยาและหลิวจี้ก็มาถึงตัวอำเภอในตอนเที่ยง
ทั้งสองฝ่ายกล่าวอำลากันที่หน้าประตูเมือง กองคาราวานไม่ได้หยุดพักและเดินทางต่อไปยังจุดหมาย
เพียงแต่เมื่อนึกถึงว่าตลอดเส้นทางข้างหน้ายังอาจต้องเผชิญกับโจรภูเขาที่ซุ่มซ่อนอยู่ในพื้นที่นี้ สีหน้าของหัวหน้าผู้คุ้มกันฉิวก็ยังคงเคร่งเครียด
เขาเดินทางมาจากเขตฉีซานทางทิศตะวันตกเพื่อส่งสินค้า โดยต้องผ่านจังหวัดจื่อจิงเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงทางทิศตะวันออก แต่เพิ่งเดินทางได้เพียงหนึ่งในสามของเส้นทางกลับถูกโจรภูเขาปล้นสินค้าไปหนึ่งหีบ ทำให้จิตใจหดหู่ไม่น้อย
แต่ก่อนจากกัน เขาก็ยังคงยิ้มพลางมอบน้ำเต้าหนึ่งลูกให้ฉินเหยา บอกว่าข้างในบรรจุเมล็ดพันธุ์ของผลไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าเหลียงกวา
“เหลียงกวานี้เป็นของโปรดของเหล่าขุนนางเมืองหลวงในช่วงฤดูร้อน เดิมทีเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดถูกเก็บไว้ในอุทยานหลวง ห้ามราษฎรเพาะปลูกเอง ทำให้ราคาสูงลิบ หากชาวบ้านธรรมดาต้องการเพียงชิ้นเดียวก็ต้องเตรียมเงินถึงสิบตำลึงและเข้าแถวรอซื้อ”
“แต่เพราะฤดูร้อนอากาศร้อนระอุ องค์หญิงใหญ่ทรงเห็นใจราษฎรจึงกราบทูลฮ่องเต้ให้เปิดอุทยานหลวงแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์ผลไม้อันล้ำค่านี้แก่ราษฎร”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หัวหน้ากองคุ้มกันฉิวก็ทอดสายตามองไปทางทิศตะวันออก ความเคร่งเครียดบนใบหน้าในที่สุดก็จางหายไปเล็กน้อย “รอจนถึงฤดูร้อนปีหน้า ชาวบ้านธรรมดาก็จะสามารถลิ้มรสเหลียงกวาคลายร้อนได้แล้ว”
“องค์หญิงใหญ่ช่างเป็นคนดีจริงๆ” หลังจากแยกทางกับกองคาราวาน หลิวจี้ถือเมล็ดพันธุ์เหลียงกวาในน้ำเต้าไว้ในมือพลางกล่าวด้วยความซาบซึ้ง
ฉินเหยาคาดเดาว่าเหลียงกวานี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นแตงโม
แตงโมหรือ…ครั้งสุดท้ายที่นางได้กินมันคือตอนไหนกันนะ ดูเหมือนว่าตอนนั้นวันสิ้นโลกจะยังมาไม่ถึง
เวลาผ่านมานานเกินไป ความทรงจำก็เริ่มเลือนลาง แต่ว่า ฉินเหยาตั้งตารออย่างมาก ว่าเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า หลังจากที่นำเมล็ดไปปลูกแล้วจะออกผลเป็นอย่างไร
แผงขายเกี๊ยวน้ำที่หน้าประตูเมืองยังอยู่เหมือนเดิม การค้าขายยังคงคึกคักเหมือนแต่ก่อน ฉินเหยาสั่งเกี๊ยวน้ำสี่ชาม นางกินสาม หลิวจี้กินหนึ่งเพื่อเติมกระเพาะให้เต็ม เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาเรียนช่วงบ่ายของสำนักศึกษาแล้ว ทั้งสองจึงซื้อของสำหรับคารวะอาจารย์แล้วมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษา
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเหยามา นางยังไม่คุ้นเคยจึงให้หลิวจี้นำทาง
ตอนเดินทางมาหลิวจี้ก็ดูใจเย็นมั่นคงดี แต่พอถึงหน้าประตูสำนักศึกษา เขากลับดูขี้ขลาดขึ้นมาเล็กน้อย
เขากวาดตามองไปรอบๆ พยายามหาดูว่ามีใครที่อายุมากกว่าเขาบ้างหรือไม่
แต่ผลลัพธ์ที่เห็นคือ มีเพียงครอบครัวของชาวเมืองสองครอบครัวจูงลูกชายวัยเจ็ดแปดขวบมาคารวะอาจารย์เพื่อเข้าศึกษา…
ทั้งอำเภอมีเพียงสำนักศึกษาแห่งเดียวที่เป็นของทางการ อีกทั้งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ การรับสมัครมีผู้รับผิดชอบโดยเฉพาะ
ฉินเหยาและหลิวจี้เดินตามครอบครัวสองบ้านที่พาบุตรชายมาสมัครเรียน ผ่านประตูด้านข้างของสำนักศึกษาไปยังจุดลงทะเบียน
มีอาจารย์ท่านหนึ่งประจำอยู่ที่นั่น ทำหน้าที่รับสมัครนักเรียนใหม่
ดังนั้นเรื่องราวแบบในหนังสือที่กล่าวถึงบัณฑิตยากจนที่ได้เป็นศิษย์ของอาจารย์ชื่อดังแล้วได้รับคำชี้แนะจนสอบผ่านระดับสูง ในชีวิตจริงนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
ในสำนักศึกษามีอาจารย์อยู่เพียงไม่กี่คน แต่นักศึกษามีจำนวนมาก หากไม่ได้เป็นนักเรียนที่โดดเด่นเป็นพิเศษก็ไม่มีทางดึงดูดความสนใจจากอาจารย์ได้
อีกทั้ง ที่นี่เน้นการเรียนแบบอิสระ พึ่งพาความเข้าใจของแต่ละคน อาจารย์ทำหน้าที่เพียงชี้ทาง ส่วนการศึกษาเล่าเรียนขึ้นอยู่กับตัวบุคคล
หลิวจี้บอกว่าเขาเคยเป็นนักเรียนของสำนักศึกษานี้ อาจารย์ที่รับสมัครจึงเพ่งมองเขาอยู่นาน
แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า จำไม่ได้ ไม่คุ้นเลยสักนิด
แต่เมื่อเห็นว่าหลิวจี้อายุมากแล้วยังกลับมาเรียนก็อดมองเขาอีกสองครั้งไม่ได้ รูปร่างหน้าตาดูดี ไม่เลวเลย
เด็กชายสองคนข้างๆ เงยหน้ามองหลิวจี้ ไม่รู้ว่าตลกตรงไหน มองไปได้สักพักก็รีบก้มหน้าปิดปากกลั้นหัวเราะ
จนกระทั่งพวกเขาถูกพ่อแม่เขกหัวไปคนละทีจึงสงบเสงี่ยมลง นั่งตัวตรงไม่กล้ามองซ้ายขวาอีก
สำนักศึกษาใช่ว่าเพียงแค่จ่ายเงินค่าเล่าเรียนแล้วจะเข้าเรียนได้ ยังต้องตรวจสอบประวัติสามชั่วอายุคนอีกด้วย
เอกสารเหล่านี้นักเรียนต้องเตรียมมาเอง ฉินเหยาเตรียมพร้อมไว้แล้ว โดยขอให้หัวหน้าตระกูลในหมู่บ้านออกหนังสือรับรองให้ ทำให้ผ่านการตรวจสอบได้อย่างราบรื่น
ต่อจากนั้นเป็นการทดสอบคุณธรรมของนักเรียน
อาจารย์จะตั้งคำถามสองสามข้อเพื่อดูว่าผู้สมัครตอบอย่างไรแล้วใช้คำตอบเหล่านั้นเป็นเกณฑ์พิจารณา
หากผ่านด่านแรกได้ ด่านนี้ก็แค่ตอบตามแนวทางที่ถูกต้องก็พอ
หลิวจี้เคยเรียนที่นี่มาก่อน ตอนนั้นเขาเคยท่องจำคำตอบมาตรฐานเพื่อสอบเข้า คำถามครั้งนี้เหมือนเดิมทุกตัวอักษร เขาจึงผ่านไปได้อย่างราบรื่น
เด็กชายสองคนแน่นอนว่าก็ต้องท่องจำมาเหมือนกัน แต่ยังอายุน้อยและท่องมาอย่างเร่งรีบทำให้ติดขัดไปบ้าง
พ่อแม่ช่วยกระซิบบอกอยู่ข้างๆ จึงพอถูไถผ่านไปได้
เด็กชายสองคนเป็นชาวเมืองในอำเภอ หลังได้รับป้ายเข้าเรียนแล้วก็เดินไปลงทะเบียนที่อีกจุดหนึ่ง
หลิวจี้ต้องอยู่ประจำที่สำนักศึกษาจึงต้องจ่ายค่าที่พักและค่าอาหารเพิ่มเติม
ในสำนักศึกษามีโรงครัวซึ่งมีแม่ครัวหนึ่งคนคอยจัดเตรียมอาหารสองมื้อต่อวันให้กับนักเรียน
หากต้องการกินสามมื้อก็ต้องทำอาหารเอง
ค่าที่พักและค่าอาหารของโรงครัวเพิ่มขึ้นจากที่ฉินเหยาสืบทราบมาก่อนหน้านี้เป็นห้าสิบเหวินต่อรายการ รวมแล้วปีหนึ่งเป็นเงินหนึ่งตำลึงหนึ่งเฉียน
ห้องพักเป็นห้องรวมขนาดใหญ่ อยู่กันหกคน แม้ไม่กว้างขวางนัก แต่แสงสว่างส่องถึงดี ฉินเหยารู้สึกว่าใช้ได้
เมื่อได้รับป้ายเข้าเรียนแล้วก็ไปหาผู้ดูแลด้านอาหารและที่พักของนักศึกษา ผู้ดูแลจัดห้องพักให้หลิวจี้ ห้องนั้นยังไม่เต็ม รวมเขาแล้วมีเพียงสี่คน
ตอนนี้นักเรียนทั้งหมดเรียนอยู่ที่ห้องเรียนในลานหน้า หอพักจึงไม่มีใครอยู่ เมื่อกวาดตามองสภาพสุขอนามัย หลิวจี้ก็ขมวดคิ้วทันที
เมื่อก่อน ต่อให้เป็นคอกหมูเขาก็นอนได้ แต่ตอนนี้…ทั้งหมดเป็นเพราะสตรีอำมหิตอย่างฉินเหยาที่ทำตัวเรื่องมากจนทำให้เขากลายเป็นคนสำออยไปด้วย ขนาดกลิ่นเท้าเหม็นหน่อยยังทนดมไม่ได้!
ฉินเหยาหันหลังให้เขา กำลังเลือกเตียงที่เหลืออยู่จึงไม่เห็นสีหน้ากราดเกรี้ยวของเขา ไม่เช่นนั้นวันนี้เขาคงไม่รอดฝ่ามือนางแน่
“เอาเตียงนี้แหละ อยู่มุมห้อง เงียบสงบหน่อย” ฉินเหยาพูดพลางโยนเครื่องนอนที่นำมาด้วยไปยังเตียงที่อยู่ด้านในสุด
นางยังมองหลิวจี้เป็นนักศึกษาใหม่จึงสอนเขาว่า “ตรงกลางว่างอยู่สองเตียงไม่ใช่หรือ ตอนที่ยังไม่มีคนย้ายเข้าเพิ่ม พวกเจ้าก็วางพวกของใช้จิปาถะไว้ตรงนี้ไปก่อน เช่นนี้ก็ได้พื้นที่ส่วนตัวแล้ว”
“แปลกแฮะ ไม่มีเตาเลยสักอัน ห้องครัวก็ไม่บอกว่ามีรวมน้ำร้อนให้พวกเจ้าหรือเปล่า เช่นนี้ไม่ต้องอาบน้ำสระผมหรือไร ช่างเถอะ เดี๋ยวข้าซื้อเตาต้มน้ำร้อนให้เจ้าอีกชุดแล้วก็ซื้อกะละมังมาเพิ่ม จะได้สะดวกตอนต้มน้ำอาบน้ำล้างหน้า”
ได้ยินดังนั้น หลิวจี้ก็คิดถึงชีวิตในสำนักศึกษาเมื่อก่อน
ดูเหมือน แบบว่า จะไม่มีใครอาบน้ำสระผมบ่อยๆ จริงด้วย…สวรรค์! แค่กลิ่นเท้าเหม็นไปทั้งห้องก็พอแล้ว นี่ต้องมาทนกลิ่นตัวเหม็นอับของพวกเขาอีกหรือ
อย่างน้อยก็เป็นบัณฑิตนะ เหตุใดถึงซกมกถึงเพียงนี้!
ฉินเหยาปูเครื่องนอนเสร็จก็เดินสำรวจรอบห้องเล็กๆ แห่งนี้ ห้องพักนี้เป็นเรือนก่ออิฐมุงด้วยกระเบื้อง มีเตียงอุ่นให้ใช้ ฤดูร้อนไม่ร้อน ฤดูหนาวไม่หนาว นางพอใจมาก
นางหันมาตบไหล่หลิวจี้ “จงเห็นค่าของโอกาสนี้แล้วตั้งใจเรียนให้ดี หากไม่เข้าใจให้ถามระหว่างเรียน หลังเลิกเรียนก็ไปแลกเปลี่ยนความรู้กับศิษย์พี่ที่เก่งกว่า จากนั้นนำไปทบทวนจุดสำคัญในตำราของตนเพื่อเสริมความเข้าใจ”
“ใช่แล้ว หากมีใครมาขอยืมตำราของเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร” ฉินเหยาถามด้วยน้ำเสียงอันตราย
หลิวจี้ส่ายศีรษะเป็นกลองป๋องแป๋ง “ไม่ให้ยืม! ฆ่าข้าก็ไม่ให้ยืม!”
“ถูกต้อง!” ตอนนี้ฉินเหยามองเขาอย่างไรก็ดูดีไปหมด “นี่คือตำราชี้แนะพิเศษที่พวกเราลำบากหามา ตำแหน่งซิ่วไฉมีจำกัด หากเจ้าให้คนอื่นยืมก็เท่ากับสร้างคู่แข่งให้ตัวเอง เข้าใจไหม”
“ข้าเข้าใจแล้ว” หลิวจี้ตอบอย่างจริงจัง
เพราะมือของนางไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ต้นคอเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมยังบีบเบาๆ สองสามครั้งด้วย
มารดามันเถอะ! หากอยากบีบคอเขาให้ตายก็บอกกันดีๆ สิ!
MANGA DISCUSSION